1 00:00:13,160 --> 00:00:15,360 ขณะเข้าไปในวิหารแห่งดวงจันทร์ 2 00:00:17,920 --> 00:00:20,680 คุณจะเจอกับอสรพิษตรงทางเข้า 3 00:00:23,760 --> 00:00:25,320 ตัวงูสลักไว้บนผนังหิน 4 00:00:26,280 --> 00:00:30,120 ร่างกายแวววาวของมัน ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาเมื่อคุณสัมผัส 5 00:00:32,120 --> 00:00:33,080 นี่ไม่ใช่งานง่ายเลย 6 00:00:33,160 --> 00:00:36,600 เพราะนี่แปลว่าหินถูกกะเทาะออกไป 7 00:00:36,680 --> 00:00:40,640 เหลือไว้แค่งานสลักนูนสูง ที่เป็นรูปลำตัวด้านข้างของงู 8 00:00:44,600 --> 00:00:48,080 เมื่อคุณเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์ ก็จะพบรูปทรงลึกลับมากขึ้น 9 00:00:48,600 --> 00:00:50,600 ทั้งหมดถูกแกะสลักจากหินธรรมชาติที่อยู่ที่นี่ 10 00:00:53,320 --> 00:00:56,080 ที่นี่มีบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร 11 00:00:56,920 --> 00:01:01,120 ฝุ่นละอองลอยอยู่ในลำแสงที่ส่องลงมา 12 00:01:01,200 --> 00:01:03,200 จากรูบนเพดาน 13 00:01:04,120 --> 00:01:08,960 ส่องต้องลงบนแผ่นหินเรียบไร้ที่ติ ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ 14 00:01:11,080 --> 00:01:15,600 แท่นหินนี้ก็เหมือนกับงู มันถูกแกะสลักจากหิน 15 00:01:16,280 --> 00:01:18,440 สว่างขึ้นด้วยลำแสงที่ส่องผ่านรอยแยกด้านบน 16 00:01:18,520 --> 00:01:21,720 ทำให้มันได้รับทั้งแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ 17 00:01:24,360 --> 00:01:26,800 วิหารที่รู้จักกันในท้องถิ่น ในชื่อวิหารแห่งดวงจันทร์แห่งนี้ 18 00:01:26,880 --> 00:01:29,200 อาจมีชื่อที่เหมาะสมกว่า 19 00:01:29,280 --> 00:01:32,760 นั่นคืออามารู มากาวาซี หรือรังของอสรพิษ 20 00:01:34,040 --> 00:01:38,840 กำบังหินสลักที่ให้บรรยากาศน่าขนลุกแห่งนี้ ให้ความรู้สึกถึงอำนาจ 21 00:01:41,560 --> 00:01:45,360 เชื่อกันว่าอินคาใช้ที่นี่ประกอบพิธีกรรม เพื่อความอุดมสมบูรณ์ 22 00:01:45,440 --> 00:01:48,720 ที่ซึ่งคนที่มีความหวังจะนำของบูชา มาถวายเทพีดวงจันทร์ 23 00:01:48,800 --> 00:01:51,440 หรือมามาคิลา ธิดาของวิราโคชา 24 00:01:56,360 --> 00:02:00,080 ความเงียบ ความเย็นและความสงบข้างใน 25 00:02:00,600 --> 00:02:04,160 ทั้งหมดนั้นส่งผลต่อจิตใจ ในแบบที่ทำให้ผมรู้สึกว่า 26 00:02:04,240 --> 00:02:07,960 คนสร้างตั้งใจออกแบบมาให้เป็นเช่นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ 27 00:02:11,160 --> 00:02:15,440 ใครก็ตามที่แกะสลักโถงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกัน 28 00:02:15,520 --> 00:02:18,760 กับที่สร้างวิหารที่ประดับด้วยทองคำหรูหรา 29 00:02:18,840 --> 00:02:20,840 ที่ทำให้อินคามีชื่อเสียง 30 00:02:24,200 --> 00:02:28,120 ราวกับว่าชาวอินคาที่เคารพบูชาที่นี่ ได้สร้างกำแพงหินรอบนอกไว้เพื่อทำเครื่องหมาย 31 00:02:28,200 --> 00:02:32,320 และแสดงความเคารพต่อสิ่งที่พวกเขาเจอ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น 32 00:02:33,720 --> 00:02:36,320 นี่เรากำลังดูผลงานของคนอื่น 33 00:02:36,840 --> 00:02:38,040 วัฒนธรรมที่เก่าแก่กว่า 34 00:02:38,120 --> 00:02:41,480 ที่เข้าใจเรื่องการแกะสลักหิน ในแบบที่ยอดเยี่ยมนี้หรือไม่ 35 00:02:54,560 --> 00:02:59,080 (หายนะอารยะธรรมโบราณ อเมริกา) 36 00:02:59,160 --> 00:03:01,320 (ตอนที่สี่) 37 00:03:04,840 --> 00:03:07,640 ผมอยู่บนเนินเขาเหนือเมืองกุสโกในเปรู 38 00:03:07,720 --> 00:03:11,760 เพื่อสำรวจเทคนิคการแกะสลักหิน ที่อาจมีความเก่าแก่มากๆ 39 00:03:11,840 --> 00:03:13,400 ที่รู้จักกันในชื่อฮานันปาชา 40 00:03:16,040 --> 00:03:22,440 เรามีปริศนาหลายชั้นเลยครับ และเพื่อไขปริศนานั้นให้ได้ 41 00:03:22,520 --> 00:03:26,160 เราต้องดูสถาปัตยกรรมสไตล์ต่างๆ 42 00:03:26,240 --> 00:03:28,880 ที่บางครั้งก็อยู่รวมกันบนถนนสายเดียวกัน 43 00:03:28,960 --> 00:03:30,360 ในที่อื่นๆ บนโลก 44 00:03:30,440 --> 00:03:33,840 การผสมผสานแบบนี้จะถูกมองว่า เป็นหลักฐานงานฝีมือที่มาจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน 45 00:03:35,120 --> 00:03:39,480 ตรงกลางระหว่างวิหารแห่งดวงจันทร์ กับหินใหญ่แห่งซัคซายฮัวมาน 46 00:03:40,200 --> 00:03:43,280 มีสถานที่สำคัญอีกแห่งที่อยู่ในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ 47 00:03:43,360 --> 00:03:47,480 ที่ดูเหมือนจะใช้เทคนิค แกะสลักหินโบราณแบบเดียวกัน 48 00:03:49,040 --> 00:03:49,920 เคนโก 49 00:03:50,000 --> 00:03:53,400 (เคนโก) 50 00:03:54,120 --> 00:03:56,880 ชื่อภาษาเคชัวของมันแปลว่า "เขาวงกต" 51 00:03:58,800 --> 00:04:01,680 และเมื่อเริ่มสำรวจ ผมก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้ชื่อนี้ 52 00:04:03,480 --> 00:04:06,440 เมื่อเริ่มเดินทางเข้าสู่ใจกลางของมัน 53 00:04:06,520 --> 00:04:09,720 คุณจะได้พบกับเส้นทางคดเคี้ยว 54 00:04:09,800 --> 00:04:11,880 และทำให้คุณใคร่ครวญจิตใจตัวเอง 55 00:04:15,280 --> 00:04:20,480 เคนโกเป็นสถานที่ที่ทำให้ผู้มาเยือน พบว่าตนเองอยู่ลำพัง 56 00:04:21,440 --> 00:04:24,280 ห้อมล้อมด้วยบรรยากาศลึกลับและน่าพิศวง 57 00:04:25,000 --> 00:04:27,000 รายล้อมด้วยความเงียบสงบ 58 00:04:34,040 --> 00:04:36,480 มันเป็นเครือข่ายอุโมงค์หินแกะสลักที่ซับซ้อน 59 00:04:39,240 --> 00:04:40,960 มีโถงใต้ดิน 60 00:04:44,080 --> 00:04:49,120 และแท่นบูชาที่ดูเหมือน จะถูกแกะสลักมาจากหินฐาน 61 00:04:51,000 --> 00:04:53,840 และทุกอย่างก็ดูเหมือนจะพามายัง ลานครึ่งวงกลมที่ตั้งอยู่ตรงกลาง 62 00:04:56,200 --> 00:04:59,920 เฮซูส กามารามาสมทบกับผมอีกครั้ง เพื่อแบ่งปันความเชี่ยวชาญของเขาให้ฟัง 63 00:05:02,120 --> 00:05:04,400 สิ่งที่เราเห็นที่เคนโก ชิโก 64 00:05:04,480 --> 00:05:07,240 มีอันไหนที่เป็นฝีมือของชาวอินคาบ้างไหมครับ 65 00:05:08,400 --> 00:05:10,360 ไม่มีครับ 66 00:05:10,440 --> 00:05:16,600 แม้ว่าจะมีหลักฐานถึงการปรากฏ ของชาวอินคาอยู่บ้าง 67 00:05:17,280 --> 00:05:19,840 อย่างหินก้อนเล็กๆ หรือการใช้ดินเหนียวในการเชื่อม 68 00:05:19,920 --> 00:05:26,320 แต่ก็มักเป็นการทำขึ้นเพื่อเคารพ ต่อการสร้างแบบฮานันปาชา 69 00:05:26,400 --> 00:05:30,760 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นที่เคารพรักอย่างมาก 70 00:05:30,840 --> 00:05:33,280 พวกเขาเลยสร้างโครงสร้างต่างๆ 71 00:05:33,360 --> 00:05:39,320 ที่ประณีตและแสดงถึงความเคารพไว้รอบๆ มัน 72 00:05:41,440 --> 00:05:46,000 หินแกะสลักโบราณนี้ มีบล็อกหินที่เรียบง่ายกว่าสร้างล้อมรอบ 