1 00:00:02,000 --> 00:00:07,000 Downloaded from YTS.MX 2 00:00:06,464 --> 00:00:09,718 ‎(ภาพยนตร์สารคดีจาก NETFLIX) 3 00:00:08,000 --> 00:00:13,000 Official YIFY movies site: YTS.MX 4 00:00:13,388 --> 00:00:15,098 ‎(แบล็คดราก้อนส์) 5 00:00:15,181 --> 00:00:17,017 ‎(แบล็คลีเจียน) 6 00:00:17,851 --> 00:00:20,437 ‎(แบล็คนาร์ซิสซัส) 7 00:00:21,312 --> 00:00:25,066 ‎สำหรับผม ยุคที่น่าตื่นเต้นที่สุด ‎ในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ 8 00:00:25,150 --> 00:00:28,737 ‎คือยุคที่หนังที่ชื่อเรื่อง ‎ขึ้นต้นด้วยคำว่า "แบล็ค" เปลี่ยนจากแบบนี้… 9 00:00:28,820 --> 00:00:29,988 ‎(เดอะแบล็คไพเรตส์) 10 00:00:30,905 --> 00:00:31,740 ‎เป็นแบบนี้ 11 00:00:34,743 --> 00:00:35,994 ‎(แบล็คแชมพู) 12 00:00:36,077 --> 00:00:37,328 ‎(เดอะแบล็คซิกซ์) 13 00:00:37,412 --> 00:00:38,455 ‎(เดอะแบล็คเกสตาโป) 14 00:00:40,373 --> 00:00:42,375 ‎(แบล็คแจ็ค) 15 00:00:43,460 --> 00:00:47,714 ‎ผมไม่ได้ตื่นเต้น ‎แค่เรื่องที่ในที่สุดก็มีความจริงในโฆษณา 16 00:00:48,214 --> 00:00:51,051 ‎แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นในหนัง 17 00:00:51,134 --> 00:00:54,054 ‎ถึงความก้าวหน้าของดาราผิวดำที่มั่นคง 18 00:00:55,055 --> 00:00:57,557 ‎แพม เกรียร์เปล่งประกาย ‎ใน "ไฟรเดย์ฟอสเตอร์" 19 00:00:57,640 --> 00:00:59,768 ‎หนังเรื่องแรกๆ ที่สร้างจากการ์ตูน 20 00:01:00,268 --> 00:01:04,314 ‎ฟิล์มนัวร์แบบร่วมสมัย ‎ของแม็กซ์ จูเลียนใน "เดอะแม็ค" 21 00:01:04,397 --> 00:01:08,485 ‎ละครเวทีปี 1969 ของชาร์ลี รัสเซล ‎"ไฟว์ออนเดอะแบล็คแฮนด์ไซด์" 22 00:01:08,568 --> 00:01:10,779 ‎ก็กลายมาเป็นหนังในสี่ปีต่อมา 23 00:01:11,780 --> 00:01:16,618 ‎ฉันไม่มีอะไรจะให้ ‎นอกจากหมากฝรั่งกับความลำบาก 24 00:01:16,701 --> 00:01:18,703 ‎แล้วหมากฝรั่งฉันก็เพิ่งหมด 25 00:01:21,623 --> 00:01:24,292 ‎ผมไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ 26 00:01:24,375 --> 00:01:26,294 ‎(ผู้ชมมหาศาลแห่เข้าโรงหนัง ไปดู "ชาฟต์") 27 00:01:26,377 --> 00:01:27,754 ‎"เฮลล์อัปอินฮาร์เล็ม" 28 00:01:27,837 --> 00:01:29,756 ‎"เดอะแบล็คก็อดฟาเธอร์" 29 00:01:29,839 --> 00:01:30,757 ‎(คอฟฟี่) 30 00:01:30,840 --> 00:01:35,637 ‎ถ้ากระแสเสรีภาพและการเติมเต็ม ‎ครั้งใหม่นี้ได้เสียงตอบรับที่ดีเยี่ยม 31 00:01:35,720 --> 00:01:38,014 ‎แล้วความต้องการก็ไม่เคยหายไปไหน 32 00:01:38,098 --> 00:01:41,267 ‎ทำไมหนังคนดำเหล่านี้ถึงหยุดสร้างไป 33 00:01:55,865 --> 00:01:59,786 ‎คุณยายบอกผมว่าหนังเปลี่ยนวิธีฝันของท่านไป 34 00:02:00,453 --> 00:02:01,913 ‎ท่านมาจากมิสซิสซิปปี 35 00:02:02,455 --> 00:02:07,252 ‎ท่านบอกว่าหนังเปลี่ยนความฝัน ‎ให้เป็นสิ่งที่ดูคล้ายเรื่องเล่า 36 00:02:07,836 --> 00:02:11,714 ‎และหนังเรื่องแรกที่ท่านได้ดู ‎ที่ฝังใจอยู่ในจิตใต้สำนึก 37 00:02:11,798 --> 00:02:12,632 ‎คือ "แดรกคิวลา" 38 00:02:13,299 --> 00:02:16,511 ‎ความสยองแบบกอธิก ‎และโทนแบบเมซโซ-โอเปรา 39 00:02:16,594 --> 00:02:19,264 ‎ทำให้ท่านนอนไม่หลับไปทั้งสัปดาห์ 40 00:02:19,347 --> 00:02:22,016 ‎ข้าคือแดรกคิวลา 41 00:02:22,100 --> 00:02:25,895 ‎วิญญาณร้ายเหรอ คุณพระคุณเจ้า ‎แถวนี้มีวิญญาณร้ายด้วยเหรอ 42 00:02:25,979 --> 00:02:29,399 ‎ใช่สิ ที่นี่มีเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่นั้นนะ 43 00:02:29,482 --> 00:02:30,567 ‎ยังมีอีกเหรอ 44 00:02:30,650 --> 00:02:33,778 ‎แต่หนังที่เป็นเรื่อง ‎คนแอฟริกันอเมริกันเผชิญหน้าความกลัว 45 00:02:33,862 --> 00:02:38,324 ‎นำพาสิ่งนั้นมาสู่จอในแบบที่ ‎ลดทอนความเป็นมนุษย์และเกินความจริง 46 00:02:38,408 --> 00:02:39,534 ‎พวกนั้นใคร 47 00:02:41,244 --> 00:02:42,287 ‎ซอมบี้ 48 00:02:44,539 --> 00:02:48,668 ‎เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงข้อนั้น ‎บ่อยเกินกว่าที่ควรจะเกิด 49 00:02:48,751 --> 00:02:52,964 ‎ภาพยนตร์คลาสสิคขึ้นหิ้ง ‎มักจะหาวิธีทำให้คนดำผิดหวัง 50 00:02:53,047 --> 00:02:53,965 ‎ในบางฉาก 51 00:02:54,048 --> 00:02:56,885 ‎คุณมีโอกาสจะได้เห็นภาพที่น่าอับอาย 52 00:02:56,968 --> 00:03:00,388 ‎ในหนังจากคลังผลงานใหญ่ ‎ของเหล่าปรมาจารย์ 53 00:03:00,471 --> 00:03:04,058 ‎ทัศนคติเหมารวมลวกๆ ‎จากปรมาจารย์หนังระทึกขวัญ 54 00:03:04,142 --> 00:03:06,603 ‎และนักสร้างหนัง ‎ผู้เป็นที่เชิดชูที่สุดคนหนึ่งในวงการ 55 00:03:06,686 --> 00:03:09,606 ‎และนักแสดงควบผู้กำกับมือหนึ่ง ‎ในวงการละครเพลง 56 00:03:09,689 --> 00:03:11,399 ‎ยังคงส่งผลกระทบต่อไป 57 00:03:12,525 --> 00:03:16,738 ‎ออร์สัน เวลส์กับลอว์เรนซ์ โอลิวิเยร์ ‎ยักษ์ใหญ่ในวงการละครเวทีและภาพยนตร์ 58 00:03:16,821 --> 00:03:20,200 ‎ทาสีหน้าดำ ทำท่าทางถือตัวแบบอ่อนโยน 59 00:03:20,283 --> 00:03:21,951 ‎เพื่อแสดงเป็นโอเทลโล 60 00:03:22,619 --> 00:03:25,580 ‎ตู้ แม่กุญแจ และกุญแจไขความลับอันชั่วร้าย 61 00:03:27,248 --> 00:03:30,877 ‎ผมไม่เคยเห็นมิคกี้เมาส์ใส่ถุงมือ 62 00:03:30,960 --> 00:03:35,048 ‎หรือบักส์บันนี่ แล้วไม่คิดถึงโชว์ล้อคนดำ 63 00:03:35,131 --> 00:03:38,468 ‎จะให้เราคิดถึงอะไรได้อีก ‎พวกเขาแต่งตัวไปฮาร์วาร์ดคลับเหรอ 64 00:03:38,551 --> 00:03:40,762 ‎เคยเห็นช้างบินได้ไหม 65 00:03:40,845 --> 00:03:42,388 ‎ฉันเคยเห็นเหลือบบิน 66 00:03:42,472 --> 00:03:44,474 ‎ฉันเคยเห็นแมลงปอบิน 67 00:03:45,016 --> 00:03:46,476 ‎ฉันเคยเห็นแมลงวันบิน 68 00:03:48,102 --> 00:03:49,103 ‎ฉันเห็นมาหมดแล้ว 69 00:03:49,187 --> 00:03:51,356 ‎นี่อาจจะเป็นฉากบางส่วน 70 00:03:51,439 --> 00:03:54,234 ‎ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของยาย 71 00:03:54,317 --> 00:03:57,654 ‎เศษเสี้ยวเล็กๆ ที่ท่านต้องต่อต้าน ‎ไม่ให้เข้าครอบงำภาพลักษณ์ของตัวท่านเอง 72 00:03:57,737 --> 00:04:01,366 ‎รวมถึงการปฏิบัติที่ท่านได้รับ ‎สมัยเป็นหญิงสาวผิวสีในมิสซิสซิปปี 73 00:04:01,449 --> 00:04:05,536 ‎ท่านห่วงภาพลักษณ์มากขนาดที่ ‎ตอนเราไปเยี่ยมท่านที่แฮตตีสเบิร์ก 74 00:04:05,620 --> 00:04:08,498 ‎ท่านไม่ยอมให้เราดู ‎"ดิแอนดี้ กริฟฟิธโชว์" รอบฉายซ้ำ 75 00:04:09,123 --> 00:04:10,166 ‎ท่านบอกว่า 76 00:04:10,250 --> 00:04:12,794 ‎"ไม่มีคนดำในเมืองทางใต้นั่นเลย" 77 00:04:12,877 --> 00:04:14,379 ‎"แกคิดว่าคนดำหายไปไหนกันหมด" 78 00:04:14,963 --> 00:04:19,008 ‎เรื่องทั้งหมดนี้มันทำให้ ‎ผมรักหนังเรื่องต่างๆ ได้ยาก 79 00:04:19,592 --> 00:04:25,306 ‎สำหรับผม ผมดู คิด และเขียน ‎เรื่องเกี่ยวกับหนังต่างๆ มาทั้งชีวิต 80 00:04:25,390 --> 00:04:26,724 ‎ผมยังคงกลับมาดูซ้ำๆ 81 00:04:26,808 --> 00:04:30,353 ‎แม้คนดำจะถูกละเลย ‎ให้ผมช้ำใจครั้งแล้วครั้งเล่า 82 00:04:30,853 --> 00:04:33,731 ‎ความด้อยค่านี้บางครั้งก็หนักเป็นภูเขา 83 00:04:34,649 --> 00:04:38,361 ‎บางที วิธีที่ง่ายที่สุด ‎ในการอธิบายการแสดงถึงคนดำคือแบบนี้ 84 00:04:38,444 --> 00:04:39,988 ‎ถ้าคุณเป็นนักแสดงผิวขาว 85 00:04:40,071 --> 00:04:43,199 ‎การใส่ชุดทางการแปลว่าคุณเตรียมตัวออกเที่ยว 86 00:04:43,283 --> 00:04:45,743 ‎รับความสำราญทุกอย่างที่ชีวิตมอบให้ 87 00:04:46,703 --> 00:04:49,872 ‎ถ้าคุณเป็นนักแสดงผิวดำ ‎หูกระต่ายไม่ได้แปลว่าคุณมีระดับ 88 00:04:49,956 --> 00:04:53,626 ‎มันแปลว่าคุณจะไปทำงาน ‎นั่นคือเครื่องแบบของคุณ 89 00:04:53,710 --> 00:04:57,588 ‎ผมชอบนักแสดงกลุ่มใหญ่ที่คัดสรรมาอย่างดี ‎เหมือนทุกคนนั่นแหละ 90 00:04:57,672 --> 00:04:58,756 ‎อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ 91 00:04:58,840 --> 00:05:01,384 ‎แต่ผมไม่เคยชอบสูททักซิโด้เลย 92 00:05:01,467 --> 00:05:03,678 ‎บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผล 93 00:05:05,680 --> 00:05:09,809 ‎(โชว์โบต (1929) ‎ผู้กำกับ แฮร์รี่ เอ. พอลลาร์ด) 94 00:05:09,892 --> 00:05:15,732 ‎(โชว์โบต (1936) ‎ผู้กำกับ เจมส์ เวล) 95 00:05:15,815 --> 00:05:19,027 ‎(โชว์โบต (1951) ‎ผู้กำกับ จอร์จ ซิดนีย์) 96 00:05:19,068 --> 00:05:22,488 ‎แทนที่จะตามหาและพัฒนา ‎บทบาทใหม่ให้นักแสดงผิวดำ 97 00:05:22,572 --> 00:05:25,450 ‎ธีมที่น่าเบื่อหน่ายของ "โชว์โบต" ‎กลับกลายเป็นวิธี 98 00:05:25,533 --> 00:05:28,453 ‎แสดงพรสวรรค์นักแสดงผิวดำ ‎ด้วยการนำเรื่องเก่ามาเล่นใหม่ 99 00:05:28,536 --> 00:05:31,914 ‎การทำลายความหวังคนดำในจอหนัง ‎แพร่ไปทั่วทั้งวงการ 100 00:05:31,998 --> 00:05:34,876 ‎ตั้งแต่การบอกว่าแทบไม่มีบทให้ผู้ชายผิวดำเล่น 101 00:05:34,959 --> 00:05:36,919 ‎ไปจนถึงมาตรฐานความงามที่เกินจรง 102 00:05:37,003 --> 00:05:40,340 ‎ที่ทำให้ผู้หญิงผิวดำเกลียดตัวเองมานานหลายสิบปี 103 00:05:40,423 --> 00:05:41,716 ‎เธอมาแล้ว 104 00:05:42,633 --> 00:05:45,762 ‎ฉากนี้แหละที่ผมชอบมาก ‎ตอนที่เธอสะบัดผมแบบนั้น 105 00:05:45,845 --> 00:05:48,348 ‎บทนี้ไม่ได้เขียนมาให้นักแสดงผิวดำ 106 00:05:48,431 --> 00:05:50,433 ‎แต่เขาออกความเห็นโดยไม่ตั้งใจอย่างประหลาด 107 00:05:50,516 --> 00:05:52,560 ‎เกี่ยวกับทรงผมที่น่าหลงใหลที่สุด 108 00:05:54,062 --> 00:05:57,565 ‎บทเรียนที่ผู้หญิงผิวดำยังคงต้องทนรับ 109 00:05:59,692 --> 00:06:02,904 ‎สมัยผมเด็กๆ ที่แอตแลนตา 110 00:06:02,987 --> 00:06:06,032 ‎มันมีระบบการแบ่งแยกที่เข้มงวดมาก 111 00:06:06,115 --> 00:06:08,826 ‎ผมเข้าโรงหนังที่ไหนไม่ได้เลย 112 00:06:08,910 --> 00:06:13,164 ‎โรงหนังนิโกรมีแค่หนึ่งหรือสองแห่งเท่านั้น 113 00:06:13,247 --> 00:06:18,252 ‎มันเล็กมาก แล้วก็ไม่ได้ฉายหนังกระแสหลัก 114 00:06:18,336 --> 00:06:22,465 ‎ถ้าได้ฉาย ก็จะช้าไปสองปีหรือสามปี 115 00:06:22,548 --> 00:06:28,346 ‎โดยรวมแล้ว มันมีระบบแบ่งแยกที่เข้มงวดมาก 116 00:06:31,057 --> 00:06:33,684 ‎วันเสาร์ผมจะดูหนังแทบทั้งวัน 117 00:06:34,352 --> 00:06:37,105 ‎เราดูหนังคาวบอยภาคต่อ 118 00:06:37,188 --> 00:06:41,484 ‎พวกแลช ลารู, จีน ออทรี, รอย โรเจอร์ส 119 00:06:41,567 --> 00:06:45,154 ‎อะไรพวกนั้น หรือบัค โรเจอร์ส ‎หรือไม่ก็พวกหนังท่องอวกาศ 120 00:06:45,238 --> 00:06:48,157 ‎ฉันสนใจหนังคาวบอยมากๆ 121 00:06:49,158 --> 00:06:51,327 ‎ฉันชอบแดนตะวันตกมาก เพราะอะไรไม่รู้ 122 00:06:51,411 --> 00:06:54,539 ‎จีน ออทรี, จอห์นนี่ แม็ค บราวน์, ‎รอย โรเจอร์ส 123 00:06:54,622 --> 00:06:56,666 ‎พวกละครคาวบอยต่างๆ 124 00:06:57,750 --> 00:07:02,380 ‎ผมไปโรงละครลอสแอนเจลิส ‎มันเป็นวังขนาดใหญ่เหมือนสมัยก่อน 125 00:07:02,463 --> 00:07:04,507 ‎แล้วอาคารก็รักษาสภาพไว้อย่างดี 126 00:07:04,590 --> 00:07:07,301 ‎ผมก็ไปนั่งสบายๆ บางครั้งก็มีผมคนเดียว 127 00:07:07,385 --> 00:07:09,637 ‎ทั้งโรงละครใหญ่มีแค่ผมคนเดียว 128 00:07:09,720 --> 00:07:12,849 ‎ดูหนังจอห์น ฟอร์ด ‎โมนูเมนต์แวลลีย์ อะไรพวกนั้น 129 00:07:12,932 --> 00:07:15,476 ‎ผมคงจะค่อยๆ ชอบมันไปเอง 130 00:07:15,560 --> 00:07:18,146 ‎ผมได้เห็นเรื่องราวที่ดีมากๆ 131 00:07:18,229 --> 00:07:22,817 ‎ผมเคยไปดูหนังกับพ่อ 132 00:07:22,900 --> 00:07:26,696 ‎เขาพาผมไปดูหนังที่เขาชอบ 133 00:07:26,779 --> 00:07:31,284 ‎หนังที่มีนักแสดงอย่างจอห์น เวย์น ‎กับสตีฟ แมคควีน 134 00:07:33,035 --> 00:07:35,037 ‎ผมจำ "แบนด์ออฟแองเจิลส์" ได้ 135 00:07:35,580 --> 00:07:38,624 ‎เพราะผมจำฉากที่ซิดนีย์ พัวทิเยร์ตบผู้หญิงได้ 136 00:07:38,708 --> 00:07:40,626 ‎(แบนด์ออฟแองเจิลส์ (1957) ‎ผู้กำกับ ราอูล วอลช์) 137 00:07:40,668 --> 00:07:44,255 ‎ฉากมันตัดไป แล้วพอตัดกลับมา ‎เธอก็ยืนจับหน้าอยู่ 138 00:07:44,338 --> 00:07:47,383 ‎เราก็ถาม "เกิดอะไรขึ้น" ‎แม่ก็บอก "เขาตบผู้หญิงไง" 139 00:07:47,467 --> 00:07:48,551 ‎"อะไรนะ จริงเหรอ" 140 00:07:49,510 --> 00:07:51,095 ‎"มันฉายไม่ได้ แต่เขาตบผู้หญิง" 141 00:07:52,054 --> 00:07:53,222 ‎ถ้าคุณเป็นคนรักหนัง 142 00:07:53,306 --> 00:07:55,933 ‎คุณก็จะไปดูหนังที่สนใจอยากดู 143 00:07:56,017 --> 00:08:00,104 ‎ปาเข้าไปกลางเรื่องนั่นแหละ ‎เราถึงจะสังเกตว่า 144 00:08:00,188 --> 00:08:02,023 ‎"ไม่มีคนดำในหนังเรื่องนี้เลย" 145 00:08:03,441 --> 00:08:05,693 ‎คุณก็แค่กินป็อปคอร์นไป แล้วก็แบบ 146 00:08:06,319 --> 00:08:10,448 ‎"นี่ฉันคิดไปเอง หรือเรื่องนี้ไม่มีคนดำเลย" 147 00:08:10,531 --> 00:08:12,950 ‎"เรื่องนี้ไม่มีคนดำจริงๆ" "โอเค" 148 00:08:13,534 --> 00:08:14,911 ‎เราอยากเห็นตัวเอง 149 00:08:16,454 --> 00:08:18,623 ‎ในบางแง่น่ะ 150 00:08:19,123 --> 00:08:22,710 ‎ใช่ เพราะอย่างที่บอก ตอนผมยังเด็กๆ 151 00:08:22,793 --> 00:08:25,171 ‎คนดำในหนัง เรามีแค่สเตปปิน เฟตชิต 152 00:08:25,254 --> 00:08:26,547 ‎หาอะไรอยู่น่ะ 153 00:08:26,631 --> 00:08:27,798 ‎(สเตปปิน เฟตชิต นักแสดง) 154 00:08:28,799 --> 00:08:30,760 ‎ไปเรียนตัดผมมาจากไหน 155 00:08:30,843 --> 00:08:31,677 ‎วิลลี่ เบสต์ 156 00:08:33,095 --> 00:08:36,140 ‎อัลฟัลฟา, บัควีต, สไตมี่ 157 00:08:39,185 --> 00:08:40,645 ‎แต่ผมก็ยังอยากเป็นพวกเขา 158 00:08:41,395 --> 00:08:42,855 ‎ไง บัควีต 159 00:08:42,939 --> 00:08:45,274 ‎ผมไม่รู้จักเด็กผิวดำที่ได้เล่นกับเด็กขาวเลย 160 00:08:45,358 --> 00:08:49,362 ‎สนิทกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง แบบได้ไปบ้านเขา 161 00:08:49,445 --> 00:08:51,656 ‎หรือเขามาบ้านเรา มาทำอะไรด้วยกัน 162 00:08:51,739 --> 00:08:56,077 ‎แก๊งเรานี่คุยกันแบบว่า ‎"ว้าว บ้านพวกนั้นอยู่ไหนเนี่ย" 163 00:08:56,869 --> 00:08:58,538 ‎ผมโตมากับการแบ่งแยก 164 00:08:58,621 --> 00:09:04,544 ‎ตั้งแต่ผมพูดได้ เดินได้ ‎รู้จักมอง เข้าใจสิ่งต่างๆ 165 00:09:04,627 --> 00:09:05,461 ‎โลกมันก็แบ่งแยก 166 00:09:07,213 --> 00:09:11,342 ‎แต่เวลาผมไปดูหนัง หนังคือเรื่องจินตนาการ 167 00:09:11,425 --> 00:09:16,138 ‎เวลาผมไปดูหนัง ผมกลับบ้าน ‎แล้วผมก็อยากเป็นโจรสลัดที่ได้ดู 168 00:09:17,098 --> 00:09:17,932 ‎แต่… 169 00:09:19,308 --> 00:09:20,685 ‎ผมอยากเห็นคาวบอยดำ 170 00:09:23,437 --> 00:09:25,356 ‎เรามีเรื่องให้เล่าเยอะมาก 171 00:09:25,439 --> 00:09:29,777 ‎เราแค่อยากเห็นพวกเรา ‎มีตัวตนในทุกรูปแบบมากขึ้น 172 00:09:29,860 --> 00:09:33,239 ‎ฉันคิดว่านั่นเป็นความท้อแท้ ‎ที่เหมือนๆ กันในหมู่เพื่อนร่วมงาน 173 00:09:33,823 --> 00:09:38,119 ‎เราแค่อยากเห็นตัวเราเป็นเด็ก ‎หรืออยู่ในหนังไซไฟอะไรสักอย่าง 174 00:09:38,202 --> 00:09:39,745 ‎ผมว่าผมก็เหมือนคนทั่วไป 175 00:09:39,829 --> 00:09:42,873 ‎ผมเข้าถึงหนังในแบบที่คุณเข้าถึงความฝัน 176 00:09:42,957 --> 00:09:45,876 ‎ขณะที่เพลิดเพลินกับภาพที่ได้เห็น 177 00:09:45,960 --> 00:09:47,295 ‎ผมก็คิดภาพไปด้วย 178 00:09:48,254 --> 00:09:51,299 ‎อาจจะพยายามนึกภาพตัวเองอยู่ในจอ 179 00:09:53,551 --> 00:09:59,015 ‎ตอนเป็นเด็กเล็กๆ ‎ฉันได้เห็นแต่คนที่ไม่เหมือนฉันเลยในหนัง 180 00:09:59,724 --> 00:10:03,561 ‎ฉันเลยไม่ได้เชื่อจริงๆ ว่า ‎ฉันจะมีวันเป็นนักแสดงได้ 181 00:10:03,644 --> 00:10:09,442 ‎จนฉันได้เห็นแฮร์รี่ เบลาฟอนเต ‎กับโดโรธี แดนดริดจ์ใน "คาร์เมน โจนส์" 182 00:10:09,942 --> 00:10:14,113 ‎ตอนได้เห็นสองคนนั้น ฉันกบอก "ว้าว 183 00:10:14,196 --> 00:10:16,657 ‎บางทีฉันก็อาจเป็นนักแสดงได้" 184 00:10:18,367 --> 00:10:20,661 ‎โดโรธี แดนดริดจ์ได้แสดงประกบคู่ในสามเรื่อง 185 00:10:20,745 --> 00:10:23,414 ‎กับคนที่ได้เป็นดาวดังในทุกวงการ 186 00:10:23,497 --> 00:10:25,958 ‎ยกเว้นวงการเดียวที่เขามีคุณสมบัติที่สุด 187 00:10:26,042 --> 00:10:26,876 ‎ภาพยนตร์ 188 00:10:26,959 --> 00:10:29,003 ‎นั่นคือแฮร์รี่ เบลาฟอนเต 189 00:10:29,587 --> 00:10:32,798 ‎แดนดริดจ์เทียบชั้นเบลาฟอนเตได้ ‎ในด้านพรสวรรค์และการเข้าอารมณ์ 190 00:10:32,882 --> 00:10:36,093 ‎มีเพียงการเหยียดผิวอย่างเด่นชัด ‎ที่บดบังสายตาทุกคน 191 00:10:36,177 --> 00:10:38,179 ‎จนไม่เห็นเสน่ห์ที่ปรับเข้าหากันของทั้งคู่ 192 00:10:38,262 --> 00:10:41,015 ‎ทำให้พวกเขาไม่ได้มีผลงานคู่กันในจอมากกว่านี้ 193 00:10:47,396 --> 00:10:51,942 ‎ความสำเร็จของเบลาฟอนเตในฐานะนักร้อง ‎เริ่มจากการฝึกฝนในฐานะนักแสดง 194 00:10:52,443 --> 00:10:55,404 ‎เขานำลักษณะท่าทาง ‎ของนักเล่าเรื่องมาใช้กับดนตรี 195 00:10:55,905 --> 00:10:59,867 ‎ตัวตนที่เหนือธรรมดาของเขา ‎ความมั่นใจในความแข็งแรงเหมือนนักกีฬา 196 00:10:59,950 --> 00:11:02,536 ‎และความเข้าอารมณ์ในการแสดง 197 00:11:02,620 --> 00:11:04,997 ‎บ่งบอกถึงพรสวรรค์ในจอของเขาได้ทันที 198 00:11:05,498 --> 00:11:09,919 ‎แต่เขาต้องทนสู้กับระบบ ‎ที่ไม่เพียงแค่ไม่รู้วิธีใช้งานเขา 199 00:11:10,002 --> 00:11:11,504 ‎แต่ยังกลัวเขามากอีกด้วย 200 00:11:11,587 --> 00:11:15,216 ‎จนเขาไม่ได้ใช้เสียงร้องเพลง ‎ของตัวเองในเรื่อง "คาร์เมน โจนส์" 201 00:11:21,389 --> 00:11:22,973 ‎ดังนั้น เมื่อปี 1959 202 00:11:23,057 --> 00:11:27,561 ‎เขาจึงตอบโต้ด้วยการสร้างโปรเจกต์ ‎ที่นำตัวผู้กำกับโรเบิร์ต ไวส์ 203 00:11:27,645 --> 00:11:31,107 ‎นักแสดงเอ็ด เบ็กลีย์ ‎ซึ่งทั้งคู่ได้รางวัลออสการ์ในไม่กี่ปีต่อมา 204 00:11:31,190 --> 00:11:33,567 ‎ขึ้นบัญชีดำกับนักเขียนบทเอบ โพลอนสกี้ 205 00:11:33,651 --> 00:11:35,653 ‎และเดอะโมเดิร์นแจ๊ซควอร์เท็ต 206 00:11:38,948 --> 00:11:43,452 ‎"ออดส์อะเกนสต์ทูมอร์โรว์" ‎เป็นสิ่งที่น่าทึ่งในยุคนั้น 207 00:11:44,203 --> 00:11:47,540 ‎และการที่ผมได้รับโอกาสนั้น 208 00:11:47,623 --> 00:11:49,291 ‎ได้สร้างหนังแบบนั้น 209 00:11:50,501 --> 00:11:51,794 ‎มันก็มีความหมายกับผมมาก 210 00:11:51,877 --> 00:11:56,465 ‎(ออดส์อะเกนสต์ทูมอร์โรว์ (1959) ‎ผู้กำกับ โรเบิร์ต ไวส์) 211 00:12:12,189 --> 00:12:13,649 ‎ไง สุดหล่อ เป็นไงบ้าง 212 00:12:15,651 --> 00:12:17,695 ‎บัคโก้อยากเลี้ยงเหล้าคุณ 213 00:12:18,612 --> 00:12:20,614 ‎ผมก็อยากซื้อรถใหม่สวยๆ ให้คุณ 214 00:12:20,698 --> 00:12:23,743 ‎"ออดส์อะเกนสต์ทูมอร์โรว์" เป็นหนังที่ลืมไม่ลง 215 00:12:23,826 --> 00:12:25,494 ‎ฟิล์มนัวร์เรื่องสุดท้ายในยุคนั้น 216 00:12:25,578 --> 00:12:28,998 ‎ซึ่งมาก่อนกาลด้วยการ ‎มองประเด็นชาติพันธุ์อย่างจริงใจอีกด้วย 217 00:12:29,081 --> 00:12:31,375 ‎ซึ่งแน่นอน แปลว่ามันถูกเมิน 218 00:12:31,459 --> 00:12:34,086 ‎โอกาสมาถึงเบลาฟอนเต 219 00:12:34,170 --> 00:12:37,715 ‎แต่โปรเจกต์ที่เขาได้รับข้อเสนอ ‎ไม่น่าสนใจสำหรับเขาเลยสักนิด 220 00:12:37,798 --> 00:12:39,967 ‎ซิดนีย์ พัวทิเยร์ ก่อนหน้านั้น 221 00:12:40,801 --> 00:12:43,471 ‎เป็นคนดำที่ดังที่สุดในจักรวาล 222 00:12:44,096 --> 00:12:46,766 ‎แต่เขาก็คือซิดนีย์ พัวทิเยร์ 223 00:12:47,558 --> 00:12:50,686 ‎เขาไม่ใช่ซิดนีย์ พัวทิเยร์ ‎ในสภาวะแวดล้อมของคนดำ 224 00:12:50,770 --> 00:12:52,438 ‎ในสถานการณ์ของคนดำ 225 00:12:52,521 --> 00:12:58,068 ‎เขาคือซิดนีย์ พัวทิเยร์ ‎ที่แสดงเป็นคนดำในหนังของคนขาวล้วน 226 00:12:58,152 --> 00:13:01,489 ‎สิ่งแรกที่ผมถามตัวเองคือ "ทำไมผู้ชายผิวดำ 227 00:13:02,239 --> 00:13:04,867 ‎ที่ไม่มีชาติกำเนิด ไม่มีอนาคต 228 00:13:04,950 --> 00:13:09,663 ‎อยู่ๆ ถึงไปอยู่ท่ามกลางแม่ชีนาซีเจ็ดคนได้" 229 00:13:09,747 --> 00:13:11,123 ‎ผมปฏิเสธไป 230 00:13:12,541 --> 00:13:15,419 ‎แล้วพวกเขาก็ไปเสนอบทให้ซิดนีย์ ‎แล้วซิดนีย์ก็รับแสดง 231 00:13:16,170 --> 00:13:18,130 ‎ผู้ชนะได้แก่ซิดนีย์ พัวทิเยร์ค่ะ 232 00:13:19,840 --> 00:13:23,260 ‎(ซิดนีย์ พัวทิเยร์ ‎นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ลิลลี่ส์ออฟเดอะฟิลด์) 233 00:13:23,344 --> 00:13:25,304 ‎แทนที่จะยอมรับบทแสดง 234 00:13:25,387 --> 00:13:28,390 ‎ที่ไม่ได้แสดงถึงสังคมคนดำ ‎อย่างมีความหมายเลย 235 00:13:28,474 --> 00:13:29,934 ‎หรือไม่ได้แสดงถึงสังคมคนดำเลย 236 00:13:30,017 --> 00:13:35,356 ‎แฮร์รี่ เบลาฟอนเต ‎เลือกไม่แสดงหนังตั้งแต่ปี 1959-1970 237 00:13:35,439 --> 00:13:39,568 ‎สำหรับผม นั่นทำให้เขา ‎เป็นมูฮัมหมัด อาลีแห่งวงการภาพยนตร์ 238 00:13:39,652 --> 00:13:43,322 ‎ที่ถูกบีบให้ไปจากสังเวียน ‎ที่เหมาะกับเขาในยุครุ่งเรือง 239 00:13:43,405 --> 00:13:46,534 ‎ไม่มีหนังเรื่องไหนที่ผมปฏิเสธไปแล้วเสียดาย 240 00:13:47,952 --> 00:13:50,371 ‎มันไม่ใช่แนวของผม 241 00:13:50,871 --> 00:13:52,289 ‎ผมไม่ได้ข้องใจเรื่องไหนเลย 242 00:13:52,373 --> 00:13:57,127 ‎ผมดีใจที่คนอื่นได้โอกาสแล้วก็ทำได้ แต่สิ่งแรก… 243 00:13:57,711 --> 00:13:59,672 ‎ที่สำคัญที่สุดคือผมเป็นศิลปิน 244 00:14:00,214 --> 00:14:01,382 ‎ผมเป็นนักแสดง 245 00:14:01,465 --> 00:14:05,344 ‎ผมจบมาจากโรงเรียนเดียว ‎กับมาร์ลอน แบรนโด้, วอลเตอร์ แมตทาว 246 00:14:05,427 --> 00:14:07,930 ‎ร็อด สไตเกอร์, โทนี่ เคอร์ติส 247 00:14:08,013 --> 00:14:11,767 ‎กับผู้กำกับที่ไม่มีความปรานี 248 00:14:12,434 --> 00:14:16,438 ‎ผมจะไม่เล่นหนังเรื่องไหน ‎นอกจากหนังที่ผมคิดว่าควรค่าแก่การสร้าง 249 00:14:17,773 --> 00:14:21,151 ‎โชคดีที่ผมดังระเบิดฉุดไม่อยู่ 250 00:14:21,235 --> 00:14:22,611 ‎ในโลกทั้งใบ 251 00:14:23,195 --> 00:14:26,991 ‎เพราะผมมีคนทั้งโลกที่กล้าเปิดใจยอมรับ 252 00:14:27,074 --> 00:14:29,410 ‎ตัวตนของผมในหมู่พวกเขา 253 00:14:29,910 --> 00:14:31,704 ‎จนไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า 254 00:14:31,787 --> 00:14:34,915 ‎ที่อยู่ตรงเส้นขอบฟ้านั่น ที่ชื่อเบลาฟอนเต 255 00:14:34,999 --> 00:14:36,417 ‎ไม่มีใครมาแหยมได้ 256 00:14:37,126 --> 00:14:39,962 ‎เพราะทุกครั้งที่ใครก็ตาม ‎เข้ามายื่นคำขาดกับผม 257 00:14:40,045 --> 00:14:42,506 ‎ผมบอกเลย "ไปตายซะ ผมจะไปปารีส 258 00:14:42,590 --> 00:14:46,760 ‎ผมอาจจะไปอยู่ที่นั่นเลยก็ได้ ‎แต่ผมมีปลายทาง 259 00:14:46,844 --> 00:14:50,931 ‎ที่ยอมรับในสิ่งที่คุณปฏิเสธว่าผมเป็นไม่ได้" 260 00:14:51,473 --> 00:14:52,308 ‎ผมเอง 261 00:14:55,394 --> 00:14:56,478 ‎ผมมาแล้ว 262 00:14:56,562 --> 00:15:00,190 ‎ความมุ่งมั่นของเบลาฟอนเต ‎ทำให้เขาหลุดจากวงการหนัง 263 00:15:00,274 --> 00:15:01,775 ‎แต่เมื่อความท้อแท้ก่อตัว 264 00:15:01,859 --> 00:15:05,029 ‎ในหมู่คนผิวสีที่เรียกร้อง ‎การแก้ไขสถานการณ์และสิทธิพลเมือง 265 00:15:05,112 --> 00:15:07,239 ‎วงการภาพยนตร์กลับล้าหลัง 266 00:15:07,323 --> 00:15:11,076 ‎ผมขอใช้คำพูดของแลงสตัน ฮิวส์ ‎ที่เป็นแรงบันดาลใจละครเวทีและภาพยนตร์ 267 00:15:11,660 --> 00:15:13,704 ‎"เกิดอะไรขึ้นกับความฝันที่ถูกเลื่อนออกไป 268 00:15:13,787 --> 00:15:16,290 ‎มันจะแห้งตายไปเหมือนลูกเกดตากแดด 269 00:15:16,999 --> 00:15:19,001 ‎อาจจะแค่จมเหมือนถนนหนักๆ 270 00:15:20,628 --> 00:15:22,588 ‎หรือมันจะระเบิด" 271 00:15:27,426 --> 00:15:29,929 ‎เราถูกทำร้าย แล้วก็ถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า 272 00:15:30,012 --> 00:15:32,681 ‎เราตัดสินใจแล้วว่าจะแก้ไขมันเดี๋ยวนี้ 273 00:15:34,600 --> 00:15:37,311 ‎หลายสิบปีที่คนผิวสี ‎ถูกข่มเหงทารุณอย่างร้ายแรง 274 00:15:37,394 --> 00:15:40,397 ‎ทำให้ศตวรรษที่ 20 เป็นยุคแห่งการลุกฮือ 275 00:15:40,481 --> 00:15:46,153 ‎กลุ่มการเมืองในทศวรรษ 1960 ‎ต้องเหตุปะทะกลางเมืองแทบทุกปี 276 00:15:46,236 --> 00:15:50,115 ‎ปี 1965 มีการปะทะ ‎ลามไปทั่วเมืองลอสแอนเจลิส 277 00:15:50,199 --> 00:15:53,327 ‎ประเด็นของเหตุจลาจลวัตส์ ‎คือเราคาดการล่วงหน้าได้ 278 00:15:53,410 --> 00:15:56,538 ‎มันเห็นชัดว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น มันจะระเบิดขึ้น 279 00:15:57,122 --> 00:15:58,374 ‎ตำรวจฆ่าประชาชน 280 00:15:58,457 --> 00:16:01,585 ‎ตำรวจฆ่าประชาชนมาตลอด ‎สร้างความหวาดกลัวให้ชุมชน 281 00:16:03,170 --> 00:16:04,505 ‎ถ้าผมไปดูโชว์ตอนกลางคืน 282 00:16:04,588 --> 00:16:07,341 ‎ผมรู้เลยว่าสักจุดหนึ่ง ผมจะโดนตำรวจเรียก 283 00:16:08,842 --> 00:16:11,261 ‎มันคือยุคที่ชีวิตพวกเรา 284 00:16:12,513 --> 00:16:14,056 ‎ดูจะไม่สำคัญเลย 285 00:16:15,849 --> 00:16:19,353 ‎ภายในปี 1968 อเมริกาก็ดิ่งเหว 286 00:16:19,853 --> 00:16:23,983 ‎เกิดจลาจลกว่า 20 ครั้ง ‎โดยกว่าครึ่งเกิดในปี 1967 287 00:16:24,483 --> 00:16:26,276 ‎รวมถึงในเมืองบ้านเกิดของผมด้วย 288 00:16:26,360 --> 00:16:30,489 ‎กฎระเบียบบ้านเมือง ‎ได้พังทลายลงในดีทรอยต์ มิชิแกน 289 00:16:31,281 --> 00:16:33,075 ‎นี่คือภาพในแถบลินวูด 290 00:16:33,158 --> 00:16:35,244 ‎ไฟที่ลุกไหม้และอารมณ์ที่ร้อนแรง 291 00:16:35,327 --> 00:16:37,788 ‎เกินกว่าที่ทั้งนายกเทศมนตรี ‎และผู้ว่าการรัฐฯ คาดคิดไว้ 292 00:16:38,998 --> 00:16:40,916 ‎การลุกฮือก็เกิดขึ้นในวงการภาพยนตร์เช่นกัน 293 00:16:41,709 --> 00:16:43,335 ‎ในวงการภาพยนตร์อิสระ 294 00:16:43,419 --> 00:16:45,379 ‎ชีวิตคนดำในวงการนั้นไม่ใช่แค่ 295 00:16:45,462 --> 00:16:48,090 ‎เป็นภาพในหางตาของคนขาว 296 00:16:48,632 --> 00:16:51,844 ‎และก็มักจะมีที่ว่างให้คนดำในจอมากกว่าหนึ่งคน 297 00:16:52,636 --> 00:16:54,555 ‎และดาราดำในจอสองคนนั้น 298 00:16:54,638 --> 00:16:57,975 ‎ก็ได้สร้างผลงานแสดง ‎ระดับดาราหนังใหญ่พร้อมกัน 299 00:16:58,058 --> 00:17:00,144 ‎ซึ่งไม่ได้ทำให้พวกเขาแจ้งเกิดในวงการจอเงิน 300 00:17:01,311 --> 00:17:04,148 ‎คุณมาทำอะไรที่นี่ ‎กับผู้ชายแบบผมในร้านแบบนี้ 301 00:17:06,025 --> 00:17:07,818 ‎คุณไม่ค่อยให้คุณค่าตัวเองสินะ 302 00:17:08,527 --> 00:17:10,154 ‎ในโลกที่ยุติธรรมกว่านี้ 303 00:17:10,237 --> 00:17:13,699 ‎กระแสและความร้อนแรง ‎จากไอแวน ดิกสันและแอ็บบี้ ลินคอล์น 304 00:17:13,782 --> 00:17:15,242 ‎ใน "นอทธิงบัตอะแมน" 305 00:17:15,325 --> 00:17:18,996 ‎ควรจะเป็นตัวกระตุ้น ‎ให้การงานไปไกลและได้รับการยอมรับกว่านี้ 306 00:17:24,001 --> 00:17:28,213 ‎เดวิส ด้วยพรสวรรค์มากมาย ‎ในฐานะนักร้อง นักแสดง และพิธีกร 307 00:17:28,297 --> 00:17:30,132 ‎มีความสามารถพอจะทำได้แน่นอน 308 00:17:30,215 --> 00:17:34,386 ‎เขาแสดงถึงความนิ่งเยือกเย็น ‎เพื่อสนองอัตตาที่แปรปรวน หาความสำราญ 309 00:17:34,470 --> 00:17:37,556 ‎ในเรื่อง "อะแมนคอลด์อดัม" เมื่อปี 1966 310 00:17:37,639 --> 00:17:40,851 ‎เขาแสดงร่วมกับซิซิลี่ ไทสัน, เจเน็ต ดูบัวส์ 311 00:17:40,934 --> 00:17:43,812 ‎และมอร์แกน ฟรีแมนในบทเล็กๆ ไม่มีบทพูด 312 00:17:44,396 --> 00:17:47,900 ‎ซึ่งเขาต้องรออีกเกือบ 20 ปี ‎ถึงจะได้บทที่ได้แสดงพลัง 313 00:17:47,983 --> 00:17:49,401 ‎และความสามารถในการพูด 314 00:17:49,985 --> 00:17:53,906 ‎เดวิสคว้าหนังเรื่องนี้ไว้ในกำมือจนถึงองก์สุดท้าย 315 00:17:53,989 --> 00:17:58,452 ‎ซึ่งหลักๆ คือเขาขอโทษ ‎ต่อความเสียหายที่ตัวละครของเขาได้ก่อไว้ 316 00:17:59,078 --> 00:18:00,996 ‎ก็ได้ ผมผิดไปแล้ว โอเคไหม 317 00:18:01,997 --> 00:18:04,958 ‎ผมน่าจะรอดูก่อนว่าเรื่องอะไร 318 00:18:05,042 --> 00:18:07,002 ‎อาจจะรอให้เธอเอาขวดฟาดหัวคุณก่อน 319 00:18:07,086 --> 00:18:09,338 ‎ที่รัก ทั้งหมดที่ผมเห็น 320 00:18:09,421 --> 00:18:13,175 ‎คือมือยายแก่นั่นบนแก้มย้วย… 321 00:18:13,258 --> 00:18:14,093 ‎อดัม 322 00:18:17,846 --> 00:18:21,016 ‎การที่แวน พีเบิลส์สอดแทรก ‎ชีวิตคนดำที่ไม่สมเพชตัวเองเข้ามา 323 00:18:21,100 --> 00:18:24,019 ‎ในวงการอาร์ตเฮาส์ เป็นเรื่องที่แปลกใหม่ 324 00:18:31,485 --> 00:18:35,447 ‎หนังค่ายใหญ่ติดชะงัก ‎กับความต้องการโบราณจากระบอบผู้ชายเป็นใหญ่ 325 00:18:35,531 --> 00:18:36,824 ‎ที่ต้องหล่อหลอมวัฒนธรรม 326 00:18:36,907 --> 00:18:38,826 ‎แทนที่จะเปลี่ยนแปลงตามวัฒนธรรม 327 00:18:38,909 --> 00:18:41,703 ‎ซากละครเพลงสำหรับทุกเพศทุกวัย ‎ที่หลงแนวทางผิดๆ 328 00:18:41,787 --> 00:18:43,038 ‎อย่างเรื่องนี้ 329 00:18:43,872 --> 00:18:46,250 ‎สุดยอดหนังที่ได้เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 330 00:18:46,333 --> 00:18:50,462 ‎แต่ข่าวดีที่สุดของปี 1968 ‎คือการยกระดับของซิดนีย์ พัวทิเยร์ 331 00:18:50,546 --> 00:18:54,007 ‎จากที่เคยเสียสละตัวเอง ‎ให้ดาราหนังใหญ่ผิวขาวที่รับบทผิดแบบ 332 00:18:54,091 --> 00:18:55,759 ‎ไปเป็นคนที่ได้ครองโลก 333 00:18:55,843 --> 00:18:59,012 ‎ทั้ง "เกสฮูส์คัมมิ่งทูดินเนอร์" ‎และ "อินเดอะฮีตออฟเดอะไนต์" 334 00:18:59,096 --> 00:19:04,184 ‎ได้ฉายไปทั่วโลกเมื่อปี 1968 ‎ปีที่ได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 335 00:19:04,268 --> 00:19:08,147 ‎ซึ่งนักแสดงร่วมผิวขาว ‎ได้เห็นความร้อนแรงอันยิ่งใหญ่ของเขา 336 00:19:08,981 --> 00:19:10,482 ‎อย่าเข้าใจผมผิดนะ 337 00:19:11,108 --> 00:19:13,986 ‎ผมรักลูกสาวคุณ ไม่มีอะไรที่ผมไม่ยอมทำ 338 00:19:14,069 --> 00:19:16,738 ‎เพื่อทำให้เธอมีความสุข ‎เหมือนวันแรกที่ผมได้เจอเธอ 339 00:19:16,822 --> 00:19:20,409 ‎แต่ดูเหมือนว่าถ้าพวกคุณไม่ยอมรับ ‎เราก็ไม่ควรคบกันเลยสินะ 340 00:19:22,953 --> 00:19:26,540 ‎อย่างที่มาร์ค แฮร์ริสเขียนไว้ในหนังสือ ‎"พิกเจอร์สแอตอะเรโวลูชัน" 341 00:19:26,623 --> 00:19:29,960 ‎"พัวทิเยร์คือดาราบ็อกซ์ออฟฟิศ ‎อันดับหนึ่งในอเมริกา" 342 00:19:34,298 --> 00:19:38,927 ‎น่าเสียดาย เขาก็เป็นตัวอย่าง ‎การโต้ตอบของวงการบันเทิง 343 00:19:39,011 --> 00:19:40,846 ‎ต่อความสำเร็จของคนผิวสี 344 00:19:41,722 --> 00:19:44,975 ‎ดูจะไม่มีใครคิดเลยว่า ‎ถ้าซิดนีย์ พัวทิเยร์ดึงดูดผู้ชมได้ 345 00:19:45,058 --> 00:19:50,522 ‎ผู้ชายหรือผู้หญิงผิวดำคนอื่นสักคน ‎ก็อาจจะทำได้เช่นเดียวกัน 346 00:19:51,106 --> 00:19:54,943 ‎นี่คือยุคที่คนดำคุยกับคนขาวในจอ 347 00:19:55,027 --> 00:19:57,821 ‎ถือเป็นความบันเทิงแบบผู้ใหญ่ 348 00:20:00,157 --> 00:20:01,408 ‎(เกิดประเด็กถกเถียงไม่นานมานี้) 349 00:20:04,244 --> 00:20:06,246 ‎ความสำเร็จของคนดำในสื่อ 350 00:20:06,330 --> 00:20:10,250 ‎มักถูกมองว่าไม่แตกต่าง ‎จากการเจอธนบัตร 100 ดอลลาร์ในรถไฟใต้ดิน 351 00:20:10,334 --> 00:20:12,252 ‎ปรากฏการณ์ที่ไม่เกิดซ้ำ 352 00:20:13,420 --> 00:20:17,174 ‎เมื่อหนังห่วยๆ เริ่มสร้าง ‎โดยมีเอลวิส เพรสลีย์เป็นศูนย์กลาง 353 00:20:17,841 --> 00:20:19,092 ‎หรือเดอะบีตเทิลส์ 354 00:20:19,176 --> 00:20:23,263 ‎ศิลปินที่เพลงชุดแรกในสหรัฐฯ ‎อยู่กับค่ายเพลงที่เจ้าของเป็นคนดำ 355 00:20:23,347 --> 00:20:26,475 ‎ทำไมถึงไม่มีใครตามหาผู้บุกเบิกเพลงร็อกหญิง 356 00:20:26,558 --> 00:20:28,143 ‎ไปต่อยอดอาชีพเล่นหนังเลย 357 00:20:28,227 --> 00:20:29,645 ‎(เดอะดัชเชส) 358 00:20:30,938 --> 00:20:34,733 ‎(เบ็ตตี้ เดวิส) 359 00:20:40,656 --> 00:20:44,618 ‎อีกไม่นาน วันใหม่ หรือคืนใหม่ก็มาถึง 360 00:20:44,701 --> 00:20:47,913 ‎ยุคที่ดาราผิวดำมีแนวโน้มจะได้รับการยอมรับ 361 00:20:47,996 --> 00:20:49,414 ‎ในวงการภาพยนตร์อิสระ 362 00:20:49,998 --> 00:20:53,377 ‎นักเขียนและผู้กำกับ จอร์จ โรเมโร ‎ได้สร้างแอ็กชันฮีโร่รูปแบบใหม่ขึ้นมา 363 00:20:53,460 --> 00:20:58,799 ‎โดยฝากหนังและปืนหนึ่งกระบอก ‎ไว้ในมือของดเวน โจนส์ นักแสดงผิวดำ 364 00:20:58,882 --> 00:21:01,718 ‎ในหนังทรงอิทธิพลตลอดกาลที่สุดเรื่องหนึ่ง 365 00:21:01,802 --> 00:21:03,804 ‎ผมว่าคุณควรใจเย็นๆ นะ 366 00:21:05,180 --> 00:21:08,934 ‎ฉันกรีดร้อง "จอห์นนี่ๆ ช่วยด้วย" 367 00:21:09,017 --> 00:21:13,814 ‎และโรเมโรยังออกนอกกรอบ ‎ด้วยการไม่เคยพูดถึงชาติพันธุ์ของตัวเอก 368 00:21:13,897 --> 00:21:16,900 ‎เพราะบทนั้นไม่ได้เขียนมาให้นักแสดงผิวดำ 369 00:21:17,776 --> 00:21:20,779 ‎เดี๋ยวผมจะกลับมาเสริมประตูกับหน้าต่าง 370 00:21:21,280 --> 00:21:22,990 ‎แต่ตอนนี้คุณจะปลอดภัย ตกลงนะ 371 00:21:25,951 --> 00:21:26,785 ‎โอเคนะ 372 00:21:27,286 --> 00:21:28,787 ‎คุณอยากให้คนดำอยู่ด้วย 373 00:21:29,955 --> 00:21:31,957 ‎คุณอยากให้คนดำอยู่ด้วย 374 00:21:32,040 --> 00:21:34,167 ‎เพราะเขาจะช่วยคุณออกไปได้ 375 00:21:34,251 --> 00:21:36,545 ‎ถ้าคุณฆ่าเขา คุณก็ตาย 376 00:21:36,628 --> 00:21:38,714 ‎เรารู้วิธีหนีรอด 377 00:21:39,756 --> 00:21:43,260 ‎เรารู้วิธีหนีจากซอมบี้ 378 00:21:43,343 --> 00:21:46,680 ‎เพราะเรารู้วิธีหนีจากต้นไม้ฆ่าคน 379 00:21:46,763 --> 00:21:50,017 ‎จากทุกอย่างที่เข้ามาเล่นงานเรา ‎เพราะเราเคย… 380 00:21:50,934 --> 00:21:52,477 ‎เรารู้วิธีหนีเอาตัวรอด 381 00:21:53,562 --> 00:21:58,025 ‎เรารู้วิธีหนีเอาตัวรอด แล้วปล่อยเรื่องอื่นเป็นไป 382 00:21:59,151 --> 00:22:02,529 ‎ภาพของผีดิบไล่ล่าคนที่อาจตกเป็นเหยื่อ 383 00:22:02,612 --> 00:22:04,948 ‎และหน้าต่างถูกปิดตายเพื่อไม่ให้พวกมันเข้า 384 00:22:05,032 --> 00:22:07,743 ‎ทำให้ผมนึกถึงภาพเหตุจลาจลในทีวี 385 00:22:07,826 --> 00:22:11,288 ‎ไม่เคยมีหนังเรื่องไหน ‎มีการเปรียบเทียบและอุปมามากขนาดนี้ 386 00:22:11,371 --> 00:22:14,875 ‎ทั้งที่ตั้งใจ และไม่ได้เจตนา ‎เท่ากับ "ไนต์ออฟเดอะลิฟวิงเดด" 387 00:22:24,384 --> 00:22:27,012 ‎เอาล่ะ ซัดตรงหัวเลย กลางแสกหน้า 388 00:22:28,138 --> 00:22:31,683 ‎เพราะโจนส์ตาย ถูกฆ่าหลังจากสู้เพื่อช่วยคนขาว 389 00:22:31,767 --> 00:22:35,604 ‎"ไนต์ออฟเดอะลิฟวิงเดด" ‎จึงเป็นที่รักของกองทหารแอฟริกันอเมริกัน 390 00:22:35,687 --> 00:22:38,857 ‎พวกเขารู้สึกว่าเป็นการเปรียบเปรย ‎กับการไม่อยู่ข้างชาติพันธุ์ตัวเอง 391 00:22:38,940 --> 00:22:42,402 ‎นี่คือความคิดที่ผมได้ยินเป็นคำพูด ‎มาจากแฟนของพี่สาวผม 392 00:22:42,486 --> 00:22:43,779 ‎ยิงแม่นนี่ 393 00:22:43,862 --> 00:22:47,532 ‎โอเค เขาตายแล้ว ‎ไปเก็บเขาซะ ต้องเผาอีกศพแล้ว 394 00:22:48,492 --> 00:22:52,162 ‎และในฉากจบที่สยองไม่แพ้ตัวภาพยนตร์ 395 00:22:52,245 --> 00:22:54,915 ‎เขาถูกฆ่าแล้วโยนทิ้งลงบนกองศพ 396 00:23:00,545 --> 00:23:03,465 ‎ผมมีข่าวร้ายมากๆ มาบอกทุกคน 397 00:23:03,965 --> 00:23:08,345 ‎นั่นคือมาร์ติน ลูเธอร์ คิงถูกยิงเสียชีวิตในคืนนี้ 398 00:23:08,428 --> 00:23:09,763 ‎ในเมมฟิส เทนเนสซี 399 00:23:10,639 --> 00:23:13,934 ‎ออกฉายในปีที่ ‎ด็อกเตอร์มาร์ติน ลูเธอร์ คิงถูกลอบสังหาร 400 00:23:14,017 --> 00:23:18,313 ‎และไม่กี่ปีหลังเหตุฆาตกรรม ‎เมดการ์ เอเวอร์สกับมัลคอล์ม เอ็กซ์ 401 00:23:18,397 --> 00:23:20,774 ‎ฉากตายในหนังนี้มีนัยยะแฝงที่ใหญ่กว่า 402 00:23:20,857 --> 00:23:23,318 ‎ที่ผู้เขียนบทและผู้กำกับเคยจินตนาการไว้ 403 00:23:25,320 --> 00:23:27,697 ‎ความสำเร็จของ "ลิฟวิงเดด" ‎ควรจะกลายเป็นข้อยืนยัน 