73 00:05:46,080 --> 00:05:48,480 เหมือนกับที่ผมเห็นที่ด้านนอกวิหารแห่งดวงจันทร์ 74 00:05:50,200 --> 00:05:52,120 มันคือการผสมผสานระหว่างสไตล์ 75 00:05:52,720 --> 00:05:55,560 ที่เราพบได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งในเปรู 76 00:05:57,320 --> 00:06:01,160 เช่นเดียวกับที่มาชูปิกชู หินอินติฮัวตานาที่แกะสลักอย่างเรียบเนียน 77 00:06:01,240 --> 00:06:02,640 เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม 78 00:06:04,800 --> 00:06:08,480 ก็ดูจะมีกำแพงที่ชาวอินคาสร้างล้อมรอบไว้ทีหลัง 79 00:06:09,560 --> 00:06:12,400 อาจเพื่อเคารพยกย่องว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 80 00:06:15,080 --> 00:06:18,040 นี่อาจอธิบายเรื่องการก่อสร้างหิน ที่สไตล์ผสมผสานกันแปลกๆ 81 00:06:18,120 --> 00:06:21,080 ที่เราเห็นทั้งบนกำแพงที่กุสโก และที่ซัคซายฮัวมานก็ได้ 82 00:06:22,080 --> 00:06:26,800 ที่เฮซูส กามาราอธิบายว่าเป็นการเอา บล็อกหินใหม่ๆ มาเพิ่มไว้ด้านบนและรอบๆ 83 00:06:26,880 --> 00:06:30,720 หินที่ถูกแกะสลักเรียบเนียน ซึ่งอาจมีอายุเก่าแก่กว่ามาก 84 00:06:33,640 --> 00:06:36,040 ไม่ว่าหินพวกนี้จะถูกแกะสลักขึ้นเมื่อไร 85 00:06:36,120 --> 00:06:38,680 คำถามที่ยังไร้คำตอบก็คือพวกเขาทำมันได้ยังไง 86 00:06:38,760 --> 00:06:42,880 เป็นไปได้ไหมว่าเรากำลังมองดูร่องรอย เทคโนโลยียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สูญหายไป 87 00:06:47,000 --> 00:06:51,200 ยาน ปีเตอร์ เดอ ยอง เพื่อนร่วมงานวิจัยของเฮซูสคิดว่ามีเบาะแส 88 00:06:51,280 --> 00:06:55,280 วิธีที่หินถูกแกะสลักอย่างชำนาญอยู่ที่ซัคซายฮัวมาน 89 00:07:03,960 --> 00:07:06,800 ยานครับ คุณเพิ่งพาผมมาที่อุโมงค์แคบๆ นี้ 90 00:07:06,880 --> 00:07:09,640 ที่ผนังของมันแวววาวมากเลย ที่นี่ชื่ออะไรเหรอครับ 91 00:07:09,720 --> 00:07:12,120 คนเรียกมันว่าชินกานา ชิกาครับ 92 00:07:13,200 --> 00:07:16,160 แปลว่า "สถานที่ที่ผู้คนหลงทาง" 93 00:07:17,960 --> 00:07:19,880 ตรงนี้เป็นหินฐานตามธรรมชาติ 94 00:07:19,960 --> 00:07:23,320 แต่เห็นได้ชัดว่าอุโมงค์สร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ 95 00:07:23,400 --> 00:07:26,760 นี่เป็นลักษณะเฉพาะของสไตล์ การก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่นี่เหรอครับ 96 00:07:26,840 --> 00:07:29,560 ที่พวกเขาเอาหินฐานธรรมชาติ มาแกะสลักแบบนี้น่ะ 97 00:07:29,640 --> 00:07:32,440 ครับ ลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง ของสไตล์ฮานันปาชา 98 00:07:32,520 --> 00:07:36,000 คือการเอาเทคโนโลยีแบบแม่พิมพ์มาใช้กับหิน 99 00:07:36,600 --> 00:07:41,160 คุณจะเห็นว่าพวกเขาเอาหินมาใช้งาน เหมือนกับว่าเนื้อหินมีความนุ่ม 100 00:07:41,680 --> 00:07:44,560 เพราะมันเหมือนมีอะไรต่างๆ มากดลงบนหิน 101 00:07:44,640 --> 00:07:47,880 ตอนคุณพูดว่าเทคโนโลยีแม่พิมพ์ คุณหมายถึงการทำให้เนื้อหินให้อ่อนนุ่มก่อน 102 00:07:47,960 --> 00:07:50,280 จากนั้นก็เอาแม่พิมพ์มากดลงบนหินเหรอครับ 103 00:07:50,360 --> 00:07:54,120 เราคิดว่าหินมันนิ่มในช่วงที่มีการก่อสร้างครับ 104 00:07:56,320 --> 00:07:58,440 แต่พวกเขาทำให้หินนิ่มได้ยังไง 105 00:07:59,240 --> 00:08:03,040 ยานเชื่อว่าผนังอุโมงค์นี้คือกุญแจไขปริศนา 106 00:08:05,120 --> 00:08:09,080 ข้างในอุโมงค์นี้ เราเห็นภาพสะท้อนเยอะมาก 107 00:08:09,720 --> 00:08:12,040 ผมว่ามันแวววาวเหมือนเงาของโลหะเลย 108 00:08:12,560 --> 00:08:14,760 ถ้าลองลูบดู มันเรียบเนียนมากๆ ด้วย 109 00:08:16,720 --> 00:08:19,040 เราเลยคิดว่าหินถูกทำให้อ่อนลง ด้วยการใช้ความร้อน 110 00:08:19,120 --> 00:08:21,840 และความร้อนนี้ก็ทำให้เกิดชั้นบางๆ บนผิวหิน 111 00:08:22,800 --> 00:08:24,960 เพราะแบบนั้นมันถึงได้แวววาว 112 00:08:27,080 --> 00:08:30,280 นักธรณีวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า การใช้ความร้อนทำให้เกิดผลึก 113 00:08:31,440 --> 00:08:33,520 พอรู้ไหมครับว่าต้องใช้ความร้อนแค่ไหน 114 00:08:33,600 --> 00:08:36,560 นี่เหมือนเทคนิคการทำแก้วเลยครับ 115 00:08:37,280 --> 00:08:40,440 แปลว่าเราต้องใช้ความร้อน ราว 1,400 องศาเซลเซียส 116 00:08:41,080 --> 00:08:43,880 ซึ่งเป็นความร้อนปริมาณมหาศาลเลย 117 00:08:43,960 --> 00:08:46,000 ครับ ใช่เลย เราไม่รู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไง 118 00:08:46,080 --> 00:08:47,560 แต่รู้ว่าพวกเขาทำแบบนั้น 119 00:08:52,720 --> 00:08:55,280 เมื่อคุณมองดูมันดีๆ คุณก็ต้องถามตัวเองว่า 120 00:08:55,960 --> 00:09:00,680 "แหล่งความร้อนเป็นตัวทำให้หินเมกะลิธ ขนาดมหึมาที่ซัคซายฮัวมาน 121 00:09:00,760 --> 00:09:03,560 หลอมละลายเข้าหากันจนดูแปลกตาใช่หรือไม่" 122 00:09:09,080 --> 00:09:12,720 สิ่งแรกที่คนที่กังขาในเรื่องนี้จะพูดก็คือ ไอ้ผนังแวววาวในอุโมงค์นั้น 123 00:09:12,800 --> 00:09:16,200 เกิดจากการที่คนเดินผ่านและลูบผนังอุโมงค์ 124 00:09:16,280 --> 00:09:17,440 คิดยังไงกับความเห็นนี้ครับ 125 00:09:17,520 --> 00:09:19,840 คนมากมายบอกว่า "ใช่ แน่นอน 126 00:09:19,920 --> 00:09:24,920 ที่ผนังแวววาว เป็นเพราะคนเอามือลูบผนังอุโมงค์นี้" 127 00:09:25,520 --> 00:09:29,080 แต่คุณจะเห็นว่าเพดานก็แวววาวด้วย รวมถึงผนังทุกด้านในอุโมงค์เลย 128 00:09:29,160 --> 00:09:31,960 ดังนั้นมันคงไม่สมเหตุสมผลถ้าพูดว่า 129 00:09:32,040 --> 00:09:34,560 ผู้คนลูบทุกๆ ที่พร้อมกัน 130 00:09:34,640 --> 00:09:38,280 แล้วข้อโต้แย้งอีกอย่างที่บอกว่า เป็นเพราะภูเขาไฟระเบิดล่ะครับ 131 00:09:38,360 --> 00:09:40,280 เราไม่มีภูเขาไฟที่นี่ครับ 132 00:09:40,360 --> 00:09:43,320 - โอเค - มันเลยไม่ใช่คำอธิบายที่มีเหตุผล 133 00:09:45,480 --> 00:09:48,040 สำหรับยาน คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้คือ 134 00:09:48,120 --> 00:09:52,520 เรากำลังมองดูผลลัพธ์ของกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์โบราณบางอย่าง 135 00:09:52,600 --> 00:09:56,400 ที่อารยธรรมที่เก่าแก่กว่าอินคา คิดค้นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ 136 00:09:59,000 --> 00:10:02,840 มันเกิดขึ้นโดยฝีมือคนโบราณ ในอดีตไกลโพ้นเลยครับ 137 00:10:02,920 --> 00:10:05,840 และเราไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาใช้เทคโนโลยีอะไร 138 00:10:07,800 --> 00:10:09,840 เวลาที่ผมมองดูซัคซายฮัวมาน 139 00:10:09,920 --> 00:10:12,720 ผมคิดว่ากำลังดูร่องรอย ของเทคโนโลยีที่สูญหายไป 140 00:10:12,800 --> 00:10:15,200 ศาสตร์การทำงานกับหินที่สูญหายไป 141 00:10:15,280 --> 00:10:18,280 ศาสตร์ที่พวกเราทุกวันนี้ไม่เชี่ยวชาญ 142 00:10:18,360 --> 00:10:21,080 เราไม่มีเทคโนโลยีในการทำเลียนแบบ 143 00:10:26,400 --> 00:10:29,720 ยังคงเป็นปริศนาที่ว่าเทคโนโลยีนี้คืออะไรกันแน่ 144 00:10:30,760 --> 00:10:33,160 แต่เฮซูส กามาราเชื่อว่าการใช้ความร้อนสูง 145 00:10:33,240 --> 00:10:37,080 จนทำให้หินอ่อนลงจนสามารถขึ้นรูปได้นั้น 146 00:10:37,600 --> 00:10:40,440 ยังทำให้หินแข็งและมีความทนทานมากขึ้น หลังจากที่มันเย็นตัวลงด้วย 147 00:10:43,280 --> 00:10:46,000 ตอนมองไปรอบๆ ผมสังเกตว่า แม้ว่าหินพวกนี้จะโบราณมาก 148 00:10:46,080 --> 00:10:48,560 แต่มันกลับดูทันสมัยมากด้วย 149 00:10:48,640 --> 00:10:51,840 คุณให้เหตุผลในสิ่งที่เห็นนี้ยังไงครับ 150 00:10:52,480 --> 00:10:57,760 เฉพาะหินที่ถูกใช้ความร้อนและแม่พิมพ์เท่านั้น 151 00:10:58,360 --> 00:11:01,080 ที่ยังคงสภาพโดยไม่ถูกทำลาย 152 00:11:01,160 --> 00:11:05,480 หินส่วนที่เหลือดูขรุขระ 153 00:11:06,000 --> 00:11:11,320 ซึ่งเป็นผลจากการถูกสภาพอากาศกัดเซาะ 154 00:11:14,720 --> 00:11:18,040 คุณจะอธิบายสิ่งที่เรามองเห็นอยู่ที่นี่ยังไงครับ 155 00:11:18,120 --> 00:11:21,880 มีปริศนามากมายที่เราไม่สามารถอธิบายได้ครับ 156 00:11:21,960 --> 00:11:26,400 เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของอดีต ที่ยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ 157 00:11:26,480 --> 00:11:28,920 ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน 158 00:11:33,080 --> 00:11:36,080 พอถึงจุดหนึ่ง เราแค่ต้องยอมรับ 159 00:11:36,160 --> 00:11:41,080 ว่าเรากำลังมองดู งานทางวิศวกรรมที่ไม่น่าเป็นไปได้ 160 00:11:41,160 --> 00:11:42,960 เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเรา 161 00:11:44,560 --> 00:11:48,280 นี่ทำให้เราต้องเปิดใจให้มากขึ้น 162 00:11:48,360 --> 00:11:52,000 ในแง่ของทัศนคติที่ใช้มองคนโบราณ มากกว่าที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ 163 00:11:54,080 --> 00:11:58,040 ตามประเพณีท้องถิ่น ที่ผู้พิชิตชาวสเปนบันทึกไว้ 164 00:11:58,560 --> 00:12:01,320 เทคนิคขั้นสูงในการทำงานกับหิน 165 00:12:01,400 --> 00:12:03,560 เป็นส่วนหนึ่งของมรดกความรู้ 166 00:12:03,640 --> 00:12:07,080 ถ่ายทอดมาจากวิราโคชา เทพผู้สร้างแห่งเทือกเขาแอนดีส 167 00:12:11,000 --> 00:12:14,000 ผู้ที่ทำให้หินติดไฟ 168 00:12:14,520 --> 00:12:19,760 ทำให้หินก้อนมหึมาเบาดุจขนนก จนมันลอยไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้ 169 00:12:22,680 --> 00:12:25,480 ซึ่งฟังดูคล้ายกับทฤษฎีความร้อนสูงมาก 170 00:12:28,440 --> 00:12:31,960 เพราะแบบนี้ผมถึงได้สนใจ ประเพณีของชนพื้นเมือง 171 00:12:32,040 --> 00:12:36,000 ที่พูดถึงหินที่ถูกทำให้ละลาย หรือถูกหลอมเข้าด้วยกัน 172 00:12:36,080 --> 00:12:39,440 มาเปิดหูเปิดตารับความเป็นไปได้นั้นกันครับ 173 00:12:41,360 --> 00:12:44,680 หลักฐานของเทคโนโลยีที่อธิบายไม่ได้นี้ 174 00:12:44,760 --> 00:12:48,120 พบได้ทั่วที่ราบสูงของซากเปรูโบราณ 175 00:12:49,800 --> 00:12:52,880 แต่เป็นไปได้ไหมว่ามีหลักฐานความสำเร็จ ทางวิทยาศาสตร์ในสมัยโบราณ 176 00:12:52,960 --> 00:12:55,040 อยู่อีกฟากหนึ่งของเทือกเขาแอนดีส 177 00:12:56,800 --> 00:13:01,440 ในป่าดงดิบแอมะซอนที่เรามองข้ามไป 178 00:13:03,800 --> 00:13:08,840 (แอมะซอน เปรูตะวันออกเฉียงเหนือ) 179 00:13:11,720 --> 00:13:13,760 แค่เพราะพื้นที่เหล่านั้นไม่น่าดึงดูด 180 00:13:13,840 --> 00:13:15,840 ให้มนุษย์ไปอยู่อาศัยในปัจจุบัน 181 00:13:17,000 --> 00:13:20,560 ไม่ได้แปลว่าในอดีตมันไม่น่าดึงดูดใจ 182 00:13:21,360 --> 00:13:23,600 การตรวจสอบที่ยังคงดำเนินอยู่ 183 00:13:23,680 --> 00:13:27,280 เปิดเผยให้เห็นหลักฐานว่า มีความลับยิ่งใหญ่อยู่ในป่าแอมะซอน 184 00:13:29,680 --> 00:13:33,280 ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีหลักฐานที่ว่า เคยมีมนุษย์อยู่อาศัยในแอมะซอนโบราณ 185 00:13:34,080 --> 00:13:37,160 ย้อนกลับไปอย่างน้อย 25,000 ปีก่อน 186 00:13:37,880 --> 00:13:39,600 (ราว 25,000 ปีก่อน) 187 00:13:39,680 --> 00:13:43,200 จู่ๆ ข้อมูลนี้ได้ขยายกรอบเวลา ให้กว้างขึ้นอย่างมาก 188 00:13:43,280 --> 00:13:45,080 ในการระบุอารยธรรมที่สูญหายไป 189 00:13:46,200 --> 00:13:49,280 ความเป็นไปได้ในการสร้างอารยธรรม 190 00:13:49,360 --> 00:13:53,560 ได้ขยายลึกซึ้งและยาวนานมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องทำการค้นหา 191 00:13:59,800 --> 00:14:06,320 ที่จริงดูเหมือนชาวยุโรปกลุ่มแรก ที่สำรวจพื้นที่แอมะซอนทั้งหมดในปี 1542 192 00:14:07,520 --> 00:14:09,920 อาจได้เห็นทายาท 193 00:14:10,000 --> 00:14:13,400 ของอารยธรรมที่ว่านั้นเมื่อพวกเขาผ่านมาแถวนี้ 194 00:14:16,800 --> 00:14:20,400 คณะสำรวจนั้นนำโดยนักผจญภัย ที่ชื่อว่าฟรานซิสโก เดอ โอเรยาน่า 195 00:14:20,480 --> 00:14:23,800 และถูกบันทึกโดยนักบวชชาวโดมินิกัน ที่ชื่อกาสปาร์ เดอ การ์วาฆัล 196 00:14:26,960 --> 00:14:29,160 บันทึกของเดอ การ์วาฆัลไม่ได้พูดถึง 197 00:14:29,240 --> 00:14:32,600 ผืนป่ากว้างใหญ่ที่เหมือนไร้คนอยู่อาศัย อย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ 198 00:14:35,960 --> 00:14:39,600 นักบวชบรรยายว่าลุ่มแม่น้ำแอมะซอน เต็มไปด้วยเมืองต่างๆ 199 00:14:39,680 --> 00:14:42,280 ที่กลุ่มคนที่มีทักษะสูงอาศัยอยู่ 200 00:14:44,440 --> 00:14:48,880 เขาเขียนไว้ว่า "เมืองหนึ่งทอดยาวไปถึง 20 กิโลเมตร" 201 00:14:49,920 --> 00:14:52,200 นั่นยาวเท่าเกาะแมนฮัตตันเลยทีเดียว 202 00:14:55,520 --> 00:14:59,320 แต่เมื่อคณะมิชชันนารีมาถึงราวหนึ่งศตวรรษต่อมา 203 00:14:59,400 --> 00:15:01,400 พวกเขาไม่เป็นเมืองแบบที่ถูกบันทึกไว้เลย 204 00:15:03,000 --> 00:15:06,760 นักประวัติศาสตร์จึงมองว่าบันทึกของ เดอ การ์วาฆัลเป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้น 205 00:15:06,840 --> 00:15:11,560 เพื่อทำให้ราชวงศ์สเปนประทับใจ พวกเขาจะได้ให้ทุนสำรวจมากขึ้น 206 00:15:14,360 --> 00:15:17,680 แต่เมื่อผืนป่ากว้างใหญ่นี้ เริ่มยอมเผยความลับออกมา 207 00:15:18,560 --> 00:15:22,200 ก็เริ่มดูเหมือนว่าบันทึกเหล่านั้น เป็นเรื่องจริงมาโดยตลอด 208 00:15:24,040 --> 00:15:26,040 การค้นพบล่าสุดในป่าแอมะซอนชี้ให้เห็นว่า 209 00:15:26,120 --> 00:15:28,760 เคยมีอารยธรรมโบราณอยู่ที่นี่จริงๆ 210 