404 00:23:27,781 --> 00:23:29,950 ‎ถึงความสนใจในนักแสดงผิวดำจากกระแสหลัก 405 00:23:30,450 --> 00:23:34,663 ‎ในปีที่มีปีเตอร์ เซลเลอร์ส ‎แสดงเป็นตัวละครเชื้อสายอินเดีย 406 00:23:34,746 --> 00:23:37,165 ‎ในหนังเสียดสีวงการ "เดอะปาร์ตี้" 407 00:23:37,249 --> 00:23:41,002 ‎ปี 1968 ยังเป็นปีที่มี ‎ยูล บรินเนอร์แสดงเป็นปันโช บีญา 408 00:23:41,628 --> 00:23:45,090 ‎และที่โชคร้าย วูดดี้ สโตรด ‎แสดงเป็นเผ่าอาปาเช 409 00:23:46,591 --> 00:23:50,470 ‎ภาพยนตร์อเมริกัน ‎มีผู้กำกับเป็นผู้ชายผิวขาวมาตลอด 410 00:23:50,554 --> 00:23:53,974 ‎แม้จะเป็นหนังเกี่ยวกับชีวิตคนดำ ‎ใช้นักแสดงผิวดำ 411 00:23:54,057 --> 00:23:55,725 ‎ผู้กำกับผิวดำก็ถูกกีดกัน 412 00:23:55,809 --> 00:23:59,229 ‎แม้ว่าตอนนี้คนดำจะมีมากถึง ‎ร้อยละ 30 ของผู้ชมที่เข้าโรงหนัง 413 00:23:59,312 --> 00:24:02,858 ‎เพื่อนร่วมงานของผม วิลเลียม กรีฟส์ ‎เพิ่งจบงานผลิตและกำกับ 414 00:24:02,941 --> 00:24:05,819 ‎ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ‎"เทควันแอนด์เทคทู" 415 00:24:05,902 --> 00:24:07,863 ‎ซึ่งอยู่ในการตัดต่อขั้นสุดท้ายแล้ว 416 00:24:09,072 --> 00:24:11,366 ‎สวัสดีครับ ขอบอกไว้ให้ชัดเจนนะ 417 00:24:11,450 --> 00:24:15,120 ‎มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ผู้กำกับเป็นคนดำ 418 00:24:15,203 --> 00:24:18,915 ‎ในยุค 1940 เช่นพาวล์ ลินด์เซย์ ‎ออสการ์ มิโชซ์ และบิล อเล็กซานเดอร์ 419 00:24:19,708 --> 00:24:22,002 ‎ผู้กำกับเหล่านี้ถูกปฏิเสธจากฮอลลีวูด 420 00:24:22,085 --> 00:24:23,503 ‎และหนังของพวกเขาก็ได้ดูกัน 421 00:24:23,587 --> 00:24:25,797 ‎แค่ในชุมชนคนดำทั่วประเทศเท่านั้น 422 00:24:26,756 --> 00:24:28,842 ‎หนึ่งในความเชื่อที่กลับมาปรากฏซ้ำบ่อยๆ 423 00:24:28,925 --> 00:24:31,261 ‎ในช่วงปี 1968-78 424 00:24:31,344 --> 00:24:34,723 ‎ที่ผู้กำกับผิวดำไม่กี่คน ‎ในที่สุดก็ได้ก้าวเข้ามาอยู่หลังกล้อง 425 00:24:35,223 --> 00:24:39,060 ‎คือเรื่องที่ว่านี่เป็นครั้งแรก ‎ที่ผู้กำกับผิวดำได้รับโอกาสแบบนี้ 426 00:24:40,604 --> 00:24:42,564 ‎ที่จริง เพราะจำเป็นต้องทำ 427 00:24:42,647 --> 00:24:45,192 ‎ชาวแอฟริกันอเมริกันจึงได้เขียนบทและกำกับ 428 00:24:45,275 --> 00:24:47,986 ‎ในสมัยที่คนเดียวทั้งเขียนบทและกำกับ ‎เป็นเรื่องที่หาได้ยาก 429 00:24:48,069 --> 00:24:50,405 ‎และค่ายหนังก็ไม่สนับสนุน 430 00:24:50,489 --> 00:24:53,617 ‎แต่สื่อก็สนับสนุนโรงหนังและภาพยนตร์เหล่านี้ 431 00:24:53,700 --> 00:24:56,578 ‎แม้ในยุคที่กระแสหลักเมินเฉย 432 00:24:57,496 --> 00:25:00,123 ‎ผู้ที่ได้มีจุดเริ่มต้นในยุคหนังใบ้ 433 00:25:00,207 --> 00:25:03,668 ‎คือนักเขียนบท ผู้กำกับ ‎ที่บางครั้งก็ร่วมแสดง ออสการ์ มิโชซ์ 434 00:25:04,169 --> 00:25:06,588 ‎เขาสร้างหนังสำหรับวงการโรงหนังคนดำ 435 00:25:06,671 --> 00:25:08,632 ‎ซึ่งหลายแห่งเริ่มกิจการทรุดหนัก 436 00:25:08,715 --> 00:25:12,177 ‎เพราะหนังคนดำไม่ได้มีฉายต่อเนื่อง 437 00:25:12,260 --> 00:25:14,804 ‎แม้คนดูหนังผิวดำจะมีสม่ำเสมอก็ตาม 438 00:25:16,723 --> 00:25:20,018 ‎พึงระลึกไว้ว่าค่ายหนังหลายแห่ง ‎ไม่กล้าก้าวล่วงเยอรมนี 439 00:25:20,101 --> 00:25:21,895 ‎ไม่กล้าเสี่ยงเสียธุรกิจที่นั่น 440 00:25:21,978 --> 00:25:25,232 ‎จนกระทั่งถูกนาซีขับไล่เมื่อปี 1942 441 00:25:25,732 --> 00:25:28,902 ‎แต่เงินจากชาวแอฟริกันอเมริกัน ‎ก็ไม่ดีพอสำหรับพวกเขา 442 00:25:28,985 --> 00:25:31,530 ‎โรงหนังคนดำหลายแห่งเป็นแค่อาคารและห้อง 443 00:25:31,613 --> 00:25:34,157 ‎ที่ดัดแปลงเป็นโรงหนังเท่านั้น 444 00:25:34,241 --> 00:25:37,619 ‎ด้วยงบก้อนเล็กมากๆ ‎มิโชซ์และนักสร้างหนังคนอื่นๆ 445 00:25:37,702 --> 00:25:40,330 ‎แม้แต่คนขาวบางคนก็สร้างผลงานของตัวเอง 446 00:25:40,413 --> 00:25:44,125 ‎รวมถึงดัดแปลงหนังสือยอดนิยม ‎ที่พวกเขาไม่มีงบจ่ายค่าลิขสิทธิ์มากนัก 447 00:25:44,209 --> 00:25:45,585 ‎แต่ผู้เขียนก็ยอมตกลงด้วย 448 00:25:45,669 --> 00:25:47,921 ‎เพราะอยากให้ ‎หนังสือของพวกเขาได้กลายเป็นหนัง 449 00:25:52,342 --> 00:25:56,263 ‎แอสแตร์มักจะใช้ความสัมพันธ์ ‎แบบเจ้านายกับข้ารับใช้ในหนังของเขา 450 00:25:56,346 --> 00:26:00,892 ‎ให้เด่นชัดในฉากที่เขาเต้นแทปแดนซ์ ‎อยู่หน้ากลุ่มนักแสดงผิวดำ 451 00:26:03,019 --> 00:26:08,233 ‎เมื่อค่ายหนังเริ่มพังทลาย ‎ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับชาวแอฟริกันอเมริกัน 452 00:26:08,316 --> 00:26:12,862 ‎ผู้กำกับอลิซ กีย์-บลาเช ‎ก็ตัดสินใจทำสิ่งที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง 453 00:26:12,946 --> 00:26:16,324 ‎เมื่อปี 1912 เธอกำกับ "อะฟูลแอนด์ฮิสมันนีย์" 454 00:26:16,408 --> 00:26:20,787 ‎ซึ่งว่ากันว่าเป็นหนังเรื่องแรก ‎ที่นักแสดงเป็นชาวแอฟริกันอเมริกันทั้งหมด 455 00:26:20,870 --> 00:26:25,792 ‎งานศิลปะของเธอแสดงความเข้าใจอย่างขี้เล่น ‎และไม่ด้อยค่านักแสดงเหล่านั้น 456 00:26:29,296 --> 00:26:33,341 ‎เธอประสบความสำเร็จมากพอในยุคนั้น ‎จนค่ายหนังต่างๆ ต้องการตัว 457 00:26:33,425 --> 00:26:35,719 ‎และจากความใส่ใจรายละเอียด ‎ในการสร้างศิลปะของเธอ 458 00:26:35,802 --> 00:26:37,971 ‎มันก็ไม่แปลกที่เธอจะปฏิเสธโอกาส 459 00:26:38,054 --> 00:26:40,473 ‎ในการสร้างภาพยนตร์ทาร์ซานเรื่องแรก 460 00:26:40,557 --> 00:26:41,474 ‎(ทาร์ซานออฟดิเอปส์) 461 00:26:42,225 --> 00:26:45,895 ‎นักสร้างหนังผิวดำในยุคนั้น ‎เป็นคนรักหนังที่กระตือรือร้น มีแรงกระตุ้น 462 00:26:45,979 --> 00:26:49,608 ‎ที่สร้างภาพยนตร์อิสระเวอร์ชันแรกๆ 463 00:26:49,691 --> 00:26:52,569 ‎ในยุคนี้ "ภาพยนตร์อิสระ" ไม่ได้แปลว่า 464 00:26:52,652 --> 00:26:54,613 ‎เป็นคนนอกที่เท่ เป็นที่ต้องการตัว 465 00:26:54,696 --> 00:26:57,949 ‎ที่ความสำเร็จทำให้คุณ ‎ได้เข้าถึงทรัพยากรล้นหลาม 466 00:26:58,033 --> 00:27:00,368 ‎มันแปลว่าคุณถูกกีดกันจากโรงหนัง 467 00:27:00,452 --> 00:27:02,829 ‎โดยค่ายหนังที่เป็นเจ้าของ 468 00:27:02,912 --> 00:27:06,833 ‎คุณถูกทิ้งให้คิดหาวิธีส่งผลงานออกสู่ผู้ชมเอง 469 00:27:06,916 --> 00:27:09,085 ‎มิโชซ์กับคนอื่นๆ ที่คิดเหมือนเขา 470 00:27:09,169 --> 00:27:14,424 ‎ต่างก็สร้างหนังดราม่า หนังตลก ‎หนังเพลง หนังปริศนาฆาตกรรม 471 00:27:14,507 --> 00:27:18,136 ‎บางครั้งก็รวมหลายๆ แนวในหนังเรื่องเดียว 472 00:27:18,219 --> 00:27:20,472 ‎เพราะทรัพยากรของพวกเขามีจำกัด 473 00:27:20,555 --> 00:27:22,766 ‎แต่ความทะเยอทะยานไม่จำกัดเลย 474 00:27:22,849 --> 00:27:25,977 ‎เพราะในประวัติศาสตร์วงการหนังส่วนใหญ่ 475 00:27:26,061 --> 00:27:29,230 ‎ค่ายหนังต่างยินดีเมินเฉยต่อเงินของคนดำ 476 00:27:29,731 --> 00:27:33,777 ‎และธุรกิจคนดำก็ตอบโต้ ‎อย่างที่เคยทำเสมอ ด้วยการสร้าง 477 00:27:33,860 --> 00:27:37,197 ‎เศรษฐกิจและวัฒนธรรมใต้ดินในพฤตินัย 478 00:27:43,828 --> 00:27:46,915 ‎แต่เราก็ยังไม่เห็นหลักฐานจนกระทั่งหลังจากนั้น 479 00:27:46,998 --> 00:27:49,751 ‎นักแสดงที่ผันตัวเป็นนักสร้างหนัง ‎วิลเลียม กรีฟส์ได้ใช้สื่อนี้ 480 00:27:49,834 --> 00:27:52,337 ‎ในวิธีที่ปัจจุบันรู้สึกเหมือนนิยาย 481 00:27:52,420 --> 00:27:54,130 ‎หลังจากหมดความสนใจการแสดง 482 00:27:54,214 --> 00:27:56,925 ‎เพราะบทเชิดชูคนดำเรียบง่ายที่เขาได้รับ 483 00:27:57,008 --> 00:28:00,887 ‎นี่ ป้าแฮตตี้ ทุกอย่างดำเนินเร็วในยุคสงคราม 484 00:28:01,429 --> 00:28:04,349 ‎แม้แต่พิธีทางศาสนาของเราก็ต้องเร่ง 485 00:28:04,432 --> 00:28:06,810 ‎เขาเริ่มการสร้างหนังบุกเบิกวงการ 486 00:28:06,893 --> 00:28:09,062 ‎"ซิมบิโอไซโคแท็กซิพลาสซึม" 487 00:28:10,271 --> 00:28:13,733 ‎ไม่ ฉันบอกว่าอย่าแตะต้องฉัน ‎อย่าแตะต้องฉันอีก เด็ดขาด 488 00:28:14,234 --> 00:28:16,611 ‎ความทะเยอทะยานของ ‎"ซิมบิโอไซโคแท็กซิพลาสซึม" 489 00:28:16,695 --> 00:28:20,573 ‎ทั้งในเชิงทางการและอิสระ ‎มันยิ่งใหญ่ไม่แพ้ชื่อเรื่อง 490 00:28:20,657 --> 00:28:24,285 ‎มันเล่นกับกาลเวลาในทุกทางที่เป็นไปได้ 491 00:28:24,369 --> 00:28:26,121 ‎ผู้กำกับ บิล กรีฟส์ 492 00:28:26,204 --> 00:28:31,292 ‎เขาทำหนังไปไกลมากจนเขาไม่เห็นมุมมอง 493 00:28:31,376 --> 00:28:34,045 ‎ถ้าคุณถามเขาว่า "หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร" 494 00:28:34,129 --> 00:28:38,258 ‎เขาจะให้คำตอบที่คลุมเครือยิ่งกว่าคำถาม 495 00:28:38,341 --> 00:28:43,972 ‎ฉันว่าเขาคงสับสนแนวทาง ‎เขาอยากเห็นฉากที่ถ่ายทำออกมาดี 496 00:28:44,639 --> 00:28:48,143 ‎เขาอยากใหนักแสดงของเขา ‎มีแรงบันดาลใจในบางแง่ 497 00:28:48,226 --> 00:28:52,355 ‎ฉันคิดว่าเขาลังเลอยู่ระหว่างสองแนวทาง 498 00:28:52,856 --> 00:28:54,899 ‎นั่นคือทฤษฎีของฉันนะ 499 00:28:55,650 --> 00:28:58,778 ‎หลายสิบปีที่ผู้คนพูดจาสับสนวนเวียน 500 00:28:58,862 --> 00:29:02,073 ‎เพราะพยายามอธิบาย ‎"ซิมบิโอไซโคแท็กซิพลาสซึม" 501 00:29:02,907 --> 00:29:06,411 ‎ตอนนี้มันกลายเป็นหนังที่แพร่หลาย ‎จนกลายเป็นหนังแนวของตัวเอง 502 00:29:06,911 --> 00:29:09,789 ‎หนังแหวกแนว เสียดสีสังคม เล่นมุกแกล้ง 503 00:29:11,624 --> 00:29:15,503 ‎ผู้กำกับจูลส์ แดสซิน ‎ที่เคยถูก… ผมขอโทษที่ใช้คำนี้นะ 504 00:29:15,587 --> 00:29:19,466 ‎ขึ้นบัญชีดำ ได้นำการเมืองชาติพันธุ์ ‎มาใส่ในหนังระทึกขวัญของสตูดิโอ 505 00:29:19,549 --> 00:29:23,428 ‎ใน "อัปไทต์" ซึ่งเขาเขียนบท ‎ให้นักแสดงนำร่วมผิวดำ 506 00:29:23,511 --> 00:29:28,349 ‎แดสซิน, ดี, และเมย์ฟิลด์ ‎ทั้งหลักแหลม จริงจัง และไร้ยางอาย 507 00:29:28,433 --> 00:29:33,688 ‎กับการผนวกผลกระทบที่โลกผิดเพี้ยนไป ‎จากการตายของด็อกเตอร์คิงลงในหนังตามแนว 508 00:29:35,774 --> 00:29:38,067 ‎มาร์ติน ลูเธอร์ คิงถูกลอบสังหารเมื่อปี 1968 509 00:29:38,777 --> 00:29:42,572 ‎แม่ผมทิ้งทุกอย่าง แล้วไปงานศพเขา 510 00:29:42,655 --> 00:29:43,740 ‎แม่ไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้ 511 00:29:44,574 --> 00:29:48,328 ‎แต่แม่ก็หยุดทำทุกอย่าง ‎แล้วใส่ชุดสวยที่สุดออกไป 512 00:29:49,078 --> 00:29:51,456 ‎มันแบบว่า "อ้าว นี่เรื่องสำคัญเหรอ" 513 00:29:51,539 --> 00:29:53,374 ‎ผู้ชายคนนี้เป็นบุคคลสำคัญ 514 00:29:53,458 --> 00:29:57,045 ‎สิ่งที่เขาทำมันสำคัญ สิ่งที่เขาพูดถึงมันสำคัญ 515 00:29:58,630 --> 00:29:59,672 ‎เรามีความสำคัญ 516 00:30:00,256 --> 00:30:03,218 ‎เสียง ความหวัง ความฝัน ‎และความทะเยอทะยานของเรา 517 00:30:03,301 --> 00:30:05,178 ‎ทุกอย่างนั้นมันมีความหมาย 518 00:30:05,261 --> 00:30:08,014 ‎เราถือว่าความจริงนี้เด่นชัดด้วยตัวมันเอง 519 00:30:08,097 --> 00:30:10,600 ‎"อัปไทต์" แสดงถึงความเจ็บปวดสะเทือนขวัญ 520 00:30:10,683 --> 00:30:14,771 ‎และความโกรธที่ไร้การควบคุม ‎ของสังคมที่โหยหาคำตอบ 521 00:30:14,854 --> 00:30:16,856 ‎หัวใจของหนังตามแนว 522 00:30:16,940 --> 00:30:18,566 ‎หนึ่งวันหลังจากด็อกเตอร์คิงถูกฆ่า 523 00:30:18,650 --> 00:30:21,569 ‎เราขึ้นเครื่องบินไปแอตแลนตา ‎จากมอร์เฮาส์ สเปลแมน 524 00:30:21,653 --> 00:30:24,864 ‎บินไปเมมฟิส ไปเดินขบวนกับคนเก็บขยะ 525 00:30:24,948 --> 00:30:27,867 ‎เรามีป้าย "ผมเป็นมนุษย์" ‎เราเคยมีป้ายแบบนั้นในบ้าน 526 00:30:36,209 --> 00:30:38,920 ‎ในหนังแนวโจรกรรมที่กล้าพลิกแพลง 527 00:30:39,003 --> 00:30:41,631 ‎กลุ่มนักปฏิวัติเตรียมการออกปล้น 528 00:30:41,714 --> 00:30:44,968 ‎ขณะที่คลีฟแลนด์กำลังสั่นคลอน ‎หลังจากการลอบสังหารด็อกเตอร์คิง 529 00:30:45,635 --> 00:30:47,262 ‎สมาชิกตัวหลักของทีม 530 00:30:47,345 --> 00:30:50,598 ‎ที่สับสนเพราะความโกลาหลจากการตายของคิง 531 00:30:50,682 --> 00:30:52,684 ‎กลับเกิดวิกฤตด้านจิตสำนึก 532 00:30:52,767 --> 00:30:55,395 ‎ทั้งชีวิตฉันไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้เลย 533 00:30:55,895 --> 00:31:00,275 ‎"อัปไทต์" คือเวอร์ชันร่วมสมัย ‎ของหนังจอห์น ฟอร์ดปี 1935 534 00:31:00,358 --> 00:31:04,279 ‎และเป็นจุดเริ่มต้นวัฏจักร ‎ที่ข้อกังวลของคนผิวดำกลายเป็นหนังรีเมค 535 00:31:04,362 --> 00:31:07,031 ‎นั่นคือหนังที่เหมือน ‎"ดิอินฟอร์เมอร์" ฉบับรีเมคใช่ไหม 536 00:31:07,115 --> 00:31:10,702 ‎ผมรู้จักเรื่อง "ดิอินฟอร์เมอร์" ‎พอได้ดูเรื่องนั้น ผมรู้เลยว่ามันคืออะไร 537 00:31:10,785 --> 00:31:13,329 ‎ลองมองดูสิ ทุกคนตั้งแง่สงสัย 538 00:31:13,413 --> 00:31:16,499 ‎ว่าคนบางแบบอาจจะเป็นตำรวจ 539 00:31:17,000 --> 00:31:19,252 ‎สมมติว่าคุณอยู่ปาร์ตี้ คุณส่งกัญชาต่อกัน 540 00:31:19,335 --> 00:31:21,880 ‎แล้วมีคนไม่สูบ ส่งให้คนอื่นต่อ 541 00:31:21,963 --> 00:31:24,716 ‎มันก็แบบ "อ้าวเฮ้ย หมอนี่ตำรวจ" 542 00:31:24,799 --> 00:31:29,053 ‎หรือมีคนทำตัวแปลกๆ ในกลุ่มช่วงที่เรา… 543 00:31:29,137 --> 00:31:31,222 ‎สมัยที่เราเป็นนักปฏิวัติ 544 00:31:31,306 --> 00:31:34,434 ‎สมัยที่เรามีกลุ่มปฏิวัติของตัวเอง 545 00:31:35,268 --> 00:31:36,603 ‎มันจะต้องมีคนน่าสงสัยเสมอ 546 00:31:37,562 --> 00:31:42,609 ‎การที่หนังเรื่องนั้นเป็นแบบนั้น ‎มันก็เหมือนเรื่องนั้น 547 00:31:42,692 --> 00:31:46,571 ‎ในอัตชีวประวัติ ‎บุกเกอร์ ที. โจนส์ ผู้แต่งเพลงประกอบ 548 00:31:46,654 --> 00:31:50,116 ‎บอกว่ามีคนเรียก "อัปไทต์" ‎เป็นหนังแบล็กซ์พลอยเทชันเรื่องแรก 549 00:31:51,242 --> 00:31:53,912 ‎ในอีกทวีป จากอีกวัฒนธรรม 550 00:31:53,995 --> 00:31:55,705 ‎มีหนังสตูดิโอจากอิตาลี 551 00:31:56,205 --> 00:31:58,791 ‎และเช่นเดียวกับหนังหลายเรื่องที่เปลี่ยนสื่อนี้ไป 552 00:31:58,875 --> 00:32:01,210 ‎มันเป็นหนังจากแนวที่ถูกปฏิเสธ ‎ในฐานะหนังเกรดต่ำ 553 00:32:01,711 --> 00:32:03,922 ‎ในกรณีนี้ หนังสปาเก็ตตี้เวสเทิร์น 554 00:32:07,675 --> 00:32:09,302 ‎พอหนังฉายไปได้สักพัก 555 00:32:09,385 --> 00:32:11,930 ‎ฉากนี้คือสิ่งที่ผู้กำกับอยากใช้ 556 00:32:12,013 --> 00:32:15,725 ‎เพื่อทิ่มแทงใจกลางความคาดหวังของผู้ชม 557 00:32:15,808 --> 00:32:18,645 ‎การให้เฮนรี่ ฟอนด้า ‎เป็นตัวละครเลือดเย็นมีผลอย่างรุนแรง 558 00:32:19,145 --> 00:32:22,148 ‎เขาคือเข็มทิศทางศีลธรรม ‎ของวงการหนังอเมริกา 559 00:32:22,231 --> 00:32:24,233 ‎แต่ไอแซก เฮย์ส ด้วยความต้องการหนังฮิต 560 00:32:24,859 --> 00:32:28,112 ‎เขาได้แรงบันดาลใจจาก ‎การใช้ฟอนด้าที่บิดเบี้ยวของลีโอน 561 00:32:28,196 --> 00:32:31,032 ‎นักแสดงที่เป็นจุดสูงสุด ‎ของคุณธรรมคนขาวในหนัง 562 00:32:31,115 --> 00:32:34,077 ‎ร่วมกับจอห์น เวย์น, ‎จิมมี่ สจวร์ต, และเชอร์ลีย์ เทมเพิล 563 00:32:36,412 --> 00:32:40,333 ‎เฮย์สที่เป็นนักแสดงและโปรดิวเซอร์ ‎ประทับใจมากจนสร้างผลงานเพลงชิ้นนี้ 564 00:32:58,935 --> 00:33:02,105 ‎เฮย์สบอกผมว่าเขาอยากหนีแอร์เสีย 565 00:33:02,188 --> 00:33:04,983 ‎ที่สแต็กซ์สตูดิโอด้วยการไปดูหนังเรื่องนี้ 566 00:33:05,066 --> 00:33:07,193 ‎ซึ่งเขาดูมาอย่างน้อยสิบรอบแล้ว 567 00:33:07,276 --> 00:33:09,821 ‎ความโดดเด่นของวูดดี้ สโตรดได้โน้มน้าวเฮย์ส 568 00:33:09,904 --> 00:33:12,031 ‎ว่าสักวันเขาอาจเป็นดาราได้ 569 00:33:12,115 --> 00:33:16,327 ‎และเป็นหนังแนวที่คนดำ ‎มีส่วนร่วมแค่ไม่เกินชายขอบ หนังคาวบอย 570 00:33:16,411 --> 00:33:20,957 ‎ที่สำคัญกว่านั้น "วันซ์อัปพอนอะไทม์" ‎ได้กระตุ้นให้เฮย์สสร้างผลงานนี้ขึ้น 571 00:33:21,040 --> 00:33:22,500 ‎สำหรับอัลบั้มฮอตบัตเทิร์ดโซล 572 00:33:34,762 --> 00:33:38,057 ‎เมื่อกอร์ดอน พาร์กส์ดัดแปลง ‎นิยายกึ่งอัตชีวประวัติของเขาเป็นหนัง 573 00:33:38,141 --> 00:33:40,643 ‎"เดอะเลิร์นนิ่งทรี" ในปี 1969 574 00:33:40,727 --> 00:33:45,314 ‎เขาได้สร้างหนังเรื่องแรกที่ได้งบจากสตูดิโอ ‎ของผู้กำกับชาวแอฟริกันอเมริกัน 575 00:33:45,398 --> 00:33:48,735 ‎วอร์เนอร์บราเธอร์สได้กำไรคุ้ม ‎จากช่างภาพที่ผันตัวมาเป็นนักสร้างหนัง 576 00:33:49,318 --> 00:33:53,573 ‎เขาเขียนบท กำกับ ผลิต และแต่งเพลงประกอบ 577 00:33:53,656 --> 00:33:56,993 ‎เขาล้อเล่นกับผมว่า ‎เหตุผลเดียวที่เขาไม่ได้นำแสดงเอง 578 00:33:57,076 --> 00:33:58,494 ‎ก็เพราะเขาตัวสูงเกินไป 579 00:33:59,037 --> 00:34:03,374 ‎"เลิร์นนิ่งทรี" เป็นเรื่องของนิวต์ ‎เด็กอายุ 12 ในช่วงหน้าร้อนปีหนึ่ง 580 00:34:04,542 --> 00:34:08,046 ‎มีเหตุการณ์หนึ่งที่ส่งผลกระทบ ‎ที่หนังเรื่องนี้หนีไม่พ้น 581 00:34:08,129 --> 00:34:09,047 ‎หนีเร็ว ทัค หนีไป 582 00:34:09,130 --> 00:34:13,468 ‎ฉากที่รุนแรงมาก ‎มันดูเหนือความจริง และสมจริงเกินไป 583 00:34:13,551 --> 00:34:16,012 ‎ฉากที่ไม่ได้รับการยอมรับในยุคนั้น 584 00:34:16,095 --> 00:34:17,430 ‎หยุดนะ ให้ตายสิ ฉันยิงนะ 585 00:34:38,076 --> 00:34:39,452 ‎ไม่เห็นต้องยิงกันเลย ทัค 586 00:34:41,704 --> 00:34:43,706 ‎จะได้เห็นว่าโจรมีจุดจบยังไง 587 00:34:43,790 --> 00:34:47,960 ‎ฉากแบบที่เราทุกคนรู้จัก ‎แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในหนัง 588 00:34:48,586 --> 00:34:52,423 ‎พาร์กส์บอกผมด้วยว่า ‎เขายัดสิ่งต่างๆ ลงในหนังให้มากเท่าที่จะทำได้ 589 00:34:52,507 --> 00:34:57,261 ‎เช่นภาพสวยงามภาพนี้ ‎ที่ยึดแนวหนังคาวบอยให้กับผู้ชมผิวดำ 590 00:34:57,345 --> 