00:15:32,200 --> 00:15:37,880 การใช้ไลดาร์ส่องผ่านม่านไม้ ของป่าทึบโบลิเวียในปี 2019 211 00:15:37,960 --> 00:15:40,160 (ยาโนส เด โมโซส ตอนเหนือของโบลิเวีย) 212 00:15:40,240 --> 00:15:44,640 นักโบราณคดีต่างประหลาดใจที่ได้เห็นโครงสร้าง และถนนขนาดใหญ่ที่มนุษย์สร้างขึ้น 213 00:15:47,200 --> 00:15:50,800 ผลการวิจัยใหม่ๆ นี้ทำให้เรารู้แล้วว่า เคยมีการตั้งถิ่นฐานขนาดใหญ่หลายแห่ง 214 00:15:52,240 --> 00:15:56,240 อย่างที่เรารู้ มีตำนานเรื่องเล่า เกี่ยวกับเมืองที่สาบสูญในแอมะซอน 215 00:15:56,920 --> 00:16:00,840 เมืองคือคำที่ถูกต้องในการอธิบาย การตั้งถิ่นฐานเหล่านี้เลย 216 00:16:02,560 --> 00:16:06,480 อิงจากข้อมูลและความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับ หมู่บ้านของชาวแอมะซอนที่ยังมีอยู่ 217 00:16:07,200 --> 00:16:10,120 นักวิจัยเชื่อว่าพวกเขารู้ว่านิคมเหล่านั้น 218 00:16:10,200 --> 00:16:13,520 หรือที่รู้จักในชื่อโคโตกา อาจดูเป็นยังไง 219 00:16:18,000 --> 00:16:20,320 เมืองนี้กว้างเกือบ 1.6 กิโลเมตร 220 00:16:21,480 --> 00:16:26,280 ทั้งมหานครนี้มีคลองและถนนล้อมรอบ 221 00:16:28,440 --> 00:16:33,280 ถนนบางสายก็นำไปยังชานยกสูง ซึ่งอาจใช้เป็นที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล 222 00:16:36,440 --> 00:16:39,960 และที่อยู่ใจกลางเมือง มีเนินพีระมิดสูงตระหง่าน 223 00:16:40,520 --> 00:16:42,280 ที่น่าจะเป็นศูนย์ทำพิธีกรรม 224 00:16:46,160 --> 00:16:48,760 ยิ่งไปกว่านั้น เมืองนี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกัน 225 00:16:48,840 --> 00:16:53,600 กับนิคมที่คล้ายกันอย่างน้อยสามแห่ง โดยถนนที่ทอดยาวหลายกิโลเมตร 226 00:16:56,160 --> 00:16:59,280 เราไม่รู้อะไรมากนัก เกี่ยวกับผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองนี้ 227 00:16:59,360 --> 00:17:02,280 แต่สิ่งที่เรารู้ซ่อนอยู่ใต้ร่มเงาของป่าครับ 228 00:17:02,360 --> 00:17:05,640 นั่นคือมีเมืองมากกว่านี้ มีอีกเยอะมาก 229 00:17:06,080 --> 00:17:07,480 (อูปาโน วัลเลย์ เอกวาดอร์) 230 00:17:07,560 --> 00:17:09,960 นักโบราณคดีได้รวบรวมหลักฐาน 231 00:17:10,040 --> 00:17:13,680 ที่เปิดเผยสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า หุบเขาแห่งเมืองโบราณที่สาบสูญ 232 00:17:13,760 --> 00:17:15,560 ซ่อนอยู่ในป่าแอมะซอนของเอกวาดอร์ 233 00:17:17,240 --> 00:17:20,840 ในแอมะซอนตะวันตก นักโบราณคดีเพิ่งค้นพบ 234 00:17:20,920 --> 00:17:23,480 สิ่งที่ดูเหมือนเป็นกระจุกนิคมขนาดใหญ่ 235 00:17:24,360 --> 00:17:29,480 เชื่อมต่อกันด้วยถนนหนทาง ย้อนกลับไปราว 2,500 ปีก่อน 236 00:17:30,480 --> 00:17:32,960 คล้ายๆ กับจีโอกลิฟที่ผมเห็นในบราซิลเลย 237 00:17:34,400 --> 00:17:38,320 การสร้างเมืองใหญ่ๆ การสร้างจีโอกลิฟของรัฐอาเกร 238 00:17:38,400 --> 00:17:41,560 สิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกพิจารณาว่าเป็นความสามารถ 239 00:17:41,640 --> 00:17:44,160 ของผู้ล่าสัตว์หรือเก็บของป่าในแอมะซอน 240 00:17:44,240 --> 00:17:46,000 แต่เห็นชัดเลยว่าพวกเขามีทักษะนี้ 241 00:17:46,080 --> 00:17:47,760 (แอมะโซเนีย) 242 00:17:47,840 --> 00:17:51,840 มีการค้นพบนิคมโบราณเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ 243 00:17:52,760 --> 00:17:56,000 ชี้ให้เห็นถึงการแพร่กระจาย ของอารยธรรมแอมะซอน 244 00:17:57,200 --> 00:18:01,080 ที่อาจเคยเป็นอารยธรรม ที่มีประชากรมากถึง 20 ล้านคน 245 00:18:03,920 --> 00:18:07,800 สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในขณะนี้ คือเรื่องราวของแอมะซอน 246 00:18:07,880 --> 00:18:09,880 ไม่ได้เป็นอย่างที่เราถูกสอนมา 247 00:18:11,640 --> 00:18:15,760 เดอ การ์วาฆัลอาจได้เห็นนิคม ขนาดใหญ่ในปี 1542 จริงๆ 248 00:18:18,320 --> 00:18:21,720 แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมชาวยุโรปที่ล่องไปตามแม่น้ำ 249 00:18:21,800 --> 00:18:24,480 ในอีกศตวรรษต่อมา ถึงไม่เห็นหลักฐานการมีอยู่ของเมืองเหล่านี้ 250 00:18:28,000 --> 00:18:30,280 มีคำอธิบายที่ค่อนข้างน่ากลัวอยู่อย่างนึงครับ 251 00:18:31,760 --> 00:18:34,640 เมื่อชาวสเปนและโปรตุเกส เข้ามาในทวีปอเมริกา 252 00:18:34,720 --> 00:18:37,640 พวกเขาเอาเชื้อโรคมากมายมาด้วย 253 00:18:37,720 --> 00:18:40,640 ซึ่งชาวยุโรปมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติอยู่แล้ว 254 00:18:40,720 --> 00:18:42,640 แต่ผู้คนในแอมะซอนไม่มี 255 00:18:45,280 --> 00:18:48,400 ประชากรทุกคนที่นี่คงเจ็บป่วยล้มตายอย่างหนัก 256 00:18:49,200 --> 00:18:52,520 ขณะที่ป่าดงดิบก็กลืนกิน นิคมของพวกเขาอย่างรวดเร็ว 257 00:18:53,560 --> 00:18:56,080 แต่เราได้พบเสียงสะท้อน ของอารยธรรมนั้นมากขึ้น 258 00:18:56,680 --> 00:19:00,280 ในตำนานของชาวตูกาโนในแอมะซอนตะวันตก 259 00:19:02,040 --> 00:19:05,600 ชาวตูกาโนมีเรื่องเล่าต้นกำเนิดของพวกเขา ที่ว่าบรรพบุรุษของพวกเขา 260 00:19:05,680 --> 00:19:09,360 ที่ถูกพามายังพื้นที่นั้นครั้งแรก เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสร้างอารยธรรม 261 00:19:09,440 --> 00:19:14,040 โดยเดินทางกันมาในเรือแคนูที่เหมือนงู ล่องมาตามแม่น้ำแอมะซอน 262 00:19:16,680 --> 00:19:18,440 ตำนานเล่าว่า 263 00:19:18,520 --> 00:19:22,040 เรือแคนูที่มีรูปร่างเหมือนงูอนาคอนดานี้ มีวิญญาณเป็นผู้คุมเรือ 264 00:19:22,600 --> 00:19:24,920 และบรรทุกมนุษย์ผู้อพยพมาด้วย 265 00:19:28,880 --> 00:19:32,680 ไม่นานหลังจากนั้น ธิดาแห่งดวงอาทิตย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็มายังโลก 266 00:19:33,880 --> 00:19:40,000 นำของขวัญเช่นไฟและเครื่องมือ รวมถึงความรู้ในศิลปะและหัตถกรรมมาให้ 267 00:19:43,320 --> 00:19:47,920 นางและพรรคพวกเหนือธรรมชาติของนาง ได้เตรียมดินแดนเพื่อให้มนุษย์เจริญรุ่งเรือง 268 00:19:48,920 --> 00:19:51,600 ก่อนจะกลับไปยังที่พักพิงในโลกอื่นของพวกตน 269 00:19:55,720 --> 00:20:00,360 ผมว่าเรื่องนี้ฟังดูคล้ายมากๆ กับเรื่องราวของวีรบุรุษจากโลกศิวิไลซ์ 270 00:20:00,440 --> 00:20:01,840 ที่เล่าขานกันทั่วโลก 271 00:20:01,920 --> 00:20:05,120 ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบเดียวกัน 272 00:20:05,200 --> 00:20:07,120 ธีมเรื่องแบบนี้ปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ เลย 273 00:20:08,320 --> 00:20:10,520 ดวงวิญญาณที่มาถึงทางเรือ 274 00:20:12,720 --> 00:20:15,280 เหมือนเควตซาลโคลาเทิลในตำนานแอซแท็ก 275 00:20:16,920 --> 00:20:19,760 หรือฮูตู มาตูอา ตอนที่เขามายังเกาะราปานูอี 276 00:20:22,400 --> 00:20:25,360 หรือวิราโคชา ที่ปรากฏตัวขึ้นจากทะเลสาบติติกากา 277 00:20:25,440 --> 00:20:27,440 หลังจากช่วงเวลาแห่งความโกลาหล 278 00:20:30,760 --> 00:20:32,600 เป็นไปได้ไหมที่ธิดาแห่งดวงอาทิตย์ผู้นี้ 279 00:20:32,680 --> 00:20:35,840 และภารกิจของนางในการช่วยเหลือผู้คน ให้ตั้งถิ่นฐานในแอมะซอน 280 00:20:36,360 --> 00:20:40,040 จะเกี่ยวข้องกับอารยธรรมที่สาบสูญไป ที่ผมตามหามาตลอด 281 00:20:45,280 --> 00:20:46,800 บนเทือกเขาแอนดีสของเปรู 282 00:20:46,880 --> 00:20:49,840 ว่ากันว่าวิราโคชาใช้ปาฏิหาริย์ในการก่อสร้างหิน 283 00:20:51,240 --> 00:20:55,120 แต่ในแอมะซอนนี้ ที่ซึ่งหินก้อนใหญ่หายาก 284 00:20:55,720 --> 00:20:57,760 มีการใช้วัสดุที่คงทนน้อยกว่า 285 00:20:57,840 --> 00:21:00,400 อย่างไม้และดินมาทำอาคารบ้านเรือน 286 00:21:04,200 --> 00:21:07,320 สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนก็คือพวกเขาทำยังไง 287 00:21:07,400 --> 00:21:11,040 ให้สถานที่ที่ดูเหมือนไม่เอื้อต่อการอยู่อาศัยนี้ กลายเป็นบ้านของพวกเขา 288 00:21:13,600 --> 00:21:16,360 พวกเขารักษาประชากร จำนวนมหาศาลไว้ได้ยังไง 289 00:21:17,720 --> 00:21:21,080 บนผืนดินที่เราเคยคิดกันมานานว่า ไม่เหมาะทำการเกษตร 290 00:21:23,520 --> 00:21:27,600 ถ้าเราไม่เข้าใจความสามารถของชาวแอมะซอน 291 00:21:27,680 --> 00:21:30,120 ในการหาเลี้ยงประชากรหลายล้านคน 292 00:21:30,200 --> 00:21:33,240 เราก็จะไม่สามารถเข้าใจความจริง 293 00:21:33,320 --> 00:21:35,320 เกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์โดยรวมได้ 294 00:21:36,800 --> 00:21:40,680 คำอธิบายหนึ่งพบได้ ที่ใจกลางป่าแอมะซอนของบราซิล 295 00:21:42,360 --> 00:21:43,520 ใกล้กับเมืองมาเนาส์ 296 00:21:45,120 --> 00:21:48,360 ความลับที่ถูกฝังลึกในพื้นดินของแอมะซอน 297 00:21:48,880 --> 00:21:51,920 ได้ถูกเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้เองครับ 298 00:21:52,560 --> 00:21:56,120 หลักฐานทางวิทยาศาสตร์โบราณที่ช่วยอธิบายว่า 299 00:21:56,200 --> 00:21:59,680 ป่าดงดิบสามารถเลี้ยงดู ประชากรเมืองขนาดใหญ่ได้ยังไง 300 00:22:03,640 --> 00:22:06,480 แองเจล่า อาราอูโจเป็นนักโบราณคดี 301 00:22:06,560 --> 00:22:09,560 ที่เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ ทางประวัติศาสตร์ระหว่างมนุษย์กับพืช 302 00:22:14,040 --> 00:22:18,080 ช่วงนี้เธอได้มุ่งเน้นศึกษาปรากฏการณ์ลึกลับ 303 00:22:21,400 --> 00:22:26,440 ปกติแล้วดินในป่าดงดิบจะไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ 304 00:22:26,520 --> 00:22:28,520 หรือเหมาะทำการเกษตรครับ 305 00:22:30,840 --> 00:22:33,760 แต่รอบพื้นที่นิคมทั้งโบราณและสมัยใหม่ 306 00:22:33,840 --> 00:22:36,400 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสิ่งที่น่าพิศวง 307 00:22:37,440 --> 00:22:39,600 นั่นคือแผ่นดินที่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ 308 00:22:40,240 --> 00:22:43,440 ที่เรียกว่าเทอร์รา เปรตา หรือดินดำแอมะซอน 309 00:22:44,960 --> 00:22:50,360 สิ่งที่เรามีตรงนี้คือดินสีดำ เมื่อเปรียบเทียบกับดินในบริเวณรอบๆ 310 00:22:50,440 --> 00:22:53,600 สิ่งที่น่าแปลกและน่าพิศวงก็คือมันมีแบคทีเรีย 311 00:22:53,680 --> 00:22:56,400 ที่สืบพันธุ์และฟื้นฟูตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง 312 00:22:56,480 --> 00:23:00,320 และทำให้ดินกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้ใหม่ มันเหมือนดินวิเศษเลยละครับ 313 00:23:02,040 --> 00:23:06,200 และดินที่มีพลังวิเศษนี้ก็ถูกพบทั่วแอมะซอน 314 00:23:06,840 --> 00:23:09,120 ในทุกที่ที่มีหลักฐานว่าเคยมีมนุษย์อยู่ 315 00:23:11,400 --> 00:23:14,600 ผมไปเจอกับแองเจล่าใกล้ๆ กับนิคมโบราณ ที่ถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ 316 00:23:15,280 --> 00:23:17,280 เพื่อดูเจ้าดินดำนี้ด้วยตาตัวเอง 317 00:23:19,360 --> 00:23:24,760 คุณเริ่มสนใจดินดำของแอมะซอน ครั้งแรกเมื่อไรครับ 318 00:23:24,840 --> 00:23:26,240 (แองเจล่า อาราอูโจ นักโบราณคดี) 319 00:23:26,320 --> 00:23:31,680 ในปัจจุบัน พวกเราในภูมิภาคนี้ ก็ใช้ดินดำในการปลูกพืชเช่นกันค่ะ 320 00:23:31,760 --> 00:23:36,000 และทันใดนั้น ฉันก็พบว่ามีความสัมพันธ์กัน 321 00:23:36,080 --> 00:23:39,680 ระหว่างผู้คนในอดีตกับผู้คนพวกนี้ 322 00:23:39,760 --> 00:23:42,760 ฉันเลยอยากเข้าใจว่าเหตุใดและวิธีใด 323 00:23:42,840 --> 00:23:48,000 ที่ทำให้ผู้คนที่นี่มีความเชื่อมโยงกับดินดำขนาดนี้ 324 00:23:48,720 --> 00:23:51,960 นักวิจัยพบว่าในองค์ประกอบอินทรีย์ 325 00:23:52,040 --> 00:23:55,440 ของดินดำทุกแห่ง ไม่ว่าดินนั้นจะมีอายุเก่าแก่แค่ไหน 326 00:23:55,960 --> 00:23:57,880 จะมีเศษเซรามิกขนาดเล็กผสมอยู่ 327 00:23:59,000 --> 00:24:01,880 นี่เป็นหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์ในพื้นที่นั้น 328 00:24:01,960 --> 00:24:03,960 มีส่วนในการสร้างดินพิเศษนี้ 329 00:24:05,320 --> 00:24:09,920 และการศึกษาก็ได้พบตัวอย่าง ที่มีอายุอย่างน้อย 7,000 ปีเลยทีเดียว 330 00:24:13,200 --> 00:24:15,200 ประชากรพวกนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหนครับ 331 00:24:15,280 --> 00:24:19,240 ฉันบอกแน่ไม่ได้ค่ะ แต่มีบันทึกที่ชี้ให้เห็นว่า 332 00:24:19,320 --> 00:24:23,480 มีอย่างน้อยประมาณสามล้านคน 333 00:24:23,560 --> 00:24:26,640 อาศัยอยู่ในภูมิภาคอัลโต ริโอ เนโกรแค่ที่เดียว 334 00:24:27,240 --> 00:24:32,040 คุณคิดว่าคนโบราณคิดค้นดินชนิดนี้ ขึ้นมาอย่างชาญฉลาด 335 00:24:32,120 --> 00:24:36,560 หรือว่าพวกเขาพบ คุณสมบัติพิเศษของมันโดยบังเอิญ 336 00:24:36,640 --> 00:24:39,000 ส่วนตัวแล้ว ฉันไม่คิดว่าพวกเขาคิดค้นมันขึ้นมาค่ะ 337 00:24:39,080 --> 00:24:43,720 ฉันเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เพราะมีคนมากมายอาศัยอยู่พื้นที่นี้ 338 00:24:43,800 --> 00:24:49,360 เลยมีของเสียที่เน่าเปื่อยเกิดขึ้นมากมาย จนทำให้ดินมีคุณสมบัติพิเศษ 339 00:24:50,880 --> 00:24:53,200 แต่มันก็เป็นการถกเถียงที่ไม่อาจรู้คำตอบได้ 340 00:24:55,000 --> 00:24:56,960 ผมอดไม่ได้ที่จะเห็นความขัดแย้งในจุดนี้ 341 00:24:57,040 --> 00:24:59,520 ในด้านหนึ่ง เราบอกว่า 342 00:25:00,040 --> 00:25:03,360 เคยมีประชากรจำนวนมากอาศัยอยู่ในแอมะซอน 343 00:25:03,440 --> 00:25:06,640 และการมีอยู่ของพวกเขา 344 00:25:06,720 --> 00:25:08,720 ได้สร้างดินดำขึ้นมาโดยบังเอิญ 345 00:25:09,600 --> 00:25:12,840 แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราก็บอกว่า ดินตามธรรมชาติของแอมะซอน 346 00:25:12,920 --> 00:25:17,120 เป็นดินที่ไม่มีความอุดมสมบูรณ์พอ ที่จะรองรับประชากรจำนวนมากได้ 347 00:25:18,160 --> 00:25:22,840 มันไม่ได้บ่งชี้เหรอครับว่า สิ่งที่ทำให้มีประชากรจำนวนมากขนาดนี้ได้ 348 00:25:22,920 --> 00:25:24,680 ก็คือเจ้าดินดำนี่ 349 00:25:24,760 --> 00:25:28,240 ฉันเชื่อค่ะว่าเป็นไปได้ 350 00:25:28,320 --> 00:25:32,800 ที่พวกเขาตระหนักว่าพื้นที่นี้มีความอุดมสมบูรณ์ 351 00:25:33,520 --> 00:25:38,400 แต่เจตนาของพวกเขาไม่ใช่แบบว่า 352 00:25:38,480 --> 00:25:43,240 "ฉันจะทิ้งของเสียเพื่อทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร" 353 00:25:46,760 --> 00:25:48,280 การวิจัยยังคงดำเนินต่อไป 354 00:25:48,960 --> 00:25:52,400 แต่สำหรับผม เหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่านี่เป็นการจงใจ 355 00:25:52,480 --> 00:25:55,880 เป็นเพราะดินเทอร์รา เปรตา สามารถพบได้ทั่วแอมะซอน 356 00:25:56,480 --> 00:25:59,400 และมันมักอยู่ใกล้กับนิคมยุคก่อนประวัติศาสตร์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 357 00:26:01,480 --> 00:26:03,960 เราจำเป็นต้องเปิดใจให้กว้างขึ้น 358 00:26:04,040 --> 00:26:08,440 ในเรื่องการมองความสามารถของคนโบราณ มากกว่ามุมมองที่เรามีในปัจจุบัน 359 00:26:08,520 --> 00:26:12,040 เราต้องมองว่าพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญ ในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่อาศัย 360 00:26:12,120 --> 00:26:17,400 เป็นคนที่ปรับสภาพแวดล้อมนั้นให้ใช้งานได้ เป็นเวลานานนับพันปี 361 00:26:20,520 --> 00:26:22,920 และเนื่องจากป่านี้กว้างใหญ่ไพศาล 362 00:26:23,440 --> 00:26:27,360 ใครจะรู้ว่าอาจมีดินดำอีกมากน้อยเท่าไร ที่ยังไม่ถูกค้นพบ 363 00:26:27,920 --> 00:26:30,240 ที่อาจผลักจุดกำเนิดของดินมหัศจรรย์นี้ 364 00:26:30,320 --> 00:26:32,680 ย้อนกลับไปในอดีตยิ่งกว่าเดิม 365 00:26:34,600 --> 00:26:36,320 ข้อคิดที่ผมนำมาเสนอตรงนี้ 366 00:26:36,400 --> 00:26:39,360 ซึ่งเป็นที่ถกเถียงอย่างมากในหมู่นักโบราณคดี 367 00:26:39,920 --> 00:26:43,600 นั่นคือการตั้งถิ่นฐานและการขยายตัว ของประชากรมนุษย์ในแอมะซอน 368 00:26:43,680 --> 00:26:45,400 เป็นเรื่องที่มีการวางแผนเอาไว้ 369 00:26:47,920 --> 00:26:51,280 แต่การสร้างและบำรุงรักษา นิคมที่มีขนาดใหญ่เหล่านั้น 370 00:26:51,360 --> 00:26:54,680 คงต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล 371 00:26:56,240 --> 00:26:59,280 ไม่เพียงแค่อาหารจากพืช แต่รวมถึงสิ่งที่เราอาจจินตนาการว่า 372 00:26:59,360 --> 00:27:01,840 ไม่มีทางหมดไปจากป่าแอมะซอนด้วย 373 00:27:02,920 --> 00:27:03,800 ไม้นั่นเอง 374 00:27:08,520 --> 00:27:12,560 แอมะซอนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ที่มีความหลากหลายอย่างแท้จริงครับ 375 00:27:14,440 --> 00:27:19,360 ปัจจุบันมีต้นไม้ราวสามแสนเก้าหมื่นล้านต้นอยู่ที่นี่ 376 00:27:20,120 --> 00:27:22,680 ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ราว 16,000 สายพันธุ์ 377 00:27:26,280 --> 00:27:29,200 แล้วถ้าผมบอกคุณว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของป่าอันไพศาลนี้ 378 00:27:29,280 --> 00:27:32,160 เป็นผลลัพธ์สุดท้ายของการรณรงค์อย่างตั้งใจ 379 00:27:32,240 --> 00:27:35,800 ที่มนุษย์ทำขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนล่ะ 380 00:27:37,880 --> 00:27:41,200 ถ้าผมบอกคุณว่าป่าแอมะซอนอาจถูกปลูกขึ้นล่ะ 381 00:27:48,200 --> 00:27:50,400 (แอมะโซเนีย) 382 00:27:50,480 --> 00:27:53,680 นักวิจัยได้ยืนยันว่าในช่วงยุคน้ำแข็ง 383 00:27:53,760 --> 00:27:59,680 แอมะซอนไม่ใช่ป่าทึบ แต่เป็นทุ่งหญ้าที่มีต้นไม้ขึ้นแทรกเป็นหย่อมๆ 384 00:28:01,160 --> 00:28:05,760 พวกเขาคิดว่าโลกที่อุ่นขึ้นได้บ่มเพาะ ป่าดงดิบอันกว้างใหญ่ที่เราเห็นในทุกวันนี้ 385 00:28:06,520 --> 00:28:10,680 แต่เมื่อไม่นานมานี้ นักโบราณพฤกษศาสตร์ได้ค้นพบสิ่งที่ไม่คาดคิด 386 00:28:11,240 --> 00:28:16,760 ครึ่งหนึ่งของป่าเป็นต้นไม้แอมะซอน เพียง 1.4 เปอร์เซ็นต์ 387 00:28:17,760 --> 00:28:22,760 และกลายเป็นว่ามันเป็นสายพันธุ์เดียว กับที่มนุษย์เอามาใช้ประโยชน์ได้ 388 00:28:24,680 --> 00:28:29,400 ป่านี้คือผลของโครงการระยะยาว ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนหรือเปล่า 389 00:28:29,960 --> 00:28:32,480 โครงการที่ในที่สุดจะผลิบาน 390 00:28:32,560 --> 00:28:36,080 เป็นอารยธรรมพื้นเมืองแอมะซอน ที่แพร่กระจายไปทั่ว 391 00:28:38,160 --> 00:28:39,760 และยังมีอย่างอื่นด้วย 392 00:28:40,280 --> 00:28:43,200 เช่นเดียวกับดินเทอร์รา เปรตา ต้นไม้ที่มีประโยชน์เหล่านี้ 393 00:28:43,280 --> 00:28:47,240 ส่วนใหญ่พบใกล้กับเมืองแอมะซอนโบราณ ที่เพิ่งถูกค้นพบ 394 00:28:49,000 --> 00:28:53,520 แทนที่จะมองว่ามันเป็นป่าโหดร้ายและอันตราย แบบที่ชาวตะวันตกอย่างเราชอบมอง 395 00:28:53,600 --> 00:28:55,920 พวกเขากลับทำให้มันเป็นบ้านของคนนับล้าน 396 00:28:56,000 --> 00:29:00,560 ทำให้แอมะซอนกลายเป็นสวน เป็นที่ที่ให้บริการที่มนุษย์ต้องการ 397 00:29:02,120 --> 00:29:03,400 ในศตวรรษที่ 20 398 00:29:03,480 --> 00:29:08,720 เชื่อกันว่าพื้นที่ป่าลึกของแอมะซอน ไม่เคยถูกรุกราน 399 00:29:09,720 --> 00:29:11,560 ไม่เคยถูกมนุษย์แตะต้อง 400 00:29:11,640 --> 00:29:14,840 และตอนนี้เรารู้แล้วว่าต้นไม้หลายชนิดที่นี่ 401 00:29:14,920 --> 00:29:19,720 อย่างต้นบราซิลนัต ปาล์มหลายชนิด เป็นต้นไม้กึ่งปลูก 402 00:29:19,800 --> 00:29:22,360 และมีกระทั่งต้นไม้ปลูกและเลี้ยงเลย 403 00:29:22,440 --> 00:29:26,240 นั่นทำให้ความเข้าใจของเรา เกี่ยวกับป่านี้เปลี่ยนไปเลย 404 00:29:28,080 --> 00:29:31,320 นี่เป็นโครงการทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำขึ้นในแอมะซอน 405 00:29:31,400 --> 00:29:33,360 มาเป็นเวลานานมาก 406 00:29:36,600 --> 00:29:38,040 ว่าแต่มันนานแค่ไหนกันแน่ 407 00:29:40,320 --> 00:29:41,760 สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ 408 00:29:41,840 --> 00:29:44,800 ก็คือต้นไม้ปลูกที่เก่าแก่ที่สุด 409 00:29:44,880 --> 00:29:48,440 ที่พบในแอมะซอนจนถึงตอนนี้ คือเมื่อราว 10,800 ปีก่อน 410 00:29:50,480 --> 00:29:52,440 นั่นคือราวช่วงสิ้นสุดยุคน้ำแข็ง 411 00:29:52,520 --> 00:29:56,400 ตรงกับช่วงเวลาที่เรามองเห็นการก้าวกระโดด 412 00:29:56,480 --> 00:30:00,160 ในอารยธรรมและนวัตกรรมของมนุษย์ทั่วโลก 413 00:30:03,200 --> 00:30:06,360 นี่ทำให้เราต้องถามว่ายังมีอะไรให้ค้นหาอีก 414 00:30:06,440 --> 00:30:09,000 ในพื้นที่ป่าดงดิบแอมะซอนอันกว้างใหญ่ 415 00:30:09,080 --> 00:30:13,240 ที่มันไม่ควรอยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้เห็นชัดแล้วว่ามี 416 00:30:17,880 --> 00:30:21,360 อย่างที่เราเห็นในงานหินขั้นสูงของเปรูโบราณ 417 00:30:21,440 --> 00:30:25,600 โครงการเกษตรกรรมและการตั้งถิ่นฐาน อันซับซ้อนในแอมะซอน 418 00:30:26,240 --> 00:30:28,400 ที่มีขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนนี้ 419 00:30:28,480 --> 00:30:30,760 ดูเหมือนจะแสดงให้เห็น ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ 420 00:30:30,840 --> 00:30:34,480 ที่เกิดขึ้นมานานกว่าที่เราคาดคิดไว้ 421 00:30:37,840 --> 00:30:41,920 เราต้องเปลี่ยนกรอบความเข้าใจ เกี่ยวกับแอมะซอนใหม่เลย 422 00:30:42,000 --> 00:30:44,960 เราต้องมองว่ามันเป็นผลิตผลของความฉลาด 423 00:30:45,040 --> 00:30:46,400 ของความคิดริเริ่ม 424 00:30:46,480 --> 00:30:49,240 ของความช่างประดิษฐ์และความตั้งใจของมนุษย์ 425 00:30:50,560 --> 00:30:53,720 ตัวอย่างเทคโนโลยีแอมะซอนที่น่าทึ่งที่สุด 426 00:30:53,800 --> 00:30:58,200 อาจชี้ไปยังแหล่งที่มาของความรู้ขั้นสูง ที่เราคาดไม่ถึงด้วย 427 00:31:05,040 --> 00:31:08,040 ผมกลับมาที่ป่าแอมะซอนของเปรู เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม 428 00:31:08,120 --> 00:31:09,600 (อีกีโตส เปรู) 429 00:31:09,680 --> 00:31:12,960 นี่คืออีกีโตส เมืองท่าที่ตั้งอยู่ 430 00:31:13,040 --> 00:31:15,760 ตรงจุดที่แม่น้ำใหญ่ ได้รับน้ำจากแม่น้ำสายย่อยหลายสาย 431 00:31:17,040 --> 00:31:18,920 ท่าเรืออาจจะอายุน้อย 432 00:31:19,000 --> 00:31:21,960 แต่ภูมิภาคนี้เป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติ 433 00:31:23,160 --> 00:31:26,160 ทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งมานานหลายพันปี 434 00:31:26,240 --> 00:31:28,000 นั่นคือการใช้สมุนไพรอายาวัสกา 435 00:31:29,600 --> 00:31:31,560 (อายาวัสกา) 436 00:31:33,240 --> 00:31:36,760 ดร.ลูอิส เอดูอาร์โด ลูน่า เป็นนักมานุษยวิทยาพื้นเมือง 437 00:31:36,840 --> 00:31:40,320 และผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านยาสมุนไพรโบราณนี้ 438 00:31:41,880 --> 00:31:44,640 ผมเคยเห็นคนจำนวนมากที่ใช้อายาวัสกา 439 00:31:44,720 --> 00:31:47,400 และผมก็ประหลาดใจกับสิ่งที่พวกเขาได้เจอ 440 00:31:47,480 --> 00:31:50,200 บางครั้งก็เป็นการเดินทางไปยังโลกอื่นอันน่าทึ่ง 441 00:31:50,280 --> 00:31:52,400 บางครั้งก็เป็นแค่การมองเข้าไปในจิตใจตัวเอง 442 00:31:52,480 --> 00:31:55,400 ค้นหาวิธีแก้ปัญหาของตัวเอง 443 00:31:55,480 --> 00:31:56,800 คุณเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างครับ 444 00:31:56,880 --> 00:31:58,920 เห็นว่าชีวิตพวกเขา มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญไหม 445 00:31:59,000 --> 00:32:01,200 มีหลายคนเขียนจดหมายมาหาผม 446 00:32:01,280 --> 00:32:04,400 บอกว่าประสบการณ์เหล่านั้น เปลี่ยนชีวิตพวกเขาเลย 447 00:32:04,480 --> 00:32:06,600 มันเปลี่ยนมุมมองของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง 448 00:32:08,440 --> 00:32:11,240 การใช้อายาวัสกาได้กลายเป็นที่นิยม 449 00:32:11,320 --> 00:32:13,320 ในสังคมร่วมสมัยของเราในช่วงนี้ 450 00:32:14,880 --> 00:32:20,120 แต่สำหรับชาวพื้นเมืองแอมะซอน ยานี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว 451 00:32:22,040 --> 00:32:24,440 ชาวพื้นเมืองหลายคนบอกว่า 452 00:32:24,520 --> 00:32:27,800 พวกเขาใช้อายาวัสกาเพื่อเข้าใจกฎของสังคม 453 00:32:27,880 --> 00:32:30,160 เพื่อกลายเป็นคนที่ดีขึ้น 454 00:32:34,200 --> 00:32:39,360 การเตรียมยาอายาวัสกา เป็นหน้าที่ของหมอผีหรือกูรันเดรอส 455 00:32:42,720 --> 00:32:46,640 อย่างดอน ฟรันซิสโก มอนเตซูน่า จากชนเผ่าคาปานาวา 456 00:32:47,760 --> 00:32:51,360 ที่ต้องพ่นควันจากยาสูบสายพันธุ์โบราณ 457 00:32:51,440 --> 00:32:54,440 ที่ชื่อว่ามาปาโช เพื่อชำระล้างพิธีกรรม 458 00:32:57,360 --> 00:33:02,960 ในภาษาคาปานาวา ผมชื่อชาโมริน ไคยาชิ พิอารี 459 00:33:03,880 --> 00:33:07,720 ชาโมริน ไคยาชิ พิอารีแปลว่า "เทวทูตแห่งป่า" 460 00:33:19,480 --> 00:33:22,120 ผมมาจากตระกูลผู้รักษา 461 00:33:23,040 --> 00:33:27,120 ผมรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษทุกคน 462 00:33:27,600 --> 00:33:32,440 ทั้งย่าของผม ย่าทวดของผม ทั้งครอบครัวเลย 463 00:33:32,520 --> 00:33:38,880 เราเชื่อมโยงและรู้สึกถึงความเชื่อมโยง กับทุกสิ่งที่เกี่ยวพันกับแอมะซอน 464 00:33:41,120 --> 00:33:43,840 ขณะที่การวิจัยดำเนินไป มีหลักฐานบ่งชี้ว่า 465 00:33:43,920 --> 00:33:46,280 อายาวัสกาอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ 466 00:33:49,400 --> 00:33:53,160 เมื่อนำไปต้ม เถาของมันจะมีคุณสมบัติ ในการรักษาที่ทรงพลัง 467 00:33:53,680 --> 00:33:57,360 เป็นเพราะโมเลกุลที่มีส่วนประกอบ ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าฮาร์มีน 468 00:34:00,320 --> 00:34:03,160 มีการศึกษาเรื่องการสร้างระบบประสาท ที่ชี้ให้เห็นว่า 469 00:34:03,640 --> 00:34:06,840 ฮาร์มีนอาจช่วยกระตุ้น การสร้างเซลล์ประสาทใหม่ 470 00:34:06,920 --> 00:34:09,520 และอาจสร้างเซลล์เบต้าใหม่ในตับอ่อนด้วย 471 00:34:10,080 --> 00:34:14,440 และอาจช่วยสร้างเซลล์ใหม่ในเอ็น และส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย 472 00:34:16,800 --> 00:34:19,280 ฮาร์มีนในเถาวัลย์ อาจเป็นปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ 473 00:34:21,600 --> 00:34:24,040 แต่มันไม่ได้ทำให้เกิดสภาวะเห็นภาพหลอน 474 00:34:24,680 --> 00:34:28,600 นั่นจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเอาใบของพืช 475 00:34:28,680 --> 00:34:32,800 พื้นเมืองบางชนิดในป่าแอมะซอน เช่นใบนี้ ที่ชื่อว่าชาลิพองกา 476 00:34:35,240 --> 00:34:39,160 ซึ่งมีสารเคมีออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เมื่อใช้ร่วมกันอายาวัสกา 477 00:34:39,680 --> 00:34:42,400 สารนั้นคือดีเอ็มที ย่อมาจากไดเมทิลทริปตามีน 478 00:34:46,200 --> 00:34:49,720 ดีเอ็มทีถือเป็นหนึ่งในสารหลอนประสาท ที่ทรงพลังที่สุด 479 00:34:50,520 --> 00:34:53,440 แต่ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันแล้วว่ามันไม่ทำให้เสพติด 480 00:34:54,880 --> 00:34:57,360 และมีคุณสมบัติในการบำบัด 481 00:34:57,440 --> 00:35:00,280 เมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสม และในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม 482 00:35:03,840 --> 00:35:07,840 เราค้นพบว่าเมื่อได้รับการบำบัด ด้วยการพูดคุยควบคู่กัน 483 00:35:07,920 --> 00:35:10,560 มันสามารถช่วยแก้ไขสภาวะที่ยากต่อการรักษา 484 00:35:10,640 --> 00:35:12,520 มาเป็นมาอย่างยาวนานได้ 485 00:35:16,280 --> 00:35:18,120 แต่มีปัญหาอยู่อย่างเดียว 486 00:35:18,720 --> 00:35:20,720 ดีเอ็มทีไม่ออกฤทธิ์ทางปาก 487 00:35:21,320 --> 00:35:25,160 เพราะเอนไซม์ในลำไส้จะทำลายมัน ทันทีที่สัมผัสกัน 488 00:35:27,240 --> 00:35:28,200 ตรงนี้แหละครับ 489 00:35:28,280 --> 00:35:31,240 ที่ต้องพึ่งศาสตร์ของหมอผีแอมะซอน 490 00:35:31,960 --> 00:35:33,600 ที่มาพร้อมทางออกอันน่าทึ่ง 491 00:35:35,320 --> 00:35:38,480 สิ่งที่เกิดขึ้นคือว่าฮาร์มีนในเถาวัลย์ 492 00:35:38,560 --> 00:35:42,600 จะไปขัดขวางการทำลายดีเอ็มทีในลำไส้ 493 00:35:43,280 --> 00:35:46,080 ดีเอ็มทีเลยจะผ่านแนวกั้นระหว่างเลือดกับสมอง 494 00:35:46,160 --> 00:35:49,400 และเข้าไปจับกับตัวรับในสมอง 495 00:35:50,080 --> 00:35:52,920 นั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดภาพหลอนครับ เจ้าดีเอ็มทีเนี่ย 496 00:35:54,320 --> 00:35:55,200 ผลลัพธ์เหรอ 497 00:35:55,800 --> 00:35:59,280 จากพันธุ์พืชนับหมื่นในแอมะซอน 498 00:36:00,200 --> 00:36:05,480 เมื่อเอาเถาอายาวัสกามาผสมกับ ใบของพืชที่มีสารดีเอ็มทีเท่านั้น 499 00:36:05,560 --> 00:36:08,880 จึงจะทำให้เกิดนิมิตภาพหลอนที่มีค่ายิ่ง 500 00:36:12,040 --> 00:36:17,560 เรามีพืชสองชนิดที่พออยู่เดี่ยวๆ จะไม่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท 501 00:36:17,640 --> 00:36:20,240 แต่จะออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเมื่อถูกปรุงร่วมกัน 502 00:36:20,320 --> 00:36:22,280 เพื่อสร้างยาสมุนไพรอายาวัสกา 503 00:36:22,800 --> 00:36:24,520 การทำเช่นนั้นด้วยการลองผิดลองถูก 504 00:36:24,600 --> 00:36:28,400 อาจใช้เวลาในการทดลอง นานหลายร้อยหรือหลายพันปีเลย 505 00:36:30,160 --> 00:36:33,560 ผมว่าเรามีปริศนาอยู่ตรงนี้นะ พวกเขาค้นพบเรื่องนี้ได้ยังไงกัน 506 00:36:33,640 --> 00:36:36,760 ผมว่าเรื่องนี้ดูเหมือนเป็น โครงการวิทยาศาสตร์เลย 507 00:36:36,840 --> 00:36:38,440 ครับ ใช่เลย ใช่แล้ว 508 00:36:38,520 --> 00:36:41,280 มันอิงจากประสบการณ์ อิงจากการสังเกต 509 00:36:41,360 --> 00:36:44,760 อิงจากการทดลอง การทดลองที่ทำอย่างต่อเนื่อง 510 00:36:44,840 --> 00:36:46,760 - นานหลายพันปีไหมครับ - ครับ ใช่เลย 511 00:36:49,240 --> 00:36:53,720 ประเพณีนี้มีมายาวนานนับพันปีแล้วครับ 512 00:36:55,280 --> 00:36:59,200 เราก็ระบุชัดไม่ได้ อาจเป็นสองสามพันปีเลย… 513 00:37:01,560 --> 00:37:04,480 เรากำลังเจอหลักฐาน ของการมีวิทยาศาสตร์ในแอมะซอน 514 00:37:04,560 --> 00:37:08,480 ความรู้ที่หมอผีพื้นเมืองสะสมและถ่ายทอดกันมา 515 00:37:08,560 --> 00:37:14,720 จากรุ่นสู่รุ่น นานหลายพันปี เกี่ยวกับพืชและคุณสมบัติของพืช 516 00:37:14,800 --> 00:37:18,640 และวิธีการเอาพืชมาผสมกัน เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการ 517 00:37:29,080 --> 00:37:33,320 ในระหว่างพิธีอายาวัสกา หมอผีจะอัญเชิญนิมิต 518 00:37:33,400 --> 00:37:36,560 ด้วยการร้องเพลงอิคาโร เพลงแห่งพลัง 519 00:37:43,400 --> 00:37:46,240 แต่หมอผีเป็นเพียงผู้นำพิธีเท่านั้น 520 00:37:48,080 --> 00:37:51,120 พืชต่างหากที่ถือว่าเป็นครู 521 00:37:53,120 --> 00:37:54,600 เมื่อคุณใช้อายาวัสกา 522 00:37:56,120 --> 00:37:59,640 คุณต้องเตรียมคำถามเอาไว้ 523 00:38:00,160 --> 00:38:01,800 และมันจะให้คำตอบ 524 00:38:07,600 --> 00:38:10,720 พลังของสารหลอนประสาท ที่ใช้เพื่อเข้าถึงปัญญาอันลึกซึ้งยิ่งขึ้น 525 00:38:10,800 --> 00:38:12,480 ไม่ได้มีอยู่แค่ในแอมะซอน 526 00:38:14,040 --> 00:38:18,760 เราเห็นมันในวัฒนธรรมโบราณ ที่ได้รับการเคารพนับถือมากมายทั่วโลก 527 00:38:20,600 --> 00:38:24,240 มันชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่เราเรียกว่า สารหลอนประสาทในทุกวันนี้ 528 00:38:24,320 --> 00:38:26,800 เคยเป็นที่ยอมรับทั่วทั้งโลกในยุคโบราณ 529 00:38:30,040 --> 00:38:35,280 ในกรีซโบราณ โสเครตีสและเพลโต ได้เขียนถึงความก้าวหน้าทางปัญญา 530 00:38:35,360 --> 00:38:38,640 หลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ หลอนประสาทในพิธีกรรมหนึ่ง 531 00:38:39,800 --> 00:38:43,240 อักษรภาพจากอียิปต์แสดงให้เห็นว่า พวกเขากินกลีบดอก 532 00:38:43,320 --> 00:38:47,440 บัวน้ำสีฟ้าอียิปต์ที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท เพื่อสื่อสารกับเทพเจ้า 533 00:38:48,600 --> 00:38:51,280 และในพิธีบูชาพระเวทของอินเดียโบราณ 534 00:38:51,360 --> 00:38:53,840 นักบวชที่ต้องการติดต่อกับทวยเทพ 535 00:38:54,400 --> 00:38:57,200 จะดื่มยาหลอนประสาทที่รู้จักกันในชื่อโซมา 536 00:38:59,360 --> 00:39:03,640 ข้อเท็จจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาวะจิตเหล่านี้ ได้รับการยอมรับ 537 00:39:03,720 --> 00:39:05,840 ตลอดยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ 538 00:39:05,920 --> 00:39:09,160 บอกให้เรารู้ว่ามันมีความสำคัญมาก ต่อประสบการณ์ของมนุษย์ 539 00:39:09,680 --> 00:39:13,160 ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจโลกโบราณ 540 00:39:13,240 --> 00:39:15,160 ถ้าไม่นำสารหลอนประสาทมาพิจารณาด้วย 541 00:39:17,080 --> 00:39:19,760 คุณคิดว่าน่าจะมีการใช้ อายาวัสกามานานแค่ไหนครับ 542 00:39:19,840 --> 00:39:22,440 พวกเขาทดลองใช้มันมาหลายพันปีแล้วครับ 543 00:39:22,520 --> 00:39:23,920 ใครจะรู้ อาจนานกว่านั้นอีกก็ได้ 544 00:39:24,960 --> 00:39:28,000 - ผมว่ามันให้ความรู้สึกว่าโบราณมาก - ครับ 545 00:39:28,080 --> 00:39:29,960 นี่คือปริศนาที่ไม่ธรรมดาเลย 546 00:39:32,280 --> 00:39:35,280 ผมเชื่อว่าศาสตร์อายาวัสกาอันซับซ้อนนี้ 547 00:39:35,360 --> 00:39:37,680 ย้อนกลับไปไกลกว่าที่ใครจะคิด 548 00:39:38,720 --> 00:39:40,280 และมีหลักฐานที่พิสูจน์เรื่องนี้ด้วย 549 00:40:12,000 --> 00:40:14,080 คำบรรยายโดย มนัสวี ศักดิษฐานนท์