00:34:58,805 ‎เพราะเขาไม่รู้เลย 591 00:34:58,888 --> 00:35:01,349 ‎ว่าเขาจะมีโอกาสได้ทำหนังอีกเรื่องหรือไม่ 592 00:35:02,558 --> 00:35:06,062 ‎ปี 1969 พาเราจากความเหนือจริง ‎ไปสู่ความไม่สมจริง 593 00:35:06,145 --> 00:35:08,439 ‎ความบ้าคลั่งเบ่งบานอย่างเต็มที่ 594 00:35:08,523 --> 00:35:14,487 ‎ในหนังตลกปฏิวัติวงการเกี่ยวกับการปฏิวัติ ‎ของนักเขียน-ผู้กำกับ โรเบิร์ต ดาวนีย์ ซีเนียร์ 595 00:35:14,570 --> 00:35:16,906 ‎หนังเสียดสีโฆษณา "พัตนีย์ สโวป" 596 00:35:16,989 --> 00:35:19,242 ‎เครื่องปรับอากาศกินไม่ได้ 597 00:35:20,701 --> 00:35:22,578 ‎ในเรื่องนี้ ผู้ชายผิวดำ พัตนีย์ สโวป 598 00:35:22,662 --> 00:35:25,456 ‎ได้รับตำแหน่งประธานบริษัทโฆษณาอย่างกะทันหัน 599 00:35:25,540 --> 00:35:27,208 ‎คุณจะเป็นประธานที่ยอดเยี่ยม 600 00:35:27,291 --> 00:35:30,461 ‎และเข้ามาพลิกผันวิธีการทำธุรกิจ ‎ของบริษัทในทันที 601 00:35:30,545 --> 00:35:34,132 ‎ผมรู้สึกว่าที่นี่มีพรสวรรค์ ‎ที่ยังไม่ได้ดึงออกมาใช้อีกเยอะ 602 00:35:35,216 --> 00:35:36,050 ‎ผมไม่ได้ทำนะ 603 00:35:36,134 --> 00:35:37,760 ‎แล้วนายทำอะไร วัดไข้เธอหรือไง 604 00:35:38,886 --> 00:35:43,015 ‎หัวหน้า อย่าไล่ผมออกเลย ‎ผมมีเมีย มีลูกสามคน กับลูกม้าเชตแลนด์ 605 00:35:43,099 --> 00:35:47,603 ‎เราสื่อคำพูดด้วยหนังตลก ‎ได้มากกว่าหนังที่จริงจัง 606 00:35:48,146 --> 00:35:51,440 ‎ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่คนดำมีไว้ใช้เอาตัวรอด 607 00:35:51,524 --> 00:35:55,278 ‎เราต้องทำให้คนดูขำโดยสอดแทรกเนื้อหา 608 00:35:55,862 --> 00:35:57,572 ‎ดาวนีย์เห็นช่องว่าง 609 00:35:58,072 --> 00:36:00,867 ‎ที่เราจะได้เล่น ได้เข้าไปเปิดช่อง ได้กัด 610 00:36:02,660 --> 00:36:06,914 ‎แล้วผมก็ไม่อยากใช้คำว่า "อัจฉริยะ" ‎แต่มันเป็นความคิดที่แวบเข้ามา 611 00:36:06,998 --> 00:36:10,960 ‎เพราะไม่พอใจการแสดงของดารานำ ‎นักแสดงอาร์โนลด์ จอห์นสัน 612 00:36:11,043 --> 00:36:15,006 ‎ผู้กำกับดาวนีย์พากย์เสียงตัวเอง ‎ทับเสียงตัวเอกผิวดำลงไป 613 00:36:15,840 --> 00:36:17,925 ‎ความจริงและจิตวิญญาณ 614 00:36:18,009 --> 00:36:20,178 ‎- ทีเอส เบบี๋ ‎- ใช่เลย 615 00:36:20,261 --> 00:36:21,971 ‎แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่ส่งอิทธิพลภายหลัง 616 00:36:22,054 --> 00:36:24,974 ‎กับบทที่ได้เข้าชิงออสการ์ ‎ของลูกชายเขาใน "ทรอปิกธันเดอร์" 617 00:36:25,057 --> 00:36:28,186 ‎เพราะฉันพยายามไต่เต้า แต่มันก็ยาก 618 00:36:28,269 --> 00:36:29,770 ‎- ไม่ นายก็ดูดีนะ ‎- มีเคล็ดลับไหม 619 00:36:29,854 --> 00:36:32,064 ‎(เดธไรดส์อะฮอร์ส) 620 00:36:32,148 --> 00:36:35,902 ‎ปี 1969 คือยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง ‎ของวงการหนังคนดำ 621 00:36:35,985 --> 00:36:38,779 ‎ซึ่งเรื่องราวต่างๆ เริ่มมอง ‎หัวข้อที่โหดร้ายและสมจริงขึ้น 622 00:36:38,863 --> 00:36:40,656 ‎เกี่ยวกับชีวิตคนดำในอดีต 623 00:36:40,740 --> 00:36:44,911 ‎เช่นเดียวกับหนังอเมริกันเรื่องแรกๆ ‎ที่เล่าเรื่องอย่างชัดเจนโหดร้าย 624 00:36:44,994 --> 00:36:46,162 ‎เกี่ยวกับระบบทาส 625 00:36:46,245 --> 00:36:48,414 ‎หนังเรื่อนั้นชื่อว่า "สเลฟส์" 626 00:36:48,497 --> 00:36:50,541 ‎ซึ่งดิออนน์ วอร์วิกทั้งแสดงนำ 627 00:36:50,625 --> 00:36:53,169 ‎และมอบเสียงร้องเพลง ‎เกี่ยวกับความเจ็บปวดอีกแบบหนึ่ง 628 00:36:53,252 --> 00:36:55,046 ‎ที่เราอาจจะคาดหวังจากเธอด้วย 629 00:36:56,088 --> 00:36:59,217 ‎ออสซี่ เดวิสรับบททาส ‎ที่พยายามยึดติดกับเหตุผล 630 00:36:59,300 --> 00:37:00,843 ‎ในระบบที่ไม่มีเหตุผล 631 00:37:00,927 --> 00:37:03,262 ‎พันสองร้อยนับสอง ใครสู้อีกไหม 632 00:37:03,346 --> 00:37:07,391 ‎การปลุกปั่นช้าๆ อย่างสง่างามของเดวิส ‎ไม่ได้ปกปิดความสิ้นหวังของเขา 633 00:37:07,475 --> 00:37:09,644 ‎ที่จริง มันเน้นยำเรื่องนี้ 634 00:37:16,567 --> 00:37:19,612 ‎ความโกลาหลในประวัติศาสตร์ ‎ยังดำเนินต่อไปเมื่อรูเพิร์ต ครอสส์ได้เป็น 635 00:37:19,695 --> 00:37:23,574 ‎นักแสดงผิวดำคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง ‎รางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยม 636 00:37:23,658 --> 00:37:24,867 ‎ใน "เดอะรีเวอร์ส" 637 00:37:29,205 --> 00:37:30,831 ‎คันนี้สตาร์ตยังไงนะ 638 00:37:31,332 --> 00:37:35,378 ‎ความลื่นไหลขำขันของครอสส์ทำให้แมคควีน ‎หลุดพ้นจากตัวละครหลงตัวเองพูดน้อย 639 00:37:35,878 --> 00:37:37,630 ‎เขาให้ความสนใจกับครอสส์ 640 00:37:37,713 --> 00:37:40,925 ‎และทำให้เราได้ให้เกียรติครอสส์ในวิธีเดียวกัน 641 00:37:41,008 --> 00:37:44,470 ‎สิบปีก่อนหน้านี้ ครอสส์นำแสดงใน "ชาโดว์ส" 642 00:37:44,553 --> 00:37:50,851 ‎หนังดราม่าเรื่องชาติพันธุ์ปี 1959 ‎ของจอห์น คาสซาเวทิสที่แน่นอนว่าเป็นหนังอิสระ 643 00:37:50,935 --> 00:37:53,479 ‎ชอบเรื่องกระต่ายกับต้นไม้ไหม 644 00:37:53,562 --> 00:37:54,480 ‎ไม่เห็นเคยได้ยินเลย 645 00:37:55,106 --> 00:37:58,109 ‎เรื่องที่กระต่ายตกจากต้นไม้แล้วบอกว่า 646 00:37:58,192 --> 00:38:00,528 ‎"ให้ตายสิ ต้องเป็นนกถึงจะพรอดรักบนนั้นได้" 647 00:38:01,529 --> 00:38:02,780 ‎ผู้กำกับมาร์ค ไรเดลล์ 648 00:38:02,863 --> 00:38:06,450 ‎ที่รู้จักครอสส์จากแอคเตอร์สสตูดิโอ ‎ดึงเขามาร่วมแสดงในเดอะรีเวอร์ส 649 00:38:06,534 --> 00:38:09,078 ‎รูเพิร์ต ครอสส์สูง 195 เซนติเมตร 650 00:38:09,161 --> 00:38:12,707 ‎ผมรู้ว่าเขาเหมาะกับบทที่แสดงร่วมกับสตีฟ 651 00:38:13,541 --> 00:38:16,168 ‎มันยอดมากที่ได้ขับรถไปบ้านสตีฟ แมคควีน 652 00:38:16,252 --> 00:38:19,255 ‎เพราะที่นั่นมีโรงรถสิบโรงได้ 653 00:38:19,338 --> 00:38:23,259 ‎มีรถทุกแบบ เฟอร์รารี่ แอสตัน มาร์ติน 654 00:38:23,342 --> 00:38:25,386 ‎มอเตอร์ไซค์แข่ง 655 00:38:25,469 --> 00:38:29,765 ‎เป็นบ้านที่ใหญ่มากๆ ‎มีลานหน้าบ้าน มันมโหฬารมากๆ 656 00:38:29,849 --> 00:38:32,184 ‎แล้วรูเพิร์ตก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน 657 00:38:32,268 --> 00:38:35,688 ‎ผมต้องบอกเลย ผมก็ไม่เคยเห็น ‎จนกระทั่งได้เจอสตีฟ 658 00:38:36,272 --> 00:38:38,983 ‎ผมใช้ชีวิตสมถะกว่านั้นหน่อย ‎แต่แน่นอนว่าดีกว่ารูเพิร์ต 659 00:38:39,066 --> 00:38:42,153 ‎ที่ไม่มีเงิน แล้วก็ใช้ชีวิตเหมือนนักแสดงอายุน้อย 660 00:38:42,236 --> 00:38:45,573 ‎เราเดินเข้าไปในบ้าน แล้วรูเพิร์ตก็ได้เจอสตีฟ 661 00:38:45,656 --> 00:38:50,578 ‎สตีฟเงยหน้ามองเจ้ายักษ์ ‎แล้วเราก็นั่งในห้องสมุดกัน 662 00:38:50,661 --> 00:38:53,914 ‎สตีฟเริ่มคุยเรื่องเทควันโด 663 00:38:53,998 --> 00:38:57,126 ‎เขาเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ 664 00:38:57,209 --> 00:39:00,629 ‎เขาสอนท่าต่างๆ ให้รูเพิร์ต ‎แล้วรูเพิร์ตก็บอกว่า 665 00:39:00,713 --> 00:39:04,216 ‎"ไม่ คุณทรงตัวไม่อยู่" ‎รูเพิร์ตนั่งพูดบนเก้าอี้นะ 666 00:39:05,551 --> 00:39:08,429 ‎ผมเห็นสตีฟมองเขา แล้วบอกว่า "อ้อเหรอ" 667 00:39:09,180 --> 00:39:11,515 ‎เขาก็บอก "ใช่ คุณทรงตัวไม่อยู่หรอก 668 00:39:11,599 --> 00:39:15,227 ‎ท่ายืนคุณมันผิด" ‎แล้วสตีฟก็บอกว่า "มาทำให้ดูซิ" 669 00:39:15,311 --> 00:39:19,857 ‎แล้วรูเพิร์ตก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง 670 00:39:19,940 --> 00:39:22,693 ‎ทั้งคู่ยืนเผชิญหน้ากัน แล้วในสองวินาที 671 00:39:22,777 --> 00:39:24,945 ‎สตีฟก็ลอยไปไกล 672 00:39:25,029 --> 00:39:28,574 ‎ไปกองอยู่ใต้โต๊ะบิลเลียดห้องข้างๆ เลย 673 00:39:28,657 --> 00:39:31,369 ‎ผมคิดเลย "หนังเรื่องนี้จบแล้ว 674 00:39:31,452 --> 00:39:33,037 ‎รูเพิร์ตโดนถอดแน่แล้ว" 675 00:39:33,954 --> 00:39:37,083 ‎แต่ความจริงคือสตีฟก็ตื่นเต้น 676 00:39:37,166 --> 00:39:39,543 ‎ที่ผู้ชายคนนี้ไม่กลัวเขาเลย 677 00:39:39,627 --> 00:39:44,382 ‎ในจำนวนศิลปินหัวก้าวหน้า ‎ผู้อยากรู้อยากเห็นในวงการหนังแอลเอ 678 00:39:44,465 --> 00:39:48,344 ‎ซึ่งมีทั้งแจ็ค นิโคลสัน ‎และนักเขียนบทโรเบิร์ต ทาวน์ 679 00:39:48,427 --> 00:39:52,431 ‎รูเพิร์ต ครอสส์เป็นบุคคลที่มีเสน่ห์ ‎ได้รับการชื่นชมจากพรสวรรค์ 680 00:39:52,515 --> 00:39:54,433 ‎เมื่อจิม บราวน์กับรูเพิร์ต ครอสส์ 681 00:39:54,517 --> 00:39:57,103 ‎นำเสนอความเป็นชายคนดำรูปแบบใหม่ 682 00:39:57,686 --> 00:40:00,940 ‎บราวน์เป็นคนที่สุภาพและใจร้อนไปพร้อมกัน 683 00:40:01,023 --> 00:40:02,900 ‎ส่วนครอสส์ก็ยิ้มอวดเก่ง 684 00:40:03,401 --> 00:40:06,987 ‎มูฮัมหมัด อาลี สำหรับผม ‎เขาเป็นคนดังผิวดำคนที่สอง 685 00:40:07,071 --> 00:40:10,366 ‎ที่เป็นที่นิยมทั้งในหมู่คนดำและคนขาว 686 00:40:10,449 --> 00:40:13,619 ‎เขาแสดงออกถึงความสุภาพ ‎และความอวดเก่งในแบบของตัวเอง 687 00:40:13,702 --> 00:40:16,705 ‎ในสารคดีปี 1970 ‎"เอเคเอ. แคสเซียส เคลย์" 688 00:40:16,789 --> 00:40:19,125 ‎เขาจ้างให้ทนายช่วยไม่ให้เขาติดคุก 689 00:40:19,208 --> 00:40:21,168 ‎จ่ายค่าเลี้ยงดูให้ภรรยาคนแรก 690 00:40:21,877 --> 00:40:24,088 ‎เลี้ยงดูภรรยาคนปัจจุบันกับลูก 691 00:40:25,047 --> 00:40:29,468 ‎สารคดีที่ไม่ธรรมดานี้ได้ถ่ายทอดอาลี ‎ในระหว่างช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของตัวตนเดิม 692 00:40:29,552 --> 00:40:30,970 ‎กับตัวตนที่เขาจะกลายเป็น 693 00:40:31,053 --> 00:40:33,764 ‎มันสำคัญเพราะแสดงถึงการควบคุมตัวเอง 694 00:40:33,848 --> 00:40:35,850 ‎ที่จะเป็นแก่นสำคัญของหนังคนดำ 695 00:40:36,517 --> 00:40:40,312 ‎และคนดำลักษณะนั้นคนแรก ‎ที่แจ้งเกิดได้แบบเดียวกับอาลี 696 00:40:40,396 --> 00:40:42,440 ‎ไม่พยายามหลบซ่อนจากสายตาสื่อกระแสหลัก 697 00:40:42,523 --> 00:40:45,901 ‎ก็คือแจ็ค จอห์นสัน ‎ซึ่งความลำบากของเขาถ่ายทอดไว้ในละคร 698 00:40:45,985 --> 00:40:48,237 ‎และบัดนี้กลายเป็นหนังเรื่อง ‎"เดอะเกรตไวต์โฮป" 699 00:40:48,320 --> 00:40:51,157 ‎ที่เจมส์ เอิร์ล โจนส์จะได้เป็น ‎ชายผิวดำคนที่สอง 700 00:40:51,240 --> 00:40:53,451 ‎ที่ได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ‎นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม 701 00:40:55,911 --> 00:41:00,124 ‎(เดอะเกรตไวต์โฮป (1970) ‎ผู้กำกับ มาร์ติน ริตต์) 702 00:41:04,545 --> 00:41:08,924 ‎เจมส์ เอิร์ล โจนส์สร้างผลงาน ‎ด้วยบทหนุ่มเซ็กซี่หุ่นล่ำ 703 00:41:09,008 --> 00:41:11,677 ‎เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งของอาชีพในจอของเขา 704 00:41:11,760 --> 00:41:14,054 ‎- ไม่ๆ ฉัน… ‎- ใส่เสื้อผ้าซะ คุณแบคแมน 705 00:41:14,138 --> 00:41:15,598 ‎- เราจะพาคุณเข้าเมือง ‎- เจค 706 00:41:15,681 --> 00:41:17,308 ‎ไม่ต้องตกใจไป แต่งตัวเถอะ 707 00:41:17,892 --> 00:41:21,187 ‎เซ็กซ์ข้ามชาติพันธุ์ ‎และความอึดอัดจากเรื่องนั้น 708 00:41:21,270 --> 00:41:24,356 ‎ก่อกระแสความกังวลในวงการหนังปี 1970 709 00:41:24,440 --> 00:41:26,650 ‎"เดอะเกรตไวต์โฮป" ย้ำเตือนผู้ชมว่า 710 00:41:26,734 --> 00:41:29,195 ‎ความสัมพันธ์ในหนังแบบนั้น ‎มีพื้นฐานจากความจริง 711 00:41:29,278 --> 00:41:33,032 ‎การเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้นักสร้างหนัง ‎ผู้เป็นที่เคารพอย่างน้อยหนึ่งคนไปไม่เป็น 712 00:41:33,115 --> 00:41:36,785 ‎ผู้กำกับวิลเลียม ไวเลอร์ ซึ่งฝีมือของเขา ‎ในการถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 713 00:41:36,869 --> 00:41:40,206 ‎เห็นได้จากในหนังหลายเรื่อง ‎เช่น "เดอะเบสต์เยียร์สออฟอาวร์ไลฟ์ส" 714 00:41:41,165 --> 00:41:46,337 ‎ไวเลอร์ได้สร้างแบบแผนด้วยหนังต้นแบบ ‎เรื่องโรคจิตแอบตาม "เดอะคอลเลคเตอร์" 715 00:41:46,420 --> 00:41:49,757 ‎หนังเรื่องสุดท้ายของเขาคือ ‎"เดอะลิเบอเรชันออฟ แอล. บี. โจนส์" 716 00:41:49,840 --> 00:41:54,220 ‎แล้วพลังในการถ่ายทอดดราม่า ‎ที่ทันสมัยนาทีต่อนาทีของเขาก็หายไป 717 00:41:54,303 --> 00:41:58,098 ‎กับหนังที่เวอร์เกินจริง ‎กับการใช้ผู้หญิงผิวดำเป็นวัตถุทางเพศ 718 00:42:02,478 --> 00:42:05,898 ‎- อยากไปหาทนายเหรอ ‎- ที่รัก คุณทำแขนฉันเจ็บนะ 719 00:42:05,981 --> 00:42:09,276 ‎อยากไปหาทนายเหรอ ‎คิดว่าจะไม่มีใครเตือนคนขาวหรือไง 720 00:42:10,152 --> 00:42:13,906 ‎ฉันเคยเห็นคนโง่นะ แต่เธอนี่โง่ได้โล่เลย 721 00:42:14,782 --> 00:42:18,035 ‎หลังจากกำกับสารคดี "คิง: อะฟิล์มด์เรคอร์ด" 722 00:42:18,118 --> 00:42:20,829 ‎ซิดนีย์ ลูเม็ตก็หันไปทำสิ่งที่ฟังดูยั่วยวน 723 00:42:20,913 --> 00:42:24,416 ‎สคริปต์ของกอร์ วิดัล ‎ที่ดัดแปลงมาจากละครของเทนเนสซี วิลเลียมส์ 724 00:42:24,500 --> 00:42:26,377 ‎เกี่ยวกับชาติพันธุ์และเซ็กซ์ 725 00:42:26,460 --> 00:42:29,547 ‎กับเจมส์ โคเบิร์น, ‎โรเบิร์ต ฮุกส์, และลินน์ เรดเกรฟ 726 00:42:30,047 --> 00:42:33,509 ‎ผลลัพธ์จากการพยายามปั่นกระแส ‎ก็คือ "ลาสต์ออฟเดอะโมบิลฮอตช็อต" 727 00:42:33,592 --> 00:42:35,010 ‎ที่ได้จัดเรตเป็นเรตเอ็กซ์ 728 00:42:35,094 --> 00:42:39,640 ‎เพราะมีฉากที่ดูเหมือนชายคนดำ ‎มีเซ็กซ์กับหญิงคนขาว 729 00:42:41,183 --> 00:42:42,643 ‎ฝาตู้อบพังแล้ว 730 00:42:42,726 --> 00:42:46,105 ‎หลังคาก็รั่ว ห้องน้ำก็น้ำไหลทั้งวัน 731 00:42:46,188 --> 00:42:48,440 ‎แถมคุณก็หล่อเกินจะเป็นเจ้าของบ้าน 732 00:42:48,524 --> 00:42:53,529 ‎ทักษะการหว่านเสน่ห์ของไดอาน่า แซนดส์ ‎เห็นชัดใน "เดอะแลนด์ลอร์ด" ปี 1970 733 00:42:53,612 --> 00:42:57,950 ‎และเรื่องราวแรกๆ ของความโกลาหลนี้ ‎ที่เกิดจากคนขาวที่ถืออภิสิทธิ์เกินตัว 734 00:42:58,033 --> 00:43:01,579 ‎ที่เข้ามาพัฒนาพื้นที่ ‎ถนนบรุกลินย่านคนดำก็ได้สานต่อกระแส 735 00:43:01,662 --> 00:43:05,374 ‎ที่นักเขียนผิวดำ บิล กันน์สร้างหนังจากนิยาย 736 00:43:05,457 --> 00:43:07,751 ‎โดยนักเขียนผิวดำ คริสติน ฮันเตอร์ 737 00:43:09,336 --> 00:43:13,090 ‎ท่าทางติดดิน เป็นธรรมชาติ ‎ของนักแสดงรายนี้เกิดมาเพื่อขึ้นจอ 738 00:43:13,173 --> 00:43:16,427 ‎แซนดส์สามารถถ่ายทอด ‎ด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ และรอยยิ้ม 739 00:43:16,510 --> 00:43:19,305 ‎ได้พอๆ กับที่นักแสดงส่วนใหญ่ทำได้ ‎ด้วยบทยาวหลายหน้า 740 00:43:23,559 --> 00:43:28,689 ‎ไดอาน่า แซนดส์คือคุณป้าที่สมบูรณ์แบบ ‎เพราะเธอรู้วิธีเป็นขาใหญ่ 741 00:43:28,772 --> 00:43:31,567 ‎เธอเป็นคนที่ใจดีมาก 742 00:43:31,650 --> 00:43:34,194 ‎เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข 743 00:43:35,904 --> 00:43:40,659 ‎ปี 1970 นิยายของเขสเตอร์ ไฮมส์ ‎ในที่สุดก็ได้เป็นหนังขึ้นจอที่สมเหตุสมผล 744 00:43:40,743 --> 00:43:42,911 ‎ในผลงานกำกับเรื่องแรก 745 00:43:42,995 --> 00:43:47,207 ‎ออสซี่ เดวิสได้พลิกผันความเชื่อผิดๆ ‎ที่มีมายาวนานเกี่ยวกับสาวเซ็กซี่ผิวดำ 746 00:43:47,916 --> 00:43:50,252 ‎ด้วยการใช้ฉากจากนิยายของไฮมส์ 747 00:43:50,878 --> 00:43:53,797 ‎ในหนังสือของเขา ไฮมส์เพิ่มความขมขื่นลงไป 748 00:43:53,881 --> 00:43:57,426 ‎ในเรื่องราวกลับตาลปัตรเรื่องนี้ ‎เกี่ยวกับผู้หญิงผิวดำล่อลวงตำรวจผิวขาว 749 00:43:57,509 --> 00:43:59,428 ‎ให้ต้องอับอายเรื่องเซ็กซ์ 750 00:43:59,511 --> 00:44:00,804 ‎เถอะนะ ที่รัก 751 00:44:03,098 --> 00:44:04,141 ‎ได้โปรด 752 00:44:09,605 --> 00:44:11,732 ‎การดัดแปลงเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ ‎ได้เพิ่มความสุขสม 753 00:44:11,815 --> 00:44:14,360 ‎ให้กับคนดูที่เบื่อการด้อยค่าคนดำ 754 00:44:14,443 --> 00:44:18,530 ‎และสนุกกับการพลิกบทของเดวิส ‎ภายใต้หลังคาโรงละคร 755 00:44:19,239 --> 00:44:23,285 ‎หยุดนะ นี่ตำรวจ 756 00:44:23,869 --> 00:44:28,290 ‎หนังตำรวจฮาร์เล็มจอมโหด ‎ตามตำราเก่าของเดวิส 757 00:44:28,374 --> 00:44:32,961 ‎คือเรื่องราวที่ขี้เล่นและใช้คนดำเป็นศูนย์กลาง ‎ที่ได้ก่อให้เกิดแนวคิดไฮสไตล์ 758 00:44:33,045 --> 00:44:36,715 ‎เพลงประกอบโดยผู้แต่งเพลงประกอบ "แฮร์" ‎กอลต์ แมคเดอร์มอตในฉากแอ็กชันคนดำ 759 00:44:37,383 --> 00:44:38,884 ‎ตำรวจสายสืบที่แต่งตัวหรูหรา 760 00:44:38,967 --> 00:44:43,180 ‎รับบทโดยก็อดฟรีย์ เคมบริดจ์ผู้หน้าบึ้ง ‎กับเรย์มอนด์ เซนต์ฌากส์ผู้โมโหง่าย 761 00:44:43,263 --> 00:44:47,142 ‎คือส่วนหนึ่งของกลุ่มนักแสดงละครเวทีผิวดำ ‎อันกระตือรือร้นที่เดวิสได้รวบรวม 762 00:44:47,226 --> 00:44:49,436 ‎- อะไรน่ะ ‎- ดูนี่สิ 763 00:44:50,062 --> 00:44:52,981 ‎คุณพระช่วย เสื้อสีฟ้าที่เขาใส่ 764 00:44:53,065 --> 00:44:54,900 ‎กับสูทที่เขาใส่ 765 00:44:54,983 --> 00:44:59,405 ‎แล้วเขาก็เล็มหนวด เขาเนี้ยบสุดๆ ไปเลย 766 00:44:59,488 --> 00:45:01,824 ‎นายเห็นไอ้ตัวตลกขาวนั่น ระบุตัวมันได้ไหม 767 00:45:03,367 --> 00:45:05,911 ‎ไม่รู้สิ ผู้หมวด อาจจะได้ อาจจะไม่ได้ 768 00:45:07,663 --> 00:45:09,373 ‎คนพวกนั้นหน้าเหมือนกันหมดสำหรับผม 769 00:45:09,456 --> 00:45:13,919 ‎ในฐานะที่เขาก็เป็นนักแสดงละครเวที ‎เดวิสรู้ว่าผู้ชมจะตอบสนอง 770 00:45:14,002 --> 00:45:17,548 ‎ต่อความอบอุ่นที่นักแสดงผิวดำรู้สึกได้ ‎จากความยิ่งใหญ่ของพวกพ้อง 771 00:45:17,631 --> 00:45:21,176 ‎นี่คือแง่มุมที่เขาอาจจะอยากให้ ‎ผู้ชมภาพยนตร์ได้สัมผัส 772 00:45:22,386 --> 00:45:25,556 ‎มีจินตนาการอยู่เยอะมาก ‎ใน "คอตตอนคัมส์ทูฮาร์เล็ม" 773 00:45:28,016 --> 00:45:29,184 ‎มันเป็นเทพนิยาย 774 00:45:29,268 --> 00:45:31,061 ‎แต่ข้อดีของมันก็คือ 775 00:45:31,145 --> 00:45:33,355 ‎ออสซี่ เดวิสใช้ฮาร์เล็ม 776 00:45:34,231 --> 00:45:37,067 ‎ในแบบที่ผมคิดว่าไม่เคยเห็นมาก่อน 777 00:45:37,985 --> 00:45:39,445 ‎มันเป็นต้นตำรับสุดๆ 778 00:45:39,528 --> 00:45:41,155 ‎มันเป็นตัวของตัวเองสุดๆ 779 00:45:41,238 --> 00:45:45,784 ‎เขาฉายจินตนาการให้ดู ‎ท่ามกลางความเป็นจริงของฮาร์เล็ม 780 00:45:46,744 --> 00:45:49,580 ‎เดวิสนำวลีจากนักปฏิวัติผิวดำ 781 00:45:49,663 --> 00:45:51,707 ‎มาใช้เป็นเพลงโต้ตอบ 782 00:45:52,291 --> 00:45:56,545 ‎ดำพอสำหรับฉัน 783 00:45:56,628 --> 00:45:59,757 ‎ผมตั้งตารอวันที่ ‎ความภาคภูมิใจของคนดำจะเป็นที่เฉลิมฉลอง 784 00:45:59,840 --> 00:46:03,510 ‎จากสังคมโดยรวม แทนที่จะถูกมอง ‎เป็นการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง 785 00:46:04,011 --> 00:46:07,014 ‎ซึ่งจะว่าไปมันก็ใช่ ‎แต่เพลงนี้มอบจังหวะไพเราะให้มัน 786 00:46:07,681 --> 00:46:12,186 ‎ดำพอสำหรับฉัน 787 00:46:12,269 --> 00:46:14,688 ‎นั่นคือประโยคเดียวที่เล่นซ้ำๆ ตลอดเรื่อง 788 00:46:14,772 --> 00:46:16,899 ‎ซึ่งมันวิเศษเลย 789 00:46:16,982 --> 00:46:18,609 ‎ผมดำพอสำหรับคุณไหม 790 00:46:19,443 --> 00:46:22,780 ‎คาลวิน ล็อกฮาร์ตกับวิธีใช้วลีนี้เวลาเขาพูด 791 00:46:22,863 --> 00:46:26,116 ‎แล้วก็อดฟรีย์ เคมบริดต์ ‎ก็มีวิธีใช้วลีนี้ของตัวเอง 792 00:46:26,200 --> 00:46:28,160 ‎ดำพอสำหรับคุณไหมล่ะ 793 00:46:28,243 --> 00:46:30,996 ‎มันเปลี่ยน มันแปรสภาพ มันมีหลายความหมาย 794 00:46:31,079 --> 00:46:32,456 ‎ดำพอสำหรับนายไหม 795 00:46:33,540 --> 00:46:35,209 ‎ไม่พอ แต่เดี๋ยวก็พอ 796 00:46:36,752 --> 00:46:38,754 ‎ทุกวันนี้มันยังเข้าถึงได้ 797 00:46:39,254 --> 00:46:40,714 ‎แม้เดวิสจะเล็งเห็นความจำเป็น 798 00:46:40,798 --> 00:46:43,091 ‎ที่ต้องทำให้ผู้แต่งเพลงประกอบ ‎เป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่อง 799 00:46:43,175 --> 00:46:45,427 ‎ด้วยการให้แมคเดอร์มอตมีส่วน ‎กับ "คอตตอนคัมส์ทูฮาร์เล็ม" 800 00:46:45,511 --> 00:46:48,680 ‎แต่ยังต้องใช้เมลวิน แวน พีเบิลส์ ‎เพื่อให้ดนตรีสื่อสาร 801 00:46:48,764 --> 00:46:51,391 ‎ธรรมชาติที่น่าตกใจของประสบการณ์คนดำได้ 802 00:46:51,975 --> 00:46:54,436 ‎หนังปี 1970 ของเขา ‎"วอเตอร์เมลอนแมน" เป็นหนังเสียดสี 803 00:46:54,520 --> 00:46:59,650 ‎ซึ่งชายคนขาวเสรีนิยม ‎ตื่นมาพบว่าตัวเองกลายเป็นคนดำ 804 00:46:59,733 --> 00:47:03,237 ‎แสดงให้เห็นถึงความกลัวความเป็นคนดำ ‎อย่างลึกซึ้งของเหล่าคนขาว 805 00:47:03,320 --> 00:47:07,074 ‎ก็อดฟรีย์ เคมบริดจ์เปลี่ยนโทน ‎จากตรงไปตรงมาและตลก 806 00:47:08,784 --> 00:47:11,870 ‎เจฟฟ์ มีนิโกรอยู่ในห้องน้ำ 807 00:47:11,954 --> 00:47:15,999 ‎ไปเป็นการแสดงตัวละคร ‎ที่ผ่านการสังเกตอย่างรอบคอบและลึกซึ้ง 808 00:47:16,083 --> 00:47:18,126 ‎ที่เปลี่ยนแปลงไปจากการได้รับความเห็นใจ 809 00:47:18,210 --> 00:47:21,797 ‎วิวัฒนาการที่แวน พีเบิลส์อยากให้ผู้ชมได้สัมผัส 810 00:47:21,880 --> 00:47:26,093 ‎ตอนเราแต่งงานกัน ‎ฉันไม่รู้เลยว่าจะเป็นความรักข้ามชาติพันธุ์ 811 00:47:26,176 --> 00:47:29,096 ‎- คุณไม่เคยบอกฉันเลย ‎- ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกัน 812 00:47:29,179 --> 00:47:32,057 ‎แวน พีเบิลส์ผสมผสาน ‎พล็อตเรื่องที่เบาบางกับลูกเล่นหลอกคนดู 813 00:47:32,140 --> 00:47:36,228 ‎ด้วยการผสมแนวคิดสเกตช์คอเมดี้ ‎ที่ถ่ายทอดในแบบหนังใหญ่ได้อย่างดีเยี่ยม 814 00:47:36,311 --> 00:47:37,980 ‎จนสร้างเป็นผลงานภาพยนตร์อันละเอียดอ่อน 815 00:47:38,063 --> 00:47:41,859 ‎เกี่ยวกับอำนาจของการเริ่มตระหนักรู้ ‎และความรับผิดชอบต่อคนดำ 816 00:47:41,942 --> 00:47:42,901 ‎คิดจะไปไหนน่ะ 817 00:47:43,402 --> 00:47:46,238 ‎- ผมจะไปกินมื้อเที่ยงกับคลาร์ก ดันวูดดี้ ‎- ในนี้ไม่ได้ 818 00:47:46,321 --> 00:47:50,409 ‎ในโลกยุคโรคระบาด "วอเตอร์เมลอนแมน" ‎ได้ความอมตะขึ้นมาใหม่ 819 00:47:50,492 --> 00:47:54,580 ‎เพราะบัดนี้ คนขาวเข้าใจ ‎ถึงแนวคิดของชีวิตที่เสี่ยงจะถึงจุดจบ 820 00:47:54,663 --> 00:47:56,623 ‎ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวเท้าออกประตูหน้าบ้าน 821 00:47:56,707 --> 00:47:59,710 ‎อย่างที่ชาวแอฟริกันอเมริกันประสบมาตลอด 822 00:48:00,294 --> 00:48:03,213 ‎เช่นเดียวกับกอร์ดอน พาร์กส์ ‎ใน "เดอะเลิร์นนิ่งทรี" เมื่อปีก่อน 823 00:48:03,297 --> 00:48:06,758 ‎แวน พีเบิลส์ก็แต่งเพลงประกอบ ‎ให้ผลงานกำกับระดับสตูดิโอเรื่องแรกของเขา 824 00:48:06,842 --> 00:48:10,762 ‎ตอนพ่อผมสร้าง "วอเตอร์เมลอนแมน" ‎พวกเขาพยายามจะตัดสินใจ 825 00:48:10,846 --> 00:48:13,307 ‎ว่าจะให้ "วอเตอร์เมลอนแมน" ‎ฉายในโรงหรือเปล่า 826 00:48:13,390 --> 00:48:17,102 ‎พวกเขาเปิดรอบปฐมทัศน์เล็กๆ ‎แล้วผู้ใหญ่ในวงการก็มากันครบ 827 00:48:17,185 --> 00:48:18,020 ‎ทุกคนเป็นคนขาว 828 00:48:18,937 --> 00:48:22,316 ‎มีคนดำอยู่คนหนึ่ง ชื่อวิลลี่ ‎เขากวาดพื้นห้องฉายหนัง 829 00:48:22,816 --> 00:48:25,193 ‎พ่อผมคุยกับวิลลี่ ให้เงินเขานิดหน่อย 830 00:48:25,277 --> 00:48:27,404 ‎แล้วบอกว่า ‎"ตอนที่ฉายหนังของผม คุณต้องชอบนะ" 831 00:48:28,030 --> 00:48:31,533 ‎วิลลี่ก็เลยไปเข้าชมหนัง ‎โรงฉายเรื่อง "วอเตอร์เมลอนแมน" 832 00:48:31,617 --> 00:48:34,453 ‎วิลลี่บอกเลย "ดูนั่นสิ 833 00:48:34,536 --> 00:48:35,746 ‎สนุกจริงๆ เลยนะ" 834 00:48:36,830 --> 00:48:38,916 ‎แล้วทุกคนก็มองเขา "แหม วิลลี่ชอบเรื่องนี้ด้วย" 835 00:48:39,541 --> 00:48:43,003 ‎วิลลี่ก็บอก "แน่นอนครับ เจ้านาย ‎หนังดีจริงๆ ดูนั่นสิ" 836 00:48:43,086 --> 00:48:44,588 ‎"วิลลี่ นี่มันตลกสำหรับคุณเหรอ" 837 00:48:44,671 --> 00:48:47,424 ‎"ใช่ครับ ผมรอไปดูไม่ไหวแล้ว ‎มันจะฉายโรงจริงเมื่อไหร่" 838 00:48:47,925 --> 00:48:51,345 ‎แล้วหนังก็ได้ฉายโรง ‎นี่คือตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายคนเดียว 839 00:48:51,428 --> 00:48:54,598 ‎พ่อผมเล่นยิวยิตสูกับเชื้อชาติ ‎แล้วก็พลิกเกมใส่พวกคนขาว 840 00:48:57,893 --> 00:49:02,105 ‎กอร์ดอน พาร์กส์ได้สร้าง ‎หนังระดับสตูดิโอเรื่องที่สองเมื่อปี 1971 841 00:49:02,189 --> 00:49:04,858 ‎โดยผสมผสานดนตรีกับภาพยนตร์อย่างเต็มรูปแบบ 842 00:49:04,942 --> 00:49:09,696 ‎เป็นการกล้าแหวกแนวจากเพลงประกอบสตูดิโอ ‎ที่ได้อิทธิพลจากยุโรปตามสูตรคลาสสิค 843 00:49:09,780 --> 00:49:13,533 ‎ด้วยหนังเรื่องนี้ พาร์กส์ได้ทำตามแผน ‎ที่จะดึงไอแซก เฮย์สมาร่วมงานด้วย 844 00:49:14,534 --> 00:49:18,538 ‎(ชาฟต์) 845 00:49:30,676 --> 00:49:34,471 ‎"ชาฟต์" ไม่ใช่แค่หนังเปิดตัว ‎มันเป็นการประกาศ 846 00:49:34,554 --> 00:49:37,057 ‎ด้วยวิธีเดียวกับที่หนังอย่าง ‎"อีซี่ไรเดอร์" แสดงออกชัดเจนว่า 847 00:49:37,641 --> 00:49:38,684 ‎"นี่คือยุค 1960" 848 00:49:38,767 --> 00:49:42,688 ‎"ชาฟต์" ก็วางรากฐานด้วยความข่มขวัญ ‎และความอวดเก่งแบบคนเมืองที่แสดงออกว่า 849 00:49:42,771 --> 00:49:44,690 ‎"นี่คือยุค 1970" 850 00:49:44,773 --> 00:49:47,818 ‎ซึ่งนักสืบเอกชนไม่ต้องแต่งตัวมอมแมม 851 00:49:47,901 --> 00:49:48,902 ‎หรือซ่อนจากสายตาใคร 852 00:49:49,569 --> 00:49:53,115 ‎ความใหม่และความกล้าเล่น ‎ของกล้องที่ตามถ่ายภาพคนดำ 853 00:49:53,198 --> 00:49:55,117 ‎ในเสื้อโค้ตหนังไปทั่วแมนแฮตทัน 854 00:49:55,742 --> 00:49:57,995 ‎นักสืบเอกชน ที่แต่งตัวเหมือน 855 00:49:58,078 --> 00:50:01,081 ‎นักปฏิวัติผสมกับผู้กำกับ กอร์ดอน พาร์กส์ 856 00:50:01,164 --> 00:50:04,418 ‎ขณะที่เสียงกลองไฮแฮตกระตุ้นให้ผู้ชมตื่นเต้น 857 00:50:04,501 --> 00:50:06,712 ‎กล้องไม่ได้แอบถ่ายพระเอก 858 00:50:07,254 --> 00:50:08,296 ‎แต่ล็อกเป้ามาที่เขา 859 00:50:09,756 --> 00:50:12,759 ‎การผสมผสานนี้ ‎เปลี่ยนแนวทางของวงการหนังไปตลอดกาล 860 00:50:12,843 --> 00:50:14,845 ‎ตั้งแต่การเป็นหนังจากสตูดิโอ 861 00:50:14,928 --> 00:50:18,348 ‎ที่มีชื่อเสียงยาวนาน ‎ว่าสร้างผลงานเกี่ยวกับอเมริกาในอุดมคติ 862 00:50:18,432 --> 00:50:22,436 ‎ที่วางคนผมตรง ตาสีฟ้าเป็นมาตรฐานความงาม 863 00:50:23,145 --> 00:50:26,273 ‎ชาฟต์ "พ่อยอดชายของหญิงสาวทุกคน" ‎ไม่มีใครชมคนดำแบบนั้นหรอก 864 00:50:29,526 --> 00:50:30,444 ‎คุณไม่เป็นไรนะ 865 00:50:31,862 --> 00:50:33,280 ‎ที่รัก คุณไม่เป็นไรใช่ไหม 866 00:50:34,948 --> 00:50:36,491 ‎ผมเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นเครื่องจักร 867 00:50:37,826 --> 00:50:38,952 ‎ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย 868 00:50:44,124 --> 00:50:47,878 ‎(ภาพยนตร์เรื่องนี้อุทิศให้ ‎ชายหญิงผิวดำที่เหลือทนกับชนชั้นปกครอง) 869 00:50:47,919 --> 00:50:51,715 ‎ปี 1971 แวน พีเบิลส์เลือกสร้างหนัง 870 00:50:51,798 --> 00:50:55,761 ‎เกี่ยวกับความน่ากลัวที่ไม่รู้จบ ‎ที่คนดำชาวอเมริกันต้องเผชิญ 871 00:50:55,844 --> 00:50:57,929 ‎"สวีต สวีตแบ็กส์แบดแอสซอง" 872 00:50:58,430 --> 00:51:01,433 ‎แค่ชื่อเรื่องก็ทำให้หนังเรื่องนี้ ‎เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติ 873 00:51:01,516 --> 00:51:03,226 ‎ที่คงไม่ได้ออกฉายทีวี 874 00:51:03,727 --> 00:51:07,314 ‎ในสมัยนั้น สถานีโทรทัศน์ ‎ไม่มีทางฉายหนังแบบนั้น 875 00:51:07,397 --> 00:51:10,484 ‎หรือหนังจุดชนวนปลุกปั่นที่มาพร้อมเรื่องนี้ 876 00:51:12,360 --> 00:51:13,195 ‎นี่มันอะไรกัน 877 00:51:19,326 --> 00:51:22,079 ‎ในยุคก่อนที่หนังโป๊จะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ 878 00:51:22,162 --> 00:51:25,040 ‎ในยุคที่เรื่องเซ็กซ์ของคนดำยังคงเป็นมุกเด็ด 879 00:51:25,123 --> 00:51:28,835 ‎"สวีตแบ็ก" แสดงความกล้า ‎ด้วยการเปลี่ยนเซ็กซ์ของคนดำเป็นการแสดงโชว์ 880 00:51:28,919 --> 00:51:31,338 ‎โดยไม่ยอมตัดภาพหันกล้องไปทางอื่นเลย 881 00:51:31,421 --> 00:51:33,965 ‎นี่คือผลงานสร้างสรรค์ ‎อย่างบรรจงของแวน พีเบิลส์ 882 00:51:34,049 --> 00:51:38,428 ‎เครื่องมือที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจ ‎ว่าการถูกมองเป็นวัตถุมันเป็นอย่างไร 883 00:51:42,682 --> 00:51:46,686 ‎การใช้คำว่า "แบดแอส" ในชื่อเรื่อง ‎เป็นการกระทำที่เท่มากๆ 884 00:51:46,770 --> 00:51:49,356 ‎ซึ่งแทบจะรับประกันว่า ‎หนังเรื่องนี้จะถูกจัดเป็นเรตเอ็กซ์ 885 00:51:49,439 --> 00:51:51,608 ‎ซึ่ง "สวีตแบ็ก" ก็ได้เรตนั้นในท้ายที่สุด 886 00:51:51,691 --> 00:51:54,820 ‎เมลวิน แวน พีเบิลส์ใช้ข้อดี ‎ของการฉวยผลประโยชน์ 887 00:51:54,903 --> 00:51:58,198 ‎กับลัทธิเสรีนิยมใหม่ในวัฒนธรรมภาพยนตร์ ‎ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง 888 00:51:58,281 --> 00:52:01,535 ‎เขาชอบความกล้าบ้าบิ่นของการเป็นชายผิวดำ 889 00:52:01,618 --> 00:52:04,371 ‎ที่ไว้หนวดเครา สูบซิการ์ 890 00:52:04,454 --> 00:52:05,997 ‎เป็นการแสดงออกในวัฒนธรรมกระแสนิยม 891 00:52:06,081 --> 00:52:10,544 ‎ที่อมตะไม่แพ้รอยยิ้มของเอลวิส เพรสลีย์ ‎และเล็บมือของเมแกน เดอะสตัลเลียน 892 00:52:10,627 --> 00:52:14,214 ‎"สวีตแบ็ก" เกิดขึ้นในยุคที่ ‎เรตเอ็กซ์เพิ่งจะถูกคิดค้นขึ้น 893 00:52:14,297 --> 00:52:17,259 ‎และหนังโป๊ก็แพร่จากโรงหนังเถื่อนในเมือง 894 00:52:17,342 --> 00:52:18,510 ‎ออกสู่ชานเมือง 895 00:52:18,593 --> 00:52:21,388 ‎"มิดไนต์คาวบอย" ‎กลายเป็นหนังเรตเอ็กซ์เรื่องแรก 896 00:52:21,471 --> 00:52:23,265 ‎ที่ได้รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 897 00:52:23,348 --> 00:52:24,182 ‎และเรื่องเดียว 898 00:52:24,766 --> 00:52:27,727 ‎สแตนลีย์ คิวบริคสร้าง ‎"คล็อกเวิร์กออเรนจ์" และได้รับเรตเอ็กซ์ 899 00:52:28,979 --> 00:52:31,982 ‎ส่วนมาร์ลอน แบรนโด‎้ ‎กับผู้กำกับเบอร์นาโด้ เบอร์โตลุชชี่ 900 00:52:32,065 --> 00:52:35,819 ‎ก็ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ ‎จากหนังเรตเอ็กซ์ "ลาสต์แทงโก้อินปารีส" 901 00:52:36,653 --> 00:52:41,491 ‎แล้วก็ยังมีผลงานของคนดำ ‎กับหนังวิจารณ์สังคมเรตเอ็กซ์ "ไลลาห์" 902 00:52:41,575 --> 00:52:44,202 ‎พร้อมเพลงประกอบจากตำนานฟังก์ ‎เบอร์นาร์ด เพอร์ดี้ 903 00:52:44,286 --> 00:52:48,123 ‎ถึงแม้ว่าสมาคมภาพยนตร์ ‎จะเสนอเรตจีใหหนังเรื่องนี้ 904 00:52:48,206 --> 00:52:54,212 ‎พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสิน ‎ชะตาของคนดำว่าเป็นเรตจีหรือเอ็กซ์ 905 00:52:56,006 --> 00:53:00,010 ‎แต่แวน พีเบิลส์ก็สร้างกระแสโดยไม่ตั้งใจ ‎ด้วยการปล้นเรตเอ็กซ์ 906 00:53:00,093 --> 00:53:02,679 ‎มีข่าวลือว่าเขาจัดหนังเป็นเรตเอ็กซ์ด้วยตัวเอง 907 00:53:03,180 --> 00:53:06,766 ‎เพราะนั่นคือตัวอักษรเดียว ‎ที่คณะกรรมการจัดเรตติ้งไม่ได้จดลิขสิทธิ์ 908 00:53:06,850 --> 00:53:10,145 ‎ซึ่งทำให้ทุกคนรู้ว่า ‎พวกเขาสามารถใช้ตัวเอ็กซ์ได้ตามใจ 909 00:53:10,228 --> 00:53:14,524 ‎แล้วโลกใหม่ที่กล้าเล่น ‎ของดับเบิลเอ็กซ์และทริปเปิลเอ็กซ์ก็เกิดขึ้น 910 00:53:14,608 --> 00:53:18,695 ‎ยังไงซะ คุณก็ไม่เคยได้ยิน ‎เรตดับเบิลอาร์ หรือทริปเปิลพีจี-13 911 00:53:19,779 --> 00:53:23,033 ‎เช่นเดียวกับ "วอเตอร์เมลอนแมน" ‎"สวีตแบ็ก" ก็เปิดฉากด้วยฉากวิ่ง 912 00:53:23,116 --> 00:53:25,076 ‎แต่ในกรณีนี้ ไม่ใช่เพื่อเป็นมุกตลก 913 00:53:25,160 --> 00:53:30,624 ‎สวีตแบ็กกำลังวิ่งหนีอาชีวิตรอด ‎การเคลื่อนไหวดูจะเป็นสิ่งที่รักษาชีวิตเขา 914 00:53:30,707 --> 00:53:33,210 ‎เพราะส่วนใหญ่ของเรื่องนี้ ‎คือการเคลื่อนไหวไปด้านหน้า 915 00:53:34,544 --> 00:53:38,089 ‎แวน พีเบิลส์จึงเลือกนักดนตรี ‎ไม่ใช่แค่เพื่อมาแต่งเพลงประกอบ 916 00:53:38,173 --> 00:53:41,343 ‎เขาให้วงเอิร์ธ, วินด์, แอนด์ไฟเยอร์ ‎เป็นผู้ร่วมสมคบคิด 917 00:53:41,426 --> 00:53:46,306 ‎เขามีเลขาฯ ที่ผมแอบชอบ ‎ผมคิดว่าทุกคนแอบชอบพริสซิลลา 918 00:53:46,389 --> 00:53:49,809 ‎ผมแอโฟรเธอเหมือนวงแหวนนางฟ้า ‎ผมคิดแบบ "พระเจ้า ดูพริสซิลลาสิ 919 00:53:49,893 --> 00:53:51,186 ‎เธอใส่อะไรมานะ 920 00:53:51,269 --> 00:53:53,855 ‎วันนี้พริสซิลลาจะใส่ชุดอะไรมา" 921 00:53:53,939 --> 00:53:57,442 ‎แต่พริสซิลลาก็มีแฟนที่ค่อนข้างขี้หึง 922 00:53:57,525 --> 00:54:00,862 ‎เธออยากแสดงในหนัง ‎แต่แฟนบอกว่า "คุณเล่นหนังไม่ได้นะ" 923 00:54:00,946 --> 00:54:03,698 ‎แต่เขาเองกลับตั้งวงใหม่ ‎ชื่อ "เอิร์ธ, วินด์, แอนด์ไฟเยอร์" 924 00:54:04,741 --> 00:54:08,578 ‎เขาบอกว่า "คุณห้ามเล่นหนังกับเมลวิน ‎แต่ผมอยากทำเพลง" 925 00:54:10,163 --> 00:54:14,334 ‎และผลงานของพวกเขาก็ช่วยส่งเสริม ‎ความระแวงจนเหงื่อตกของ "สวีตแบ็ก" 926 00:54:16,419 --> 00:54:18,755 ‎ต่างจากเพลงอาร์แอนด์บีหวานๆ ทรงพลัง 927 00:54:18,838 --> 00:54:22,092 ‎ในผลงานต่อๆ มาที่เราจะรู้ ‎ได้ทันทีว่าเป็นเอิร์ธ, วินด์, แอนด์ไฟเยอร์ 928 00:54:22,175 --> 00:54:26,846 ‎เพลงประกอบ "สวีตแบ็ก" ของพวกเขา ‎คือริ้วเสียงที่ไม่ลงรอยในเพลงแจ๊ซล้ำยุคเสียงสูง 929 00:54:26,930 --> 00:54:29,599 ‎โดยมีเสียงกลองให้จังหวะเป็นพื้นหลัง 930 00:54:29,683 --> 00:54:31,768 ‎ดนตรีมีอยู่เพื่อให้เรารู้ 931 00:54:31,851 --> 00:54:35,480 ‎ว่าเรากำลังถูกพาดิ่งลงไป ‎ในโลกที่หนังคอยหลีกเลี่ยง 932 00:54:35,981 --> 00:54:37,816 ‎มันผสมผสานหลายแนวได้ลงตัว 933 00:54:37,899 --> 00:54:40,735 ‎โดยมีปฏิกิริยาฉับไวไม่แพ้ผู้กำกับแวน พีเบิลส์ 934 00:54:41,403 --> 00:54:43,113 ‎หนีไป สวีตแบ็ก 935 00:54:44,906 --> 00:54:46,449 ‎หนีไปซะ ไอ้เบื๊อก 936 00:54:47,534 --> 00:54:51,579 ‎พวกมันละเลงเลือดน้องสาวนาย ‎แต่ไม่มีทางละเลงเลือดฉันได้ 937 00:54:51,663 --> 00:54:53,540 ‎หนีไป สวีตแบ็ก 938 00:54:53,623 --> 00:54:55,041 ‎หนีไป ไอ้เบื๊อก 939 00:54:55,125 --> 00:54:57,377 ‎"พวกมันละเลงเลือดแม่นาย 940 00:54:57,460 --> 00:55:00,005 ‎พวกมันละเลงเลือดพ่อนาย ‎แต่ไม่ทางละเลงเลือดฉันได้" 941 00:55:03,049 --> 00:55:05,969 ‎พ่อให้ผมคุยกับคนในล็อบบี้ 942 00:55:06,052 --> 00:55:09,014 ‎พ่อถามว่า "แกคิดว่าไง" ‎ผมก็ตอบไป แล้วพ่อก็บอกว่า 943 00:55:09,097 --> 00:55:11,808 ‎"พ่อไม่สนหรอกว่าแกคิดยังไง ‎เดี๋ยวพ่อหาคำตอบเองทีหลัง 944 00:55:11,891 --> 00:55:16,146 ‎ไปคุยกับคนในล็อบบี้ ‎ลองถามดูว่าเขามองหนังเรื่องนี้ยังไง 945 00:55:16,229 --> 00:55:18,940 ‎รู้จักหนังเรื่องนี้ได้ยังไง แล้วคิดยังไงกับมัน" 946 00:55:19,941 --> 00:55:23,445 ‎ต้องเป็นผู้กำกับทฤษฎีออเตอร์ ‎นักจัดโชว์ และนักขายอย่างเทลวิน 947 00:55:23,528 --> 00:55:27,949 ‎ถึงจะเข้าใจว่าการทำให้นักแต่งเพลง ‎เป็นหุ้นส่วนด้านการสร้างสรรค์โปรเจกต์ 948 00:55:28,033 --> 00:55:29,576 ‎แทนที่จะเป็นแค่ลูกจ้าง 949 00:55:29,659 --> 00:55:32,162 ‎คือการที่ผู้กำกับลงทุนกับอนาคตของหนัง 950 00:55:32,787 --> 00:55:35,415 ‎เมลวินมองเห็นอนาคตนั้น ‎ในแบบที่ต่อมาจะเป็นจุดเริ่มต้น 951 00:55:35,498 --> 00:55:37,250 ‎ของแนวทางใหม่ในวงการภาพยนตร์ 952 00:55:37,751 --> 00:55:41,963 ‎เริ่มแรก เขาใช้เรื่องราวการขายหนัง ‎เพื่อทำการตลาด 953 00:55:42,047 --> 00:55:46,343 ‎ไม่งั้นเขาจะได้หนังคนดำ ‎ที่คงแทบจะไม่ได้รับความสนใจเลย 954 00:55:46,426 --> 00:55:49,220 ‎ที่สำคัญกว่านั้น เขาปล่อยซาวด์แทร็กออกมาก่อน 955 00:55:49,304 --> 00:55:52,390 ‎โดยหวังพึ่งการที่ผู้คนเห็นชื่อหนังมากขึ้น ‎จะเป็นเครื่องมือการขาย 956 00:55:53,224 --> 00:55:55,560 ‎เขาเป็นทั้งศิลปินและนักธุรกิจ 957 00:55:55,643 --> 00:55:58,104 ‎ถึงเป็นศิลปะก็ไร้ค่า ถ้าไม่มีใครได้ดู 958 00:55:59,898 --> 00:56:03,485 ‎กอร์ดอน พาร์กส์ได้เปลี่ยน ‎คนที่จะเป็นตัวเอกในหนังคนดำได้ 959 00:56:03,568 --> 00:56:05,987 ‎สวีตแบ็กกับชาฟต์เจริญรอยตามมูฮัมหมัด อาลี 960 00:56:06,071 --> 00:56:11,201 ‎เข้าสู่ยุคที่คนดำไม่ต้องขออนุญาตมีตัวตนอีกต่อไป 961 00:56:11,701 --> 00:56:14,329 ‎ฉากของพวกเขาสร้างมา ‎เพื่อแสดงออกถึงความแน่วแน่ 962 00:56:14,412 --> 00:56:15,413 ‎แทนที่จะชวนให้คิด 963 00:56:16,039 --> 00:56:19,501 ‎ถึงทัศนคติง่ายๆ สบายๆ ‎เป็นการแหวกแนวจากคนถ่อมตนน่าคบหา 964 00:56:20,001 --> 00:56:23,671 ‎ระยะห่างจากความเข้มงวดและย้อนแย้ง ‎บังคับให้ผู้ชมเข้าใจได้เอง 965 00:56:23,755 --> 00:56:25,215 ‎แทนที่จะต้องอธิบายทุกอย่าง 966 00:56:27,842 --> 00:56:31,012 ‎ฟังที่ผมจะบอกนะ ลุง ผมมาช่วย 967 00:56:31,096 --> 00:56:33,264 ‎ผมเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า 968 00:56:33,348 --> 00:56:36,101 ‎แฮร์รี่ เบลาฟอนเต ‎นำความดุดันที่อ่อนโยนของเขา 969 00:56:36,184 --> 00:56:39,020 ‎กลับมาสู่จอเงินอีกครั้งใน "ดิแองเจิลเลวีน" 970 00:56:39,104 --> 00:56:40,855 ‎หนังดราม่าเชิงทดลองที่เขาสร้างเอง 971 00:56:41,398 --> 00:56:44,734 ‎เป็นการจบช่วงเนรเทศตัวเอง ‎ด้วยหนังตลกแนวอัตถิภาวะ 972 00:56:44,818 --> 00:56:47,862 ‎ที่เสนอมุมที่แตกต่าง ‎ต่อโจทย์ที่ราล์ฟ เอลลิสันตั้งขึ้น 973 00:56:47,946 --> 00:56:49,531 ‎ในนิยายของเขา "อินวิซิเบิลแมน" 974 00:56:50,031 --> 00:56:53,743 ‎"ผมทำยังไงถึงได้ทั้งดำ ‎เคร่งศาสนา และสวรรค์นำโชค" 975 00:56:54,452 --> 00:56:55,286 ‎ผมคือทูตสวรรค์ 976 00:56:58,123 --> 00:56:59,958 ‎มาพาฉันขึ้นสวรรค์เหรอ 977 00:57:01,418 --> 00:57:02,252 ‎เปล่า 978 00:57:03,670 --> 00:57:05,213 ‎ผมมาเพื่อมอบชีวิตให้คุณ 979 00:57:05,296 --> 00:57:08,633 ‎ในบทที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ‎คู่ขนานไปกับพันธสัญญาใหม่ 980 00:57:08,716 --> 00:57:11,094 ‎ซิดนีย์พัวทิเยร์แสงนำในบทบราเธอร์จอห์น 981 00:57:11,594 --> 00:57:14,431 ‎ในหนังแฟนตาซีเรื่องนี้ ‎พัวทิเยร์เป็นคนแปลกหน้าที่อ่อนน้อม 982 00:57:14,514 --> 00:57:18,309 ‎ที่ถูกส่งมายังเขตสงคราม ‎ต้องเก็บงำความเห็นชอบและมุมมองตัดสิน 983 00:57:18,393 --> 00:57:22,439 ‎ในฐานะทูตสวรรค์แห่งความตายพูดน้อย ‎ที่ติดชะงักอยู่ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน 984 00:57:22,522 --> 00:57:26,734 ‎นิทานเจตนาดีเรื่องนี้ ‎แต่งขึ้นเพื่อสะท้อนความลำบากของพัวทิเยร์เอง 985 00:57:28,361 --> 00:57:30,905 ‎ออสซี่ เดวิสสร้างผลงาน ‎ต่อจาก "คอตตอนคัมส์ทูฮาร์เล็ม" 986 00:57:30,989 --> 00:57:34,868 ‎ด้วยดราม่าที่โฟกัสกับความตึงเครียด ‎ของหญิงผิวดำหลายรุ่น 987 00:57:34,951 --> 00:57:36,494 ‎ในครอบครัวเดียวกัน 988 00:57:36,578 --> 00:57:39,080 ‎พระผู้เป็นเจ้า ถ้าทรงช่วยลูกซื้อบ้านนี้ให้แม่ 989 00:57:39,164 --> 00:57:41,916 ‎ลูกจะไม่ขออะไรจากพระองค์อีกเลย เอเมน 990 00:57:42,000 --> 00:57:46,087 ‎ตัวเอกหญิงสาวของเขา ‎ที่ต่อสู้เพื่อให้คนรับฟัง และเพื่ออนาคต 991 00:57:46,171 --> 00:57:49,132 ‎เป็นหัวข้อที่ใกล้เคียง ‎กับความจริงที่ไร้ข้อสงสัย 992 00:57:49,215 --> 00:57:50,467 ‎ยิ่งกว่าผลงานเรื่องก่อนหน้า 993 00:57:51,176 --> 00:57:54,429 ‎นักเขียนบทและผู้กำกับ ‎อุสมาน เซมเบนเคยกล่าวไว้ว่า 994 00:57:54,512 --> 00:57:57,932 ‎"ระหว่างครอบครัวในหนัง ‎เรื่อง 'ซาวน์เดอร์' กับ 'แบล็กเกิร์ล' 995 00:57:58,016 --> 00:57:59,559 ‎มีจักรวาลที่ครบทุกองค์ประกอบ 996 00:58:00,351 --> 00:58:02,312 ‎นั่นคือหนังแบบที่ผมอยากสร้าง" 997 00:58:02,979 --> 00:58:07,525 ‎และจักรวาลหนังที่เขาได้เห็น ‎ก็ดลใจให้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพ 998 00:58:07,609 --> 00:58:12,030 ‎ถ่ายทอดผลกระทบ ‎ของการขาดผู้ชายในครัวเรือนผิวดำ 999 00:58:13,448 --> 00:58:15,575 ‎มีเหตุผลจำนวนหนึ่งที่แย้งว่า 1000 00:58:15,658 --> 00:58:19,662 ‎ปี 1939 คือปีที่ดีที่สุด ‎ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ 1001 00:58:19,746 --> 00:58:24,334 ‎แต่เรื่องที่ถูกมองข้าม ‎คือปี 1939 ได้ยืนยันสถานะของหนังอเมริกา 1002 00:58:24,417 --> 00:58:25,793 ‎ว่าเป็นนักสร้างเรื่องเล่าของโลก 1003 00:58:26,377 --> 00:58:30,673 ‎ผมไม่เชื่อว่าปีที่มี "กอนวิทเดอะวินด์" ‎จะมีเสน่ห์แบบนั้นได้ 1004 00:58:31,257 --> 00:58:34,511 ‎กลุ่มผู้บริหารสตูดิโอ ‎ได้สร้างความเชื่อผิดๆ ในวัฒนธรรมกระแสนิยม 1005 00:58:34,594 --> 00:58:38,848 ‎ที่ทำให้พวกเขามีโอกาส ‎หนีจากต้นกำเนิดไปได้ไกลที่สุด 1006 00:58:38,932 --> 00:58:42,393 ‎พวกเขาเสกอเมริกา ‎เวอร์ชันหลงตัวเองให้เกิดขึ้นจริงได้ 1007 00:58:43,144 --> 00:58:45,647 ‎อเมริกาที่ไม่เคยมีอยู่จริง 1008 00:58:45,730 --> 00:58:48,191 ‎แต่ความเชื่อส่วนใหญ่ของประเทศยังคงมีอยู่ 1009 00:58:48,274 --> 00:58:50,735 ‎ประเทศส่วนใหญ่ก็อาจจะยังมีเช่นกัน 1010 00:58:50,818 --> 00:58:53,905 ‎ปี 1939 ได้ปล่อยให้ค่ายหนังเร่งผลิต 1011 00:58:53,988 --> 00:58:56,616 ‎ผลงานที่พวกเขามองว่ามีศีลธรรมและวรรณกรรม 1012 00:58:56,699 --> 00:59:00,078 ‎และเอาใจผู้ชมกระแสหลัก ‎ด้วยการสร้างความเชื่อกลบเกลื่อนความผิด 1013 00:59:00,161 --> 00:59:02,163 ‎ผมรู้ ฮัค ผมเป็นมาสชองเธอ 1014 00:59:02,247 --> 00:59:05,041 ‎แต่บางครั้ง ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันถูกต้องไหม 1015 00:59:05,708 --> 00:59:09,587 ‎นี่คือก้าวที่ไกลกว่าการเข้ายึดครอง ‎และการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม 1016 00:59:10,088 --> 00:59:14,259 ‎นักแสดงผิวขาวถ่ายทอด ‎วัฒนธรรมได้ดีกว่านักแสดงละตินมาก 1017 00:59:15,468 --> 00:59:17,011 ‎รวมถึงชาวเกาะแปซิฟิก 1018 00:59:17,095 --> 00:59:18,972 ‎คุณโดโรธี มาร์ช 1019 00:59:19,055 --> 00:59:21,140 ‎กับการแสดงเลียนแบบ บิล โรบินสัน 1020 00:59:21,224 --> 00:59:22,308 ‎ราชาแห่งฮาร์เล็ม 1021 00:59:23,142 --> 00:59:24,060 ‎คนดำ 1022 00:59:25,061 --> 00:59:27,772 ‎การทำร้ายร่างกายถือเป็นคำชม 1023 00:59:31,442 --> 00:59:34,571 ‎ที่สำคัญที่สุด มีการส่งต่อในปี 1939 1024 00:59:34,654 --> 00:59:37,907 ‎ที่ตอกย้ำอำนาจของความเชื่อ ‎ที่เป็นศูนย์กลางและด้อยค่าความสามารถ 1025 00:59:37,991 --> 00:59:40,076 ‎เกี่ยวกับสถานะของคนดำในสังคม 1026 00:59:40,159 --> 00:59:41,369 ‎เลิกงานได้ 1027 00:59:41,452 --> 00:59:44,205 ‎- ใครบอกให้เลิกงาน ‎- ฉันบอกให้เลิกเอง 1028 00:59:44,289 --> 00:59:47,584 ‎ฉันเป็นหัวหน้า ‎ฉันคือคนบอกว่าเมื่อไหร่เลิงาน ทาร่า 1029 00:59:47,667 --> 00:59:52,171 ‎เลิกงานได้ 1030 00:59:52,255 --> 00:59:54,841 ‎ทั้งสองเรื่องคือหนังจากนิยาย 1031 00:59:54,924 --> 00:59:58,636 ‎หนังทำรายได้สูงสุดตลอดกาล ‎จนกระทั่งปี 1925 1032 00:59:58,720 --> 01:00:01,306 ‎คือ "เดอะเบิร์ธออฟอะเนชัน" ‎ของดี. ดับเบิลยู. กริฟฟิธ 1033 01:00:01,389 --> 01:00:04,809 ‎หนังที่ฮิตยิ่งกวานั้น ‎คือ "กอนวิทเดอะวินด์" ในปี 1939 1034 01:00:04,892 --> 01:00:08,271 ‎ที่รักษาสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศไว้ได้จนถึงปี 1965 1035 01:00:09,147 --> 01:00:11,232 ‎และแซงคว้าแชมป์อีกครั้งในปี 1971 1036 01:00:12,066 --> 01:00:16,529 ‎ปี 1972 ควรจะเป็นปี ‎ที่อาชีพของรูเพิร์ต ครอสส์เริ่มรุ่งโรจน์ 1037 01:00:16,613 --> 01:00:20,366 ‎แฟนคลับของเขา แจ็ค นิโคลสัน ‎โรเบิร์ต ทาวน์ และผู้กำกับฮาล แอชบี้ 1038 01:00:20,450 --> 01:00:24,287 ‎ไดสร้างบทให้ครอสส์ ‎ในหนังที่ดัดแปลงจาก "เดอะลาสต์ดีเทล" 1039 01:00:24,370 --> 01:00:28,333 ‎แต่ครอสส์กลับล้มป่วยด้วยลูคีเมีย ‎ก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มขึ้น 1040 01:00:28,416 --> 01:00:31,294 ‎การถ่ายทำถูกเลื่อนออกไป ‎ด้วยหวังว่าเขาจะจะได้ร่วมแสดง 1041 01:00:31,794 --> 01:00:34,005 ‎แต่ครอสส์เสียชีวิตไปก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มขึ้น 1042 01:00:35,840 --> 01:00:37,759 ‎ในบทความของนิตยสารเอสไควร์ 1043 01:00:37,842 --> 01:00:42,013 ‎แอชบี้หวนนึกถึงอารมณ์ขัน ‎และความสง่างงามของครอสส์ก่อนตาย 1044 01:00:42,096 --> 01:00:44,766 ‎คำว่า "เจ้าบทเจ้ากลอนกัดแซะ" ถูกคิดขึ้น 1045 01:00:44,849 --> 01:00:48,436 ‎เพื่อบรรยายถึงสไตล์ของแอชบี้ ‎และได้แรงบันดาลใจจากมุมมองของครอสส์ 1046 01:01:02,200 --> 01:01:05,912 ‎ไอแซก เฮย์สทำการแสดงของเขา ‎ในงานมอบรางวัลออสการ์ปี 1972 1047 01:01:05,995 --> 01:01:08,706 ‎ที่เขาเป็นคนดำคนแรกที่ได้รับรางวัล ‎เพลงประกอบยอดเยี่ยม 1048 01:01:08,790 --> 01:01:11,959 ‎เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ ‎ของ "ฮอตบัตเทิร์ดโซล" ให้ทั้งโลกได้รู้ 1049 01:01:12,919 --> 01:01:14,962 ‎สำหรับผมที่ดูอยู่ที่บ้าน และตื่นเต้น 1050 01:01:15,046 --> 01:01:19,175 ‎ไปกับการดูเฮย์สเปลี่ยนโซ่ล่ามทาส ‎เป็นเสื้อเกราะซูเปอร์สตาร์ 1051 01:01:19,676 --> 01:01:22,512 ‎มันรู้สึกเหมือนดาวหางพุ่งเข้าชนโลก 1052 01:01:22,595 --> 01:01:24,806 ‎ชั้นบรรยากาศเปลี่ยนไป 1053 01:01:24,889 --> 01:01:28,226 ‎บอกให้เราได้รู้ว่าทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิม 1054 01:01:29,644 --> 01:01:31,771 ‎นั่นเป็นการผสมผสานที่สับสนและตื่นเต้น 1055 01:01:31,854 --> 01:01:35,525 ‎ที่ได้แสดงถึงองค์ประกอบ ‎ที่ทำให้วัฒนธรรมหนังคนดำมีเสน่ห์ 1056 01:01:35,608 --> 01:01:38,194 ‎ยิ่งกว่าหนังจากกลุ่มที่เรียกว่า "กระแสหลัก" 1057 01:01:38,277 --> 01:01:39,987 ‎องค์ประกอบนั้นคือความเป็นฮีโร่ 1058 01:01:40,071 --> 01:01:44,200 ‎เอาล่ะ ไอ้แมลงสาบ เริ่มใหม่แต่แรกอีกทีนะ 1059 01:01:44,283 --> 01:01:46,077 ‎ที่ต่างจากนักแสดงผิวขาว 1060 01:01:46,160 --> 01:01:48,287 ‎ที่ใช้ความน่าเวทนาเป็นองค์ประกอบตกแต่ง 1061 01:01:48,371 --> 01:01:52,667 ‎นักแสดงคนดำเล่นบทฮีโร่กึ่งตัวร้าย ‎ด้วยความมั่นใจที่คาบเส้นกับฮีโร่ 1062 01:01:52,750 --> 01:01:54,711 ‎แล้วข้าล้ำมเส้นนั้นไปอีก 1063 01:01:54,794 --> 01:01:56,212 ‎คุณจะต้องกลับเข้าไป 1064 01:01:56,295 --> 01:01:59,757 ‎เพราะคุณไม่่ได้ทำอะไรเลย ‎นอกจากพูดเรื่องความรักและสันติสุข 1065 01:02:00,383 --> 01:02:02,427 ‎คุณไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แปลว่าต้องสู้ต่อไป 1066 01:02:02,510 --> 01:02:06,556 ‎ไปพูดจนกว่ามันจะเกิดขึ้น ‎แต่เราจะกลับไปจุดนั้นไม่ได้ 1067 01:02:06,639 --> 01:02:08,641 ‎เพราะเราไม่ได้ออกมาจากจุดนั้นแต่แรก 1068 01:02:08,725 --> 01:02:12,937 ‎จากกระแสของ "ชาฟต์" ‎ได้ก่อให้เกิดหนังฟิล์มนัวร์รีเมคต่ำชั้น 1069 01:02:13,020 --> 01:02:15,314 ‎"ฮิตแมน" หนังดัดแปลงจาก "เก็ตคาร์เตอร์" 1070 01:02:15,398 --> 01:02:18,568 ‎คุณคือซูเปอร์สตาร์ตัวจริงเลย ที่รัก 1071 01:02:18,651 --> 01:02:21,738 ‎และ "คูลบรีซ" ‎ก็เป็นรีเมคอีกฉบับชอง "ดิแอสฟอลต์จังเกิล" 1072 01:02:21,821 --> 01:02:23,865 ‎ที่ทำให้ชื่อหนังยิ่งตรงตัวอักษร 1073 01:02:23,948 --> 01:02:26,951 ‎ยิ่งกว่าที่หนังคลื่นลูกใหม่จะกล้าฝันว่าเป็นไปได้ 1074 01:02:27,452 --> 01:02:30,371 ‎ในหนังเหล่านี้ ตัวเอกก้าวเข้าสู่เฟรม 1075 01:02:30,455 --> 01:02:34,167 ‎ด้วยความมั่นใจที่ไม่เคยมีมาก่อน ‎ในหนังที่ไม่ใช่เรื่องสังคมชั้นล่าง 1076 01:02:36,419 --> 01:02:37,545 ‎ไม่อยากจะพูดหรอกนะ 1077 01:02:38,880 --> 01:02:42,759 ‎แต่เรานี่มันหล่อโคตรๆ เลยว่ะ 1078 01:02:45,636 --> 01:02:46,888 ‎ใช่ 1079 01:02:46,971 --> 01:02:49,891 ‎ปีที่เป็นจุดสูงสุดของหนังคนดำ ‎ได้เคลื่อนขอบเขตมากมายหลายอย่าง 1080 01:02:49,974 --> 01:02:51,476 ‎จนวงการหนังเลี่ยนไปตลอดกาล 1081 01:02:52,059 --> 01:02:55,730 ‎เป็นครั้งแรกที่หญิงผิวดำสองคน ‎ได้ชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม 1082 01:02:55,813 --> 01:02:57,940 ‎ไดอาน่า รอสส์ในบทนำเรื่องแรก 1083 01:02:58,024 --> 01:03:01,194 ‎และซิซิลี่ ไทสันผู้สง่างามใน "ซาวน์เดอร์" 1084 01:03:01,277 --> 01:03:03,696 ‎ยังอีกนานกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวนะ คุณเพอร์กิน 1085 01:03:04,447 --> 01:03:06,115 ‎กว่าจะถึงตอนนั้น เนธานคงกลับมาแล้ว 1086 01:03:07,366 --> 01:03:10,828 ‎ถ้าเขาไม่กลับมา เชื่อฉันได้เลย ‎ฉันกับเด็กๆ จะเก็บเกี่ยวเอง 1087 01:03:10,912 --> 01:03:14,624 ‎ฉันไม่มีโอกาสได้เจอคุณซิซิลี่ ไทสัน 1088 01:03:14,707 --> 01:03:16,417 ‎เธอทำให้ฉันนึกถึงยายเสมอ 1089 01:03:16,501 --> 01:03:22,799 ‎เธอเป็นตัวแทนของความสง่างาม ‎แล้วก็ความสูงส่งแบบ… 1090 01:03:22,882 --> 01:03:25,134 ‎แค่จากการเคลื่อนไหวและการพูด 1091 01:03:25,802 --> 01:03:26,844 ‎ไม่ 1092 01:03:26,928 --> 01:03:30,556 ‎แม่คิดว่าจะอบเค้ก ‎ให้เดวิด ลีเอาไปให้พ่อคราวนี้ 1093 01:03:30,640 --> 01:03:34,811 ‎ฉันดีใจที่ได้เจอซิซิลี่ ‎เพราะฉันโตมากับหนังของซิซิลี่ ไทสัน 1094 01:03:34,894 --> 01:03:37,104 ‎มันรู้สึกดีที่ได้เห็นพวกเดียวกัน 1095 01:03:37,688 --> 01:03:40,358 ‎หนังเหล่านีคือเรื่องของพวกเรา 1096 01:03:41,526 --> 01:03:43,236 ‎ลูกพ่อ อย่าชินกับที่นี่ให้มากไปนะ 1097 01:03:44,987 --> 01:03:46,948 ‎เพราะไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร พ่อก็ยังรักลูก 1098 01:03:47,490 --> 01:03:51,619 ‎ซึ่งผลงานนี้ก็ทำให้ดารานำแสดงร่วม ‎พอล วินฟิลด์ได้ชิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมด้วย 1099 01:03:51,702 --> 01:03:57,166 ‎ตอนเด็กๆ ผมไม่รู้สึกว่าตัวเอง ‎จะหลงใหลกับหนังที่พวกเราเป็นเหยื่อ 1100 01:03:57,250 --> 01:04:00,086 ‎ที่เราไร้พลัง ผมไม่อยากได้สิ่งนั้นตอนเด็กๆ 1101 01:04:00,670 --> 01:04:04,340 ‎ผมเพิ่งได้ดู "ซาวน์เดอร์" อีกรอบ ‎เมื่อไม่นานนี้ แล้วผมก็เข้าใจมากขึ้นตอนโต 1102 01:04:04,423 --> 01:04:06,843 ‎ผมเห็นหลายๆ แง่ในหนัง ‎ที่ตอนเด็กๆ ผมมองไม่ออกเลย 1103 01:04:08,845 --> 01:04:11,889 ‎และไดอาน่า รอสส์ ‎ก็ได้เข้าชิงนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม 1104 01:04:11,973 --> 01:04:15,893 ‎จากบทนำเรื่องแรก ‎ในหนังเกี่ยวกับบิลลี่ ฮอลิเดย์เรื่องแรก 1105 01:04:15,977 --> 01:04:18,521 ‎"เลดี้ซิงส์เดอะบลูส์" จากค่ายโมทาวน์ 1106 01:04:26,946 --> 01:04:31,242 ‎มันไม่ใช่หนังเกี่ยวกับความเป็นคนดำ ‎เหมือนเรื่องอื่นๆ หลายๆ เรื่อง 1107 01:04:32,702 --> 01:04:34,120 ‎มันคือเรื่องของพรสวรรค์ 1108 01:04:34,203 --> 01:04:38,291 ‎เป็นเพราะชุดของบ็อก แม็คกี้ ‎กับความงามของไดอาน่า รอสส์ 1109 01:04:38,374 --> 01:04:43,129 ‎กับบิลลี่ ดี วิลเลียมส์ ก็นะ มันยอดมาก 1110 01:04:46,090 --> 01:04:48,092 ‎แฟรงค์ ยาบลานส์บริหารพาราเมาต์ 1111 01:04:48,175 --> 01:04:52,179 ‎เขาบอกเบอร์รี่ กอร์ดี้ ‎หลังจากได้ดูหนังฉบับตัดต่อเบื้องตัน 1112 01:04:52,263 --> 01:04:53,890 ‎ว่าค่ายจะไม่เพิ่มงบให้เรื่องนี้อีก 1113 01:04:54,891 --> 01:04:57,226 ‎แล้วเบอร์รี่ กอร์ดี้ก็บอกแฟรงค์ว่า 1114 01:04:57,310 --> 01:04:59,854 ‎"เรายังสร้างไม่เสร็จ ‎เรายังมีงานต้องทำอีกเยอะ" 1115 01:05:00,479 --> 01:05:01,480 ‎แล้วแฟรงค์ก็บอกว่า… 1116 01:05:01,564 --> 01:05:05,234 ‎ฉันจะไม่เล่าว่าจริงๆ แฟรงค์พูดยังไง 1117 01:05:05,318 --> 01:05:09,196 ‎แต่หลักๆ เขาบอกว่า ‎มันเหมือนเราเป็นหนองในแล้วจะเอาไปติดเขา 1118 01:05:09,280 --> 01:05:11,949 ‎เพราะเราไม่เคยทุ่มงบสร้างมากกว่านี้ 1119 01:05:12,033 --> 01:05:14,076 ‎กับ "หนังคนดำ" มาก่อนเลย 1120 01:05:14,160 --> 01:05:16,621 ‎เขาถามว่า "แฟรงค์ ผมทำยังไงได้บ้าง" 1121 01:05:16,704 --> 01:05:20,458 ‎เขาก็ตอบว่า "เขียนเช็คให้ผมสองล้าน ‎แล้วคุณอยากทำอะไรก็ทำเลย" 1122 01:05:21,876 --> 01:05:22,919 ‎แล้วเขาก็ทำ 1123 01:05:23,002 --> 01:05:26,714 ‎"เลดี้ซิงส์เดอะบลูส์" ‎เป็นโชว์หรูเล่นใหญ่จัดเต็มเรื่องแรกๆ 1124 01:05:26,797 --> 01:05:30,092 ‎เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าทึ่ง ‎ของความสวยหรูของคนดำในภาพยนตร์ 1125 01:05:30,176 --> 01:05:33,054 ‎เวลาคิดถึงไดอาน่า รอสส์ ‎ฉันจะคิดถึงแฟชั่นด้วย 1126 01:05:33,137 --> 01:05:36,057 ‎และฉันอ้างอิงแฟชั่นจากเธอบ่อยแค่ไหน 1127 01:05:36,140 --> 01:05:38,893 ‎ทั้งงานพรมแดงหรืองานถ่ายแบบ 1128 01:05:38,976 --> 01:05:41,646 ‎หรือคิดตัวละครต่างๆ ที่ฉันได้สร้างขึ้น 1129 01:05:42,730 --> 01:05:46,567 ‎นิ้วมือ ทรงผ และทุกๆ อย่าง 1130 01:05:46,651 --> 01:05:48,194 ‎มันแบบว่า "คุณพระช่วย" 1131 01:05:48,277 --> 01:05:50,655 ‎แล้วเธอก็แสดงเป็น 1132 01:05:51,822 --> 01:05:54,241 ‎ไม่ใช่แค่สำหรับรอสส์ ‎แต่สำหรับนักแสดงนำร่วมของเธอด้วย 1133 01:05:54,325 --> 01:05:58,204 ‎ตัวแทนสุดหล่อผิวเข้มสูงยาวขนานแท้ 1134 01:05:58,287 --> 01:05:59,538 ‎บิลลี่ ดี วิลเลียมส์ 1135 01:06:00,998 --> 01:06:03,751 ‎ตอนที่บิลลี่ ดี วิลเลียมส์ เข้ามา 1136 01:06:03,834 --> 01:06:06,504 ‎ผู้หญิงทุกคนในฮอลลีวูดทักทายเขา 1137 01:06:07,630 --> 01:06:09,840 ‎ฉันบอกเลย "คุณพระ 1138 01:06:09,924 --> 01:06:13,260 ‎เกิดอะไรขึ้นเนี่ย" 1139 01:06:16,847 --> 01:06:20,184 ‎ตอนแรกที่ผมเดินลงบันไดไป ‎ผมก็หลงรักตัวเองเข้าแล้ว 1140 01:06:21,894 --> 01:06:24,188 ‎ผมบอกว่า "คุณพระคุณเจ้าช่วย" 1141 01:06:24,855 --> 01:06:26,565 ‎สาวๆ หลงผมเต็มเลย 1142 01:06:27,191 --> 01:06:28,776 ‎อยากให้แขนผมหลุดก่อนเหรอ 1143 01:06:30,611 --> 01:06:33,406 ‎แม้แต่ฉากนั้น "อยากให้แขนผมหลุดก่อนเหรอ" 1144 01:06:33,489 --> 01:06:35,032 ‎ผมคุมตัวเองไม่อยู่เลย 1145 01:06:35,116 --> 01:06:38,744 ‎ผมขำไม่หยุด เพราะผมได้แสงไฟพิเศษ 1146 01:06:38,828 --> 01:06:40,788 ‎มันเหมือนสมัยหนังเก่าๆ 1147 01:06:43,207 --> 01:06:45,042 ‎ผมขำไม่หยุดเลย 1148 01:06:45,126 --> 01:06:46,460 ‎ผมต้องคุมตัวเอง 1149 01:06:48,421 --> 01:06:52,133 ‎มันตลกมากสำหรับผมนะ เพราะมันเป็นสิ่งที่… 1150 01:06:52,216 --> 01:06:54,510 ‎ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน 1151 01:06:54,593 --> 01:06:58,431 ‎จากประสบการณ์ที่เคยแสดงหนังมา 1152 01:06:59,557 --> 01:07:02,393 ‎ปี 1972 เป็นปีแจ้งเกิดสำหรับคนเก่งผิวดำ 1153 01:07:02,476 --> 01:07:06,355 ‎นักเขียนบทละคร ลอนนี่ เอลเดอร์ที่สาม ‎ได้เข้าชิงรางวัลบทภาพยนตร์จาก "ซาวน์เดอร์" 1154 01:07:06,439 --> 01:07:08,274 ‎และที่สำคัญกว่านั้น นั่นคือปีที่ 1155 01:07:08,357 --> 01:07:11,277 ‎ผู้หญิงผิวดำได้เข้าชิง ‎รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก 1156 01:07:11,360 --> 01:07:15,322 ‎ซูซานน์ เด พาสส์ หนึ่งในทีมเขียนบท ‎ของเลดี้ซิงส์เดอะบลูส์ 1157 01:07:15,406 --> 01:07:20,244 ‎นั่นคือความสำเร็จครั้งเดียว ‎ก่อนที่ดี รีสจะได้เข้าชิงรางวัลในปี 2017 1158 01:07:20,327 --> 01:07:22,538 ‎จากบทภาพยนตร์เรื่อง "มัดบาวด์" ซึ่งทำให้เธอ 1159 01:07:22,621 --> 01:07:26,292 ‎เป็นผู้หญิงผิวดำคนที่สอง ‎ที่ได้เข้าชิงรางวัลบทภาพยนตร์ 1160 01:07:26,375 --> 01:07:28,919 ‎คุณกอร์ดี้ส่งสคริปต์ให้ฉัน แล้วบอกว่า 1161 01:07:30,337 --> 01:07:32,256 ‎"ลองอ่านนี่แล้วบอกผมหน่อยว่าคิดยังไง" 1162 01:07:33,007 --> 01:07:35,009 ‎แล้วฉันก็สะพรึงไปเลย 1163 01:07:35,968 --> 01:07:38,220 ‎เพราะฉันรู้สึกว่ามันเหมารวมมาก 1164 01:07:39,180 --> 01:07:42,725 ‎มุมมองเรื่องตัวตนของพวกเรา 1165 01:07:42,808 --> 01:07:45,728 ‎แทนที่จะเป็นตัวเราที่สามารถเป็นได้ 1166 01:07:46,395 --> 01:07:50,191 ‎ฉันเลยร่วมงานกับซิดนีย์ ฟิวรี่ ‎แล้วคริส คลาร์กก็เข้ามาเสริม 1167 01:07:50,274 --> 01:07:53,069 ‎เธอเป็นศิลปินในค่าย เป็นผู้หยิงฉลาดมาก 1168 01:07:53,152 --> 01:07:54,487 ‎ฉันกับเธอกลายเป็นทีมเดียวกัน 1169 01:07:54,987 --> 01:07:56,489 ‎เมล็ดได้ถูกหว่านไว้ในเรื่องนี้ 1170 01:07:56,572 --> 01:07:59,116 ‎สำหรับผลงานที่จะกลายเป็น ‎เรื่องราวที่สำคัญที่สุดของยุคนั้น 1171 01:07:59,909 --> 01:08:02,787 ‎การมีส่วนร่วมของผู้หญิงเริ่มโดดเด่นขึ้นมา 1172 01:08:04,038 --> 01:08:09,126 ‎นอกจากรางวัลต่างๆ แล้ว ‎วงการหนังรุ่นปี 1972 ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น 1173 01:08:09,710 --> 01:08:11,754 ‎(บัคแอนด์เดอะพรีชเชอร์ (1972) ‎ผู้กำกับ ซิดนีย์ พัวทิเยร์) 1174 01:08:11,837 --> 01:08:16,133 ‎หนังคาวบอย "บัคแอนด์เดอะพรีชเชอร์" ‎ที่กำกับโดยซิดนีย์ พัวทิเยร์ 1175 01:08:16,217 --> 01:08:19,261 ‎และเขาก็ยังนำแสดงเอง ‎ร่วมกับแฮร์รี่ เบลาฟอนเต 1176 01:08:20,513 --> 01:08:23,557 ‎เบลาฟอนเตตั้งความหวังไว้กับหนังเรื่องนี้ ‎ที่ไม่ได้กลายเป็นความจริง 1177 01:08:23,641 --> 01:08:27,353 ‎ที่น่าเสียดายมากๆ ‎คือได้รู้ว่าสังคมคนดำไม่ให้การสนับสนุน 1178 01:08:27,436 --> 01:08:31,732 ‎ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าถูกหักหลัง 1179 01:08:32,566 --> 01:08:35,986 ‎ผมรู้สึกว่า "ทำไมสังคมคนดำ ‎ไม่สนับสนุนหนังเรื่องนี้ 1180 01:08:36,779 --> 01:08:40,908 ‎เหมือนที่คนขาวสนับสนุน ‎'บุตช์ แคสซิดี้แอนด์เดอะซันแดนซ์คิด' 1181 01:08:41,408 --> 01:08:43,661 ‎นี่คือเรื่องนั้นเวอร์ชันของเรา ‎แต่พวกเขาไม่สนับสนุน" 1182 01:08:44,620 --> 01:08:47,957 ‎แล้วผมก็ได้รู้ว่าผมมีอุปสรรคหลายอย่าง 1183 01:08:48,457 --> 01:08:50,793 ‎มุมมองคนดำที่มองตัวเอง 1184 01:08:50,876 --> 01:08:53,546 ‎และมุมมองคนดำที่โลกมองเรา 1185 01:08:55,673 --> 01:08:58,509 ‎เฟรด วิลเลียมสันนำแสดง ‎ในหนังคาวบอยทาสล้างแค้น 1186 01:08:58,592 --> 01:09:00,719 ‎"เดอะเลเจนด์ออฟนิกเกอร์ชาร์ลีย์" 1187 01:09:00,803 --> 01:09:03,556 ‎ชื่อเรื่องที่เรียกว่าหน้าด้าน ‎และน่าโมโหแม้แต่ในยุคนั้น 1188 01:09:04,223 --> 01:09:07,059 ‎จะว่าไป ชื่อเรื่องนั้นเลิกใช้ไปแล้ว 1189 01:09:07,143 --> 01:09:10,312 ‎ตอนนี้หนังเปลี่ยนชื่อเป็น ‎"เดอะเลเจนด์ออฟแบล็คชาร์ลีย์" 1190 01:09:10,396 --> 01:09:11,814 ‎โปสเตอร์หน้าไม่อายนี้ 1191 01:09:11,897 --> 01:09:15,192 ‎ที่ใช้โปสเตอร์ ‎ออกแนวดาแกโรไทป์บ่งบอกทุกอย่าง 1192 01:09:15,693 --> 01:09:19,530 ‎"ใครไปเตือนแดนตะวันตกทีซิ ‎พี่มืดชาร์ลีย์ไม่หนีอีกแล้ว" 1193 01:09:21,198 --> 01:09:25,119 ‎และในที่สุดคนดำก็ได้อยู่ ‎ในหนังสยองขวัญในบทที่จริงจังบ้าง 1194 01:09:25,202 --> 01:09:30,249 ‎กับวิลเลียม มาร์แชลผู้โดดเด่น ‎ที่แสดงนำเป็นแวมไพร์ผู้น่าอนาถ แบล็คคิวลา 1195 01:09:30,332 --> 01:09:32,585 ‎ระบบทาสก็มีข้อดีนะ ผมเชื่ออย่างนั้น 1196 01:09:33,752 --> 01:09:34,587 ‎"ข้อดี" เหรอ 1197 01:09:35,337 --> 01:09:38,591 ‎เจ้าพบข้อดีในความป่าเถื่อนเหรอ 1198 01:09:39,508 --> 01:09:43,012 ‎ผมคิดเสมอว่าข้อดีของ ‎การเหยียดผิวที่ฝังลึกในสถาบัน 1199 01:09:43,095 --> 01:09:46,682 ‎ที่กีดกันคนดำจากบทศูนย์กลาง ‎ในหนังสยองขวัญก็คือ 1200 01:09:46,765 --> 01:09:49,560 ‎สำหรับชาวแอฟริกันอเมริกัน ‎ความเข้าใจโดยนัยแฝง 1201 01:09:49,643 --> 01:09:53,022 ‎ว่าไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ ‎หรือภัยการสิ่งร่างของปีศาจใดๆ 1202 01:09:53,105 --> 01:09:55,107 ‎จะเลวร้ายไปกว่าการเป็นทาส 1203 01:09:55,733 --> 01:09:57,860 ‎หรือการทดลองที่ทัสคีกี 1204 01:09:57,943 --> 01:10:01,030 ‎หรือเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ คนดำผู้บริสุทธิ์ตัวจริง 1205 01:10:01,113 --> 01:10:04,158 ‎ที่ตกเป็นเหยื่อของปีศาจที่แม้แต่หนังยังกลัว 1206 01:10:05,034 --> 01:10:07,244 ‎ในยามที่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง 1207 01:10:09,038 --> 01:10:11,665 ‎เมื่อสื่อคนดำบีบบังคับสื่อกระแสหลัก 1208 01:10:11,749 --> 01:10:14,752 ‎ให้ลงข่าวการตายของเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ ‎ด้วยรายละเอียดครบถ้วน 1209 01:10:14,835 --> 01:10:17,671 ‎แล้ววงการหนังก็เริ่มออกมา ‎เล่าถึงความสยดสยองของคนดำ 1210 01:10:17,755 --> 01:10:19,965 ‎เช่นการค้าทาสและทารุณกรรมฝังลึกในสถาบัน 1211 01:10:20,466 --> 01:10:24,136 ‎ฉากในหนังเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความโกลาหล ‎จากการตายของเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ 1212 01:10:24,220 --> 01:10:26,972 ‎คือวินาทีที่ผู้ชมผิวดำต่างรอคอย 1213 01:10:27,806 --> 01:10:33,062 ‎การที่มันไม่เคยเกิดขึ้นบ่งบอกเป็นนัยว่า ‎อำนาจที่แท้จริงในฮอลลีวูดอยู่ที่ไหน 1214 01:10:35,147 --> 01:10:37,608 ‎ผมจำสิ่งที่ทำให้ผมตื่นตัวได้ เตือนสติเลยจริง 1215 01:10:37,691 --> 01:10:40,527 ‎คือภาพเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ในนิตยสารเจ็ต 1216 01:10:40,611 --> 01:10:44,531 ‎ผมกลายเป็นคนที่เติบโตเป็นอีกคน ‎ในช่วงข้ามวันเลย 1217 01:10:46,116 --> 01:10:48,953 ‎ผมยังมีรูปเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ที่ได้เห็นในนิตยสารเจ็ต 1218 01:10:49,620 --> 01:10:53,832 ‎จากวันนั้นมา ผมก็รู้ดีว่า ‎แม่ของเขาคงจะรู้สึกยังไง 1219 01:10:56,168 --> 01:10:57,461 ‎ผมจำตอนเด็กๆ ได้ 1220 01:10:57,544 --> 01:11:00,923 ‎อ่านนิตยสารเจ็ต ‎แล้วเห็นสภาพศพเอ็มเม็ตต์ ทิลล์ 1221 01:11:01,006 --> 01:11:03,259 ‎แล้วมันก็ส่งผลต่อผม 1222 01:11:04,551 --> 01:11:07,888 ‎ในบางแง่ เราเห็นความเจ็บปวด ‎และความน่าเวทนาจนชิน 1223 01:11:07,972 --> 01:11:08,889 ‎จนมันไม่มีผลอะไร 1224 01:11:10,140 --> 01:11:11,725 ‎มันไม่มีผลอะไรกับเรา 1225 01:11:12,226 --> 01:11:15,729 ‎หรือไม่เราก็รอดูคดีต่อไป ‎เพราะเรารู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอีก 1226 01:11:16,355 --> 01:11:20,150 ‎แต่มันเริ่มเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้น ‎มันค่อยๆ เข้าใกล้… 1227 01:11:21,235 --> 01:11:24,571 ‎ใกล้ภัยต่อมนุษยชาติ ‎ความไร้มนุษยธรรมต่อมนุษย์ด้วยกัน 1228 01:11:26,991 --> 01:11:29,326 ‎ความสยองที่ยังดำเนินต่อไป ‎ถูกนิยามไว้อย่างงดงาม 1229 01:11:29,410 --> 01:11:32,371 ‎ด้วยการออกอัลบั้ม ‎"วอตส์โกอิ้งออน" ของมาร์วิน เกย์ 1230 01:11:32,454 --> 01:11:36,083 ‎เขาเป็นคนแรกที่ร้องเพลง ‎ประท้วงสังคมแบบอ้อนวอนเรียกร้อง 1231 01:11:36,166 --> 01:11:37,876 ‎แทนที่จะเป็นการประณาม 1232 01:11:37,960 --> 01:11:41,422 ‎แล้วเกย์ก็ออกอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่อีกชุดในปี 1972 1233 01:11:41,505 --> 01:11:43,048 ‎ครั้งนี้เป็นเพลงประกอบ 1234 01:11:43,132 --> 01:11:46,218 ‎ที่ทำให้เขาได้โอกาสกลับสู่ต้นกำเนิดเพลงแจ๊ซ 1235 01:11:48,721 --> 01:11:52,850 ‎(ทรับเบิลแมน (1972) ‎ผู้กำกับ ไอแวน ดิกสัน) 1236 01:11:55,644 --> 01:12:00,357 ‎เพลงประกอบหนังคนดำ ‎มักจะได้แรงบันดาลใจจาก "วอตส์โกอิ้งออน" 1237 01:12:00,858 --> 01:12:05,279 ‎หนึ่งในผลงานคนที่งดงาม ‎และปฏิวัติวงการอย่างซื่อตรงที่สุด 1238 01:12:05,362 --> 01:12:07,781 ‎จนมันไม่แปลกที่มาร์วิน เกย์จะทำสิ่งเดียวกัน 1239 01:12:08,282 --> 01:12:10,993 ‎เขาเล่าถึงสถานการณ์ของชาวแอฟริกันอเมริกัน 1240 01:12:11,076 --> 01:12:15,080 ‎และสานต่อผลงานดนตรีของเขา ‎ด้วยเพลงประกอบ "ทรับเบิลแมน" 1241 01:12:15,164 --> 01:12:17,082 ‎ต่อยอดจากผลงานใน "วอตส์โกอิ้งออน" 1242 01:12:21,545 --> 01:12:24,048 ‎และเพลงประกอบหนังที่จะเกิดตามมา 1243 01:12:24,131 --> 01:12:27,343 ‎ก็ยังคงเล่าถึงผลพวงความเสียหาย ‎จากการกดขี่ต่อไป 1244 01:12:27,426 --> 01:12:29,053 ‎จากที่เขาได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ 1245 01:12:29,803 --> 01:12:34,099 ‎(ซูเปอร์ฟลาย (1972) ‎ผู้กำกับ กอร์ดอน พาร์กส์ จูเนียร์) 1246 01:12:34,725 --> 01:12:37,519 ‎แต่ที่ย้อนแย้งคือเพลงประกอบที่ล้ำเลิศที่สุด 1247 01:12:37,603 --> 01:12:40,022 ‎มาจากศิลปินที่อิทธิพลของเขาเด่นชัด 1248 01:12:40,105 --> 01:12:43,108 ‎ในการเปลี่ยนแนว ‎จากป็อปโซลสมัยเก่าของมาร์วิน เกย์ 1249 01:12:43,192 --> 01:12:45,361 ‎เพลงนี้ก็มีเสียงหลบที่อ่อนหวาน 1250 01:12:45,444 --> 01:12:48,113 ‎ถ่ายทอดความลำบากของชีวิตคนดำชาวอเมริกัน 1251 01:12:48,197 --> 01:12:52,034 ‎เนียนไหมล่ะ เครื่องจักรตัวร้าย ‎เจ๋งสุดๆ ร้ายสุดๆ 1252 01:12:52,117 --> 01:12:55,788 ‎ขายของดี ให้ขาใหญ่ เท่สุดๆ อยู่นี่ไง 1253 01:12:55,871 --> 01:12:56,997 ‎ของซ่อนไว้ขาย… 1254 01:12:57,081 --> 01:13:00,292 ‎เนื้อเพลงของเคอร์ติส เมย์ฟิลด์ ‎ได้สรุปสภาวะทางสังคม 1255 01:13:00,376 --> 01:13:03,879 ‎และความไม่ยอมจำนน ‎ต่อความเฉื่อยชาฝังลึกอย่างแรงกล้า 1256 01:13:03,962 --> 01:13:06,590 ‎เราก็ได้ยินตลอดอาชีพศิลปินเดี่ยวของเขา 1257 01:13:07,091 --> 01:13:11,512 ‎ผลงานดนตรีของเมย์ฟิลด์ในทศวรรษนี้ ‎มีด้วยกันถึง 20 อัลบั้ม 1258 01:13:11,595 --> 01:13:13,639 ‎โดยห้าอัลบั้มเป็นเพลงประกอบหนัง 1259 01:13:14,515 --> 01:13:17,851 ‎ความลึกซึ้งอันยืดหยุ่น ‎และการแต่งเพลงเจาะใจของเขา 1260 01:13:17,935 --> 01:13:20,145 ‎ได้กำหนดแนวทางหนังคนดำตั้งแต่นั้นมา 1261 01:13:20,229 --> 01:13:24,983 ‎เริ่มจาก "ซูเปอร์ปลาย" ‎ที่เป็นตัวอย่างให้เพื่อนนักดนตรีหลายคน 1262 01:13:25,067 --> 01:13:27,945 ‎แล้วเมย์ฟิลด์ก็เจริญรอยตาม ‎เมลวิน แวน พีเบิลส์ 1263 01:13:28,028 --> 01:13:31,156 ‎ด้วยกลยุทธ์แปลกๆ ‎กับการปล่อยเพลงประกอบ "ซูเปอร์ฟลาย" 1264 01:13:31,240 --> 01:13:33,117 ‎ก่อนที่ตัวหนังจะออกฉาย 1265 01:13:33,951 --> 01:13:36,161 ‎เพราะอัลบั้มกลายเป็นเพลงฮิตในทันที 1266 01:13:36,245 --> 01:13:40,374 ‎เพลงประกอบ "ซูเปอร์ฟลาย" ‎จึงเป็นเหมือนเทียบเชิญไปดูหนัง 1267 01:13:40,999 --> 01:13:44,294 ‎จอห์น แคลลีย์ ‎ผู้บริหารวอร์เนอร์บราเธอร์สในยุค 1970 1268 01:13:44,378 --> 01:13:47,172 ‎บอกผมว่าเขาคิดว่า ‎"ซูเปอร์ฟลาย" ได้สร้างกระแส 1269 01:13:47,256 --> 01:13:50,008 ‎โดยการใช้เพลงประกอบ ‎สร้างความตื่นเต้นให้หนัง 1270 01:13:50,092 --> 01:13:52,428 ‎ก่อนจะออกฉายในโรง 1271 01:13:53,053 --> 01:13:55,013 ‎สัมผัสในเพลงประกอบของเมย์ฟิลด์ 1272 01:13:55,097 --> 01:13:58,308 ‎ที่เล่าเป็นดราม่าและแสดงความเห็น ‎เกี่ยวกับชีวิตของตัวเอก 1273 01:13:58,392 --> 01:14:00,894 ‎ถูกสะท้อนให้เห็นในผลงานที่ดิบเถื่อนสมจริง 1274 01:14:00,978 --> 01:14:03,188 ‎ของช่างภาพเจมส์ ซิญญอเรลลี่ 1275 01:14:03,272 --> 01:14:06,984 ‎หนึ่งในฉากวิ่งไล่ล่าที่ดีที่สุด ‎ในวงการภาพยนตร์ โดยไม่ใช้ตัวแสดงแทน 1276 01:14:07,067 --> 01:14:10,154 ‎ถ่ายทอดเอาไว้ในสไตล์การถ่ายทำ ‎แบบกองโจรโดยซิญญอเรลลี่ 1277 01:14:10,237 --> 01:14:12,948 ‎เขาต้องมีเส้นทางหนี จิมมี่คือคนที่เขาไล่ล่าอยู่ 1278 01:14:20,080 --> 01:14:23,250 ‎เรายืนดูๆ อยู่ แล้วรอนก็บอกว่า ‎"ผมกระโดดข้ามรั้วนั่นไม่ไหว" 1279 01:14:26,712 --> 01:14:29,256 ‎ฉากนั้นเน้นอยู่แค่นั้น การซ้อมมีแค่นั้น 1280 01:14:29,339 --> 01:14:31,800 ‎แน่นอนว่าเทคเดียวผ่าน ผมบอกได้เลย 1281 01:14:31,884 --> 01:14:34,928 ‎มันเป็นการผสมผสานสุนทรียภาพสองอย่าง 1282 01:14:35,012 --> 01:14:38,140 ‎อย่างแรกคือการถ่ายทำสารคดี ‎ที่หลายๆ คนก็ทำอยู่ 1283 01:14:38,640 --> 01:14:42,352 ‎โดยเฉพาะลีค็อก, เพนเนเบเกอร์ ‎เมย์เซิลส์, อะไรพวกนั้น 1284 01:14:42,436 --> 01:14:44,813 ‎ผมเองก็เช่นกัน แล้วก็บ็อบ เอลฟ์สตรอม 1285 01:14:44,897 --> 01:14:48,442 ‎งานที่เราทำเริ่มเผยแพร่เป็นเทคนิค 1286 01:14:48,525 --> 01:14:49,735 ‎ในการถ่ายทำภาพยนตร์ 1287 01:14:49,818 --> 01:14:52,654 ‎โดยเฉพาะการถ่ายทำนอกสตูดิโอ 1288 01:14:53,322 --> 01:14:56,158 ‎วิธีการด้นสดของซิญญอเรลลี่ได้ประยุกต์ใช้ 1289 01:14:56,241 --> 01:14:58,452 ‎กับแอ็กชันอีกแบบในซูเปอร์ฟลาย 1290 01:14:58,535 --> 01:15:02,206 ‎เช่นฉากที่ชีล่า เฟรเซียร์กับพระเอก รอน โอนีล 1291 01:15:02,289 --> 01:15:05,125 ‎ที่ทั้งจริงใจและทุ่มเทให้กับความรักของคนดำ 1292 01:15:05,209 --> 01:15:07,377 ‎ฉันสัมผัสได้จากคุณ ‎ว่าโลกข้างนอกมันเป็นยังไง 1293 01:15:09,338 --> 01:15:10,881 ‎ฉันเห็นว่ามันทำอะไรกับคุณบ้าง 1294 01:15:10,964 --> 01:15:13,759 ‎แล้วฉันก็รู้ว่าปุ๊นช่วยคุณตั้งสติได้ยังไง 1295 01:15:15,135 --> 01:15:17,137 ‎ฉันไม่อยากทำลายความเป็นส่วนตัวของคุณ ที่รัก 1296 01:15:18,347 --> 01:15:20,516 ‎ฉันแค่อยากจะช่วยแบ่งเบา 1297 01:15:21,642 --> 01:15:24,520 ‎ฉันบอกว่า "พอฟองสบู่หายไปแล้ว 1298 01:15:24,603 --> 01:15:28,357 ‎เราต้องหยุดกล้อง เติมฟองใหม่ ‎เพราะฉันไม่อยากถูกเห็นตอนโป๊" 1299 01:15:28,440 --> 01:15:31,360 ‎ฉันไม่รู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ ‎มันยากมากถ้าจะไม่ให้เห็น 1300 01:15:33,195 --> 01:15:37,824 ‎ฉันไม่รู้เลยว่าในรอบปฐมทัศน์ของเรื่องนั้น 1301 01:15:37,908 --> 01:15:40,327 ‎พวกเขาจะฉายฉากนั้นแบบสโลว์โมชัน 1302 01:15:40,410 --> 01:15:43,330 ‎ผมเชื่อว่า ณ จุดหนึ่ง จูดิธ คริสต์บอกว่า 1303 01:15:43,413 --> 01:15:46,792 ‎"นี่คือฉากที่มีรสนิยม ‎และอีโรติกที่สุดในประวัติศาสตร์วงการหนัง" 1304 01:15:48,794 --> 01:15:51,964 ‎ริชาร์ด ราวด์ทรีคือคนที่ช่วยให้ฉันคัดบทผ่าน 1305 01:15:52,464 --> 01:15:56,301 ‎ริชาร์ดบอกว่า ‎"คุณต้องเดินเข้าไปเหมือนบทเป็นของคุณแล้ว" 1306 01:15:57,511 --> 01:15:58,845 ‎ฉันบอก "โอเค ได้เลย" 1307 01:15:58,929 --> 01:16:02,391 ‎ฉันเลยเดินเข้าไป แล้วก็พาดเท้าไว้บนโต๊ะ 1308 01:16:02,474 --> 01:16:04,643 ‎บนโต๊ะของซิก ชอร์ แล้วก็บอกว่า "รู้อะไรไหม 1309 01:16:04,726 --> 01:16:07,229 ‎คุณไม่ต้องคัดคนอื่นแล้ว ‎เพราะหนังเรื่องนี้เป็นของฉัน" 1310 01:16:08,730 --> 01:16:10,607 ‎กอร์ดอนบอกว่า "คุณได้บทไปเลย" 1311 01:16:10,691 --> 01:16:13,986 ‎หลังจากกอร์ดอนบอกว่าฉันได้บท ฉันดีใจมาก 1312 01:16:14,069 --> 01:16:16,822 ‎แล้วเขาก็โทรมาขอโทษ บอกว่า 1313 01:16:16,905 --> 01:16:20,450 ‎"ผมขอโทษจริงๆ ‎แต่ซิก ชอร์อยากได้ลุคอีกแบบน่ะ 1314 01:16:20,534 --> 01:16:22,869 ‎เขาอยากได้ผู้หญิงที่ส่วนเว้าส่วนโค้งชัดๆ" 1315 01:16:22,953 --> 01:16:26,248 ‎ฉันใจสลายมาก ฉันเปลี่ยน… 1316 01:16:26,331 --> 01:16:29,501 ‎ฉันมีโทรศัพท์สองเครื่อง ‎ฉันเปลี่ยนเบอร์ทั้งสองเครื่องเลย 1317 01:16:29,585 --> 01:16:32,504 ‎จะได้ไม่ต้องคุยกับใครอีก 1318 01:16:33,171 --> 01:16:37,384 ‎ประมาณสามเดือนต่อมา ‎มีผู้ชายเดินมาหา เขาบอกว่า 1319 01:16:37,467 --> 01:16:39,928 ‎"ผมเป็นโปรดิวเซอร์" ฉันก็ตอบ "ดีแล้วนี่คะ" 1320 01:16:40,012 --> 01:16:42,764 ‎เขาถามว่า "คุณชื่ออะไร" ฉันก็บอกชื่อเขาไป 1321 01:16:42,848 --> 01:16:43,849 ‎แล้วเขาก็ "คุณพระช่วย 1322 01:16:44,474 --> 01:16:47,185 ‎เราพยายามตามหาคุณมาสามเดือน 1323 01:16:47,269 --> 01:16:49,354 ‎เราพยายามตามหาคุณอยู่" ‎ฉันก็ถาม "เรานี่ใคร" 1324 01:16:49,938 --> 01:16:53,650 ‎เขาบอกว่า "ผมเป็นโปรดิวเซอร์ ‎ของหนังเรื่อง 'ซูเปอร์ฟลาย'" ฉันก็ตอบ… 1325 01:16:55,360 --> 01:16:58,322 ‎พอฉันกลับบ้าน โทรศัพท์ก็ดังไม่หยุด 1326 01:16:58,822 --> 01:17:01,950 ‎จอห์น เคลลี่บอกผมว่าผลลัพธ์คือ "ซูเปอร์ฟลาย" 1327 01:17:02,034 --> 01:17:06,413 ‎โปรเจกต์อิสระที่วอร์เนอร์บราเธอร์ส ‎ซื้อลิขสิทธิ์ไปในราคา 150,000 ดอลลาร์ 1328 01:17:06,496 --> 01:17:09,166 ‎ซึ่งถูกมากแม้จะเป็นมาตรฐานปี 1972 1329 01:17:09,249 --> 01:17:12,961 ‎สร้างรายได้ไปประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ 1330 01:17:13,045 --> 01:17:15,839 ‎"ซูเปอร์ฟลาย" ถูกใจคนขาวจำนวนมาก 1331 01:17:15,922 --> 01:17:18,258 ‎นั่นคือวิธีเดียวที่จะแตะ 19-20 ล้านดอลลาร์ได้ 1332 01:17:18,884 --> 01:17:20,761 ‎เราอยู่ในบอสตัน 17 สัปดาห์ 1333 01:17:20,844 --> 01:17:24,431 ‎แค่สามสัปดาห์เราก็เจอคนดำ ‎หมดเมืองบอสตันแล้ว 1334 01:17:25,182 --> 01:17:28,226 ‎"ซูเปอร์ฟลาย" คำสแลงแทนโคเคนในหมู่นักเสพ 1335 01:17:28,310 --> 01:17:31,480 ‎เป็นเรื่องราวของพ่อค้ายาเสพติดในนิวยอร์กซิตี้ 1336 01:17:31,563 --> 01:17:35,734 ‎วันนี้ อาร์. แอล. ลิฟวิงสตัน ‎แห่งสมาคมอิทธิพลเชิงบวกในฟอร์ตเวิร์ธ 1337 01:17:35,817 --> 01:17:38,403 ‎ได้คัดค้านภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแรง 1338 01:17:38,487 --> 01:17:42,574 ‎ผมไม่รู้ว่าสภานี้ทำอะไรได้บ้าง ‎แต่ผมอยากจะแจ้งให้ท่านทราบ 1339 01:17:42,658 --> 01:17:44,826 ‎เพราะท่านคือสภาเมืองฟอร์ตเวิร์ธ 1340 01:17:44,910 --> 01:17:47,412 ‎และท่านคือตัวแทนของฝ่ายแก้ปัญหาที่นี่ 1341 01:17:47,496 --> 01:17:51,833 ‎ผมหวังว่าท่านจะทำสิ่งนี้ ‎โดยที่ประชาชนไม่ต้อง… 1342 01:17:51,917 --> 01:17:54,836 ‎คว่ำบาตรขยะโสโครกแบบนี้ ‎ในสังคมของเราด้วยตัวเอง 1343 01:17:55,629 --> 01:18:00,801 ‎คุณมองว่าบทของคุณใน "ซูเปอร์ฟลาย" ‎เป็นอิทธิพลด้านบวกหรือด้านลบ 1344 01:18:01,385 --> 01:18:05,013 ‎แน่นอน ผมคิดว่ามันเป็นด้านบวก ‎ไม่งั้นผมคงไม่แสดงเรื่องนี้ 1345 01:18:05,097 --> 01:18:06,640 ‎ตอนเราสร้าง "ซูเปอร์ฟลาย" 1346 01:18:06,723 --> 01:18:10,686 ‎เราสร้างหนังเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นจริงๆ 1347 01:18:11,603 --> 01:18:16,024 ‎เราหวังว่าหนังจะถูกตัดสิน ‎และวิจารณ์ด้วยเกณฑ์นั้น 1348 01:18:16,650 --> 01:18:19,319 ‎แต่จากที่ผมสังเกตเห็นนะ 1349 01:18:19,403 --> 01:18:21,988 ‎"ซูเปอร์ฟลาย" ได้รับคำวิจารณ์ส่วนใหญ่จาก… 1350 01:18:23,115 --> 01:18:25,575 ‎จากบางวงการ 1351 01:18:25,659 --> 01:18:29,329 ‎บางกลุ่ม บางพื้นที่ ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนังเลย 1352 01:18:30,163 --> 01:18:32,916 ‎พวกเขาใช้สังคมคนดำ ‎ในการสร้างหนังเรื่องนี้ตั้งแต่แรก 1353 01:18:33,542 --> 01:18:36,712 ‎เราเบื่อพวกโปรดิวเซอร์ผิวขาว ‎ที่เข้ามาสร้างหนังคนดำ 1354 01:18:36,795 --> 01:18:39,423 ‎แล้วมาฉวยผลประโยชน์กับสังคมคนดำ 1355 01:18:39,506 --> 01:18:42,968 ‎แล้วตัวประกอบผิวดำที่อยู่ในโอ๊กแลนด์ ‎กับเบิร์กลีย์ กับแถวๆ นั้น 1356 01:18:43,051 --> 01:18:45,846 ‎ก็ได้ค่าแรงแค่วันละสิบดอลลาร์ ‎พวกเขาควรได้วันละ 50 ดอลลาร์ 1357 01:18:48,390 --> 01:18:51,935 ‎เพราะผมรู้จักพวกเขาเป็นการส่วนตัว ‎ผมคิดว่าศิลปินทุกคน 1358 01:18:53,145 --> 01:18:54,896 ‎เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ 1359 01:18:54,980 --> 01:18:59,735 ‎ที่เป็นห่วงสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมคนดำ 1360 01:18:59,818 --> 01:19:04,614 ‎แน่นอน เราไม่สามารถสร้างหนังเฉยๆ ได้ 1361 01:19:04,698 --> 01:19:08,034 ‎มีองค์ประกอบอื่นๆ หลายอย่าง ‎ที่ต้องทำในการสร้างภาพยนตร์ 1362 01:19:08,118 --> 01:19:12,080 ‎ที่สำคัญที่สุดในช่วงแรก ‎ผมคิดว่าต้อหามีเงินก้อนใหญ่ก่อน 1363 01:19:14,207 --> 01:19:18,587 ‎นักอเมริกันฟุตบอลที่ผันตัวมาเป็นดารา ‎จิม บราวน์และเฟรด วิลเลียมสัน 1364 01:19:18,670 --> 01:19:21,047 ‎จบปีนั้นด้วยผลงานหนังคนละสองเรื่อง 1365 01:19:21,131 --> 01:19:24,801 ‎ด้วยชื่อหนังอันรีบร้อน ‎ที่ทั้งความหมายเหมือนกันและอธิบายลักษณะ 1366 01:19:24,885 --> 01:19:27,554 ‎เช่นเดียวกับ "ชาฟต์" ‎ที่ภาคต่อ "ชาฟต์สบิ๊กสกอร์" 1367 01:19:27,637 --> 01:19:30,766 ‎ชื่อเรื่องฟังดูเหมือนจะเป็นการผจญภัย ‎ของนักกีฬาที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงได้ 1368 01:19:32,726 --> 01:19:37,063 ‎และหนังเหล่านี้ทั้งสามเรื่องก็ถูกตีตรา ‎อย่างแน่นหนาเป็นหนัง "แบล็กซ์พลอยเทชัน" 1369 01:19:37,147 --> 01:19:41,318 ‎ตราประทับที่ทั้งยอมรับและปฏิเสธ ‎ความเป็นคนดำในเวลาเดียวกัน 1370 01:19:41,818 --> 01:19:44,988 ‎แม้หนังเหล่านี้จะเป็นส่วนสำคัญ ‎ในวัฒนธรรมทางสังคม 1371 01:19:45,071 --> 01:19:46,364 ‎และกระแสนิยมของอเมริกัน 1372 01:19:46,448 --> 01:19:48,909 ‎แต่หนังเหล่านี้แทบไม่เคยถูกพูดถึง ‎ในสื่อกระแสหลักเลย 1373 01:19:48,992 --> 01:19:51,119 ‎แน่นอน นอกจากเพื่อปลุกปั่นความแตกตื่น 1374 01:19:51,203 --> 01:19:56,374 ‎เวลาคิดถึงคำว่า "แบล็กซ์พลอยเทชัน" ‎ผมคิดถึงการนำความเป็นคนดำมาเล่นตลก 1375 01:19:57,501 --> 01:19:59,586 ‎เราจะมัดรวมความเป็นคนดำขายได้ยังไง 1376 01:19:59,669 --> 01:20:05,634 ‎"เอ็กซ์พลอยเทชัน" ฉกฉวยผลประโยชน์ ‎เพราะเป็นนักเขียนผิวขาว โปรดิวเซอร์ผิวขาว 1377 01:20:05,717 --> 01:20:09,262 ‎ผู้กำกับผิวขาว แล้วก็นำมาขายให้สังคมคนดำ 1378 01:20:09,346 --> 01:20:13,558 ‎แล้วสังคมคนดำก็ชื่นชอบ ‎จนพวกเขาทำเงินได้มหาศาล 1379 01:20:14,309 --> 01:20:15,602 ‎แต่เราไม่ได้เงิน 1380 01:20:17,229 --> 01:20:18,980 ‎นั่นไม่ใช่การฉวยผลประโยชน์เหรอ 1381 01:20:19,981 --> 01:20:24,611 ‎แม้การตีตรา "แบล็กซ์พลอยเทชัน" ‎มักจะเป็นที่ถกเถียงและประณามบ่อยๆ 1382 01:20:24,694 --> 01:20:27,948 ‎หนังเหล่านี้ก็มักจะสร้าง ‎แรงดึงดูดและผลกำไรได้ 1383 01:20:28,824 --> 01:20:30,617 ‎(หนังดำครองบ็อกซ์ออฟฟิศ) 1384 01:20:31,576 --> 01:20:33,870 ‎หนังกระแสหลักถูกมองเป็นหนังคลาสสิค 1385 01:20:33,954 --> 01:20:36,122 ‎ใช้ดาราผิวขาวที่เบื่อการเป็นฮีโร่ 1386 01:20:36,206 --> 01:20:39,751 ‎กลายเป็นฮีโร่กึ่งตัวร้าย ‎เพื่อเป็นการรับมือกับปัญหานั้น 1387 01:20:39,835 --> 01:20:41,962 ‎และทำให้คนดูหงุดหงิดไปพร้อมกันด้วย 1388 01:20:44,589 --> 01:20:49,427 ‎เรามักสงสัยว่าทำไมไม่มี ‎หนังชื่อ "ดาราดำ" ในยุคนั้น 1389 01:20:49,511 --> 01:20:52,264 ‎พวกเขาทำให้ผู้ชมได้รับผลประโยชน์ ‎จากวิวัฒนาการธรรมชาติอีกครั้ง 1390 01:20:52,848 --> 01:20:56,893 ‎มั่นใจในความสวยหล่อของตัวเอง ‎และสนุกสนานกับการอยู่หน้ากล้อง 1391 01:20:58,645 --> 01:21:01,523 ‎แน่นอน ในฉากห้าตระกูล ‎จาก "เดอะก็อดฟาเธอร์" 1392 01:21:01,606 --> 01:21:04,943 ‎การที่ฟรานซิส คอปโปลาแสดงความคิดตื้น ‎ของตัวละครเหล่านี้ในฉากนี้ 1393 01:21:05,026 --> 01:21:08,947 ‎ชัดเจนว่าหมายถึงการตราหน้าพวกเขา ‎ไม่ใช่การยอมรับในความคิด 1394 01:21:09,030 --> 01:21:12,409 ‎ในเมืองของผม ‎เราใช้พวกผิวมืด ผิวสีเป็นคนส่งยา 1395 01:21:12,993 --> 01:21:16,037 ‎ยังไงพวกนั้นก็เดรัจฉาน ‎ก็ปล่อยให้พวกมันไปตายกันซะเลย 1396 01:21:16,121 --> 01:21:19,124 ‎ถึงอย่างนั้น แม้จะเข้าใจถึงเจตนาของหนัง 1397 01:21:19,207 --> 01:21:21,501 ‎ความคิดนั้นมันก็อาจจะทำใจฟังได้ยาก 1398 01:21:21,585 --> 01:21:24,337 ‎แต่มันก็ตั้งคำถามที่หนังคนดำหลายเรื่องได้ตอบ 1399 01:21:24,421 --> 01:21:26,590 ‎ซึ่งแสดงถึงความเสื่อมถอยจากยาเสพติด 1400 01:21:26,673 --> 01:21:27,841 ‎ไม่ ให้ตายสิวะ 1401 01:21:31,720 --> 01:21:34,389 ‎(เฮลล์อัปอินฮาร์เล็ม (1973) ‎ผู้กำกับ แลร์รี่ โคเฮน) 1402 01:21:34,472 --> 01:21:38,268 ‎หนังคนดำได้ร้างชนชั้นนักรบ ‎ในจุดที่ไม่เคยมีมาก่อน 1403 01:21:38,351 --> 01:21:42,272 ‎คนดูผิวดำไม่ต้องกลั่นกรองเรื่องราว ‎เพื่อหานัยยะแฝง 1404 01:21:42,355 --> 01:21:45,859 ‎ที่อธิบายว่าทำไมตัวละครผิวดำ ‎ถึงมีแต่บทประกอบเล็กๆ น้อยๆ 1405 01:21:45,942 --> 01:21:48,778 ‎ตอนนี้พวกเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ‎ด้วยสิทธิตามธรรมชาติ 1406 01:21:48,862 --> 01:21:52,657 ‎และในยุคที่ฮีโร่กระแสหลักมีเพียงบอนด์ 1407 01:21:52,741 --> 01:21:57,245 ‎เจมส์ บอนด์ที่ในปี 1973 ‎007 ภาคของโรเจอร์ มัวร์ 1408 01:21:57,329 --> 01:21:59,915 ‎มีฉากการเผชิญหน้าฉีกหน้ากาก ‎ตัวร้ายผิวดำคนแรกของซีรีส์ 1409 01:21:59,998 --> 01:22:04,085 ‎และยังเป็นคนเดียวจนถึงตอนนี้ ‎รับบทโดยยาเฟต คอตโต้ 1410 01:22:04,169 --> 01:22:07,047 ‎ในโลกของบอนด์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 1411 01:22:09,466 --> 01:22:10,592 ‎เห็นหมดเลยนะ 1412 01:22:12,427 --> 01:22:15,472 ‎หนังคนดำถ่ายทอด ‎ความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเมืองชั้นใน 1413 01:22:15,555 --> 01:22:18,099 ‎ภัยร้ายจากอาชญากรรม และสงครามยาเสพติด 1414 01:22:18,183 --> 01:22:21,978 ‎เพียงแต่ในหนังเหล่านี้ ‎ตัวแสดงนำชาวแอฟริกันอเมริกันสู้กลับ 1415 01:22:22,062 --> 01:22:23,855 ‎เป็นที่เข้าใจกันว่าตำรวจคงไม่ช่วย 1416 01:22:24,356 --> 01:22:26,816 ‎ตำรวจมักจะเมินเฉยพอๆ กับทุจริต 1417 01:22:27,400 --> 01:22:30,904 ‎จิม บราวน์กลับมารับบทสลอเตอร์ ‎ตัวละครที่ใช้คำกริยาเป็นนามสกุล 1418 01:22:30,987 --> 01:22:32,489 ‎ใน "สลอเตอร์สบิ๊กริปออฟ" 1419 01:22:32,572 --> 01:22:35,158 ‎ซึ่งเติมเต็มด้วยเพลงฟังก์เพลงเดียวอันมีชีวิตชีวา 1420 01:22:35,241 --> 01:22:37,327 ‎กับผลงานเพลงประกอบแรกๆ ของเจมส์ บราวน์ 1421 01:22:38,161 --> 01:22:41,414 ‎ใน "ฮิต" บิลลี่ ดี วิลเลียมส์ ‎รับบทเจ้าหน้าที่ซีไอเอ 1422 01:22:41,498 --> 01:22:44,042 ‎ที่รวมกลุ่มคนเจ็บเดินได้ที่เป็นไปได้ยาก 1423 01:22:44,125 --> 01:22:46,920 ‎มาช่วยสู้แก้แค้นส่วนตัวกับแก๊งค้ายาข้ามชาติ 1424 01:22:47,003 --> 01:22:48,630 ‎เขาเสียลูกสาวให้ยาเสพติด 1425 01:22:48,713 --> 01:22:50,507 ‎ฆ่าฉันไปแล้วแกจะได้อะไร 1426 01:22:52,133 --> 01:22:53,259 ‎ฉันก็แค่คนทำงาน 1427 01:22:53,843 --> 01:22:58,306 ‎จริงๆ มันต้องใช้ความคิดแบบที่ว่า 1428 01:22:58,890 --> 01:23:03,311 ‎เขาสามารถใช้ใครก็ได้ที่ต้องใช้ 1429 01:23:03,395 --> 01:23:06,940 ‎เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ 1430 01:23:09,651 --> 01:23:11,111 ‎มันน่าสนใจมาก 1431 01:23:11,611 --> 01:23:16,324 ‎ในแง่ที่ว่าหนุ่มผิวน้ำตาลตัวเล็กๆ อย่างผม 1432 01:23:16,408 --> 01:23:19,119 ‎ไม่เคยได้มีโอกาสทำอะไรแบบนั้นมาก่อน 1433 01:23:20,078 --> 01:23:22,789 ‎และการที่ซิดนีย์อยากให้ผมรับบทตัวละครนั้น 1434 01:23:22,872 --> 01:23:24,708 ‎รู้สึกว่าผมเหมาะกับตัวละครนั้น 1435 01:23:24,791 --> 01:23:27,669 ‎ผมก็พยายามใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุด 1436 01:23:28,712 --> 01:23:30,213 ‎อีกครั้ง มันเป็นโอกาส 1437 01:23:30,296 --> 01:23:34,092 ‎ที่ผมได้แสดงด้านที่ปกติคงไม่ได้เห็นในจอ 1438 01:23:34,634 --> 01:23:37,721 ‎ผมว่ามันช่วยเสริมด้านอ่อนแอ ‎ผมกำลังคิดถึงด้านอ่อนแอพอดี 1439 01:23:38,346 --> 01:23:43,518 ‎มันทำให้ตัวละครเป็นมากกว่าแค่คนที่เหี้ยมโหด 1440 01:23:46,813 --> 01:23:49,649 ‎"กอร์ดอนส์วอร์" เป็นเรื่องของ ‎กลุ่มทหารผ่านศึกผิวดำจากสงครามเวียดนาม 1441 01:23:49,733 --> 01:23:53,403 ‎ที่ใช้ทักษะของพวกเขาต่อต้านแก๊งค้ายาเสพติด 1442 01:23:53,486 --> 01:23:56,823 ‎เรื่องนี้มีจุดสูงสุดของงานภาพ ‎ที่น่าตื่นตาสองสามฉาก 1443 01:23:56,906 --> 01:23:59,617 ‎ที่ถูกนำมาใช้ในหนังเรื่องอื่นๆ หลังจากนั้นมา 1444 01:23:59,701 --> 01:24:01,786 ‎"นิวแจ็คซิตี้" คือหนึ่งในนั้น 1445 01:24:01,870 --> 01:24:05,999 ‎เพลงประกอบโดยแองโจล บาดาลาเมนติ ‎ที่ต่อมาได้ร่วมงานกับเดวิด ลินช์ 1446 01:24:06,666 --> 01:24:07,584 ‎มีไฟแช็กไหม 1447 01:24:07,667 --> 01:24:10,378 ‎ฉากแอ็คชันแบบแมคกายเวอร์นี้ ‎ที่ใช้กระป๋องสเปรย์ 1448 01:24:10,462 --> 01:24:13,548 ‎ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการอุปมา ‎กับอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 1449 01:24:13,631 --> 01:24:16,509 ‎ถูกนำมาใช้ในหนังแอ็คชันหลายเรื่อง 1450 01:24:20,180 --> 01:24:22,766 ‎ผู้ชมทุกสีผิวมาดูหนังเหล่านี้ 1451 01:24:22,849 --> 01:24:25,685 ‎เพราะพวกเขาสัมผัสได้ ‎ถึงอะดรีนาลินในตัวนักแสดง 1452 01:24:25,769 --> 01:24:30,565 ‎หลายคนมาจากละครเวที ‎และสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นในการทำงาน 1453 01:24:30,648 --> 01:24:33,818 ‎รองชนะเลิศอันดับสอง พริตตี้โทนี่ 1454 01:24:33,902 --> 01:24:36,988 ‎ตัวอย่างเช่น ใน "เดอะแม็ค" ‎บทพริตตี้โทนี่ของดิค แอนโทนี่ วิลเลียมส์ 1455 01:24:37,072 --> 01:24:40,575 ‎ก็น่าสนใจไม่แพ้ตัวละครอื่นๆ ‎ในหนังมาเฟียยุค 1930 1456 01:24:40,658 --> 01:24:43,661 ‎เขาบอกว่าฉากด้นสดของเขา ‎มาจากการที่เขาอยากถ่ายทอด 1457 01:24:43,745 --> 01:24:46,081 ‎เอ็ดเวิร์ด จี. โรบินสันเวอร์ชันคนในเมือง 1458 01:24:46,164 --> 01:24:49,125 ‎ปรับให้ทันสมัยด้วยสำนวนภาษา ‎ที่เขาได้ยินสมัยเด็กๆ 1459 01:24:50,668 --> 01:24:53,963 ‎ไอ้มืด คราวหน้าที่นายได้ยินผู้ใหญ่พูด 1460 01:24:54,047 --> 01:24:55,632 ‎หุบปากตัวเองไปซะ เข้าใจไหม 1461 01:24:55,715 --> 01:24:58,760 ‎อิทธิพลของความเป็นชายเหนือชาย ‎ที่ถ่ายทอดได้กระชับ 1462 01:24:58,843 --> 01:25:02,847 ‎ยังสัมผัสได้ในอีกหลายสิบปีต่อมา ‎ในบทที่เหมือนเขียนมาให้นักแสดงผิวดำ 1463 01:25:02,931 --> 01:25:04,557 ‎แต่คนดำไม่ได้พูด 1464 01:25:04,641 --> 01:25:06,601 ‎- ให้ฉันยิงหมอนี่ไหม ‎- ให้ตายสิ 1465 01:25:07,560 --> 01:25:10,563 ‎ถ้านายฝันว่ายิงฉัน นายต้องตื่นมาขอโทษ 1466 01:25:14,317 --> 01:25:16,111 ‎มีการแสดงถ่ายทอดเอ็ดเวิร์ด จี. โรบินสัน 1467 01:25:16,194 --> 01:25:18,863 ‎ที่เจาะจงลึกไปอีกขั้นใน "แบล็คซีซาร์" 1468 01:25:18,947 --> 01:25:22,325 ‎ไม่มีใครมองฉัน ‎ไม่มีใครมองหน้า จมูก เท้าพังๆ ของฉัน 1469 01:25:23,034 --> 01:25:24,577 ‎ทุกคนรู้แค่ว่าฉันดำ 1470 01:25:26,079 --> 01:25:30,583 ‎ลองคิดดูว่าถ้าคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้โคเฮน ‎เขียนบท "แบล็คซีซาร์" แซมมี่ เดวิส จูเนียร์ 1471 01:25:30,667 --> 01:25:33,044 ‎ได้แสดงในผลงานที่เขาจุดประกายขึ้น 1472 01:25:33,128 --> 01:25:36,005 ‎แต่ลงท้าย โคเฮนก็ให้บทแบล็คซีซาร์ ‎กับเฟรด วิลเลียมสัน 1473 01:25:36,881 --> 01:25:39,759 ‎ตอนที่เขาขอให้ประธานสตูดิโอ ‎พิจารณาความต่างของรูปร่าง 1474 01:25:39,843 --> 01:25:41,427 ‎ระหว่างวิลเลียมสันกับเดวิส 1475 01:25:41,511 --> 01:25:43,763 ‎ประธานสตูดิโอคิดอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วบอกว่า 1476 01:25:44,264 --> 01:25:45,306 ‎"ให้เฟรดเดินขาเป๋สิ" 1477 01:25:50,145 --> 01:25:53,523 ‎สารคดีคอนเสิร์ตปี 1973 "เซฟเดอะชิลเดรน" 1478 01:25:53,606 --> 01:25:56,985 ‎ถ่ายทำในการเดินขบวน ‎โอเปอเรชันพุชเมื่อปี 1972 1479 01:25:57,068 --> 01:26:01,364 ‎มีดาราปรากฏตัว ‎ตั้งแต่เจสซี่ แจ็คสันไปจนถึงแจ็คสันไฟว์ 1480 01:26:01,990 --> 01:26:05,201 ‎ตั้งแต่แนนซี่ วิลสันไปจนถึงซูเลมา 1481 01:26:05,285 --> 01:26:07,704 ‎นำดนตรีกับการเมืองหัวก้าวหน้ามารวมกัน 1482 01:26:07,787 --> 01:26:10,081 ‎นั่นเป็นงานที่จัดได้อย่างยิ่งใหญ่ 1483 01:26:12,375 --> 01:26:17,005 ‎เราเริ่มจากศิลปินโมทาวน์ ‎พอเราจองคิวมาร์วิน เกย์ 1484 01:26:17,088 --> 01:26:18,214 ‎เทมป์เทชันส์ 1485 01:26:18,298 --> 01:26:20,800 ‎แกลดิส ไนต์แอนด์เดอะพิปส์ ศิลปินพวกนั้น 1486 01:26:20,884 --> 01:26:23,344 ‎มันก็เริ่มกลายเป็นงานเกี่ยวกับคนที่อยากทำ 1487 01:26:23,428 --> 01:26:28,308 ‎แล้วคลาเรนซ์ก็มีบริษัทค่ายเพลง ‎เขามีบิล วิทเธอร์ส, แนนซี่ วิลสัน 1488 01:26:28,391 --> 01:26:29,934 ‎กับแซมมี่ เดวิส จูเนียร์ 1489 01:26:30,018 --> 01:26:33,062 ‎ควินซี่มีส่วนกับงานอยู่แล้ว ‎เขาเลยไปชวนโรเบอร์ต้า แฟล็ค 1490 01:26:33,146 --> 01:26:36,566 ‎แล้วเขาก็ตั้งวงประจำที่เป็นวงรวมดารา 1491 01:26:38,026 --> 01:26:42,113 ‎แล้วงานนี้ก็กลายเป็นงานรวมตัวที่น่าทึ่ง 1492 01:26:42,197 --> 01:26:46,159 ‎(สโมกกี้ โรบินสัน) 1493 01:26:46,242 --> 01:26:47,952 ‎งานใหญ่เลย ยิ่งใหญ่มาก 1494 01:26:48,036 --> 01:26:50,371 ‎แล้วก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก 1495 01:26:50,455 --> 01:26:53,416 ‎เพราะนักดนตรีทุกคนอยู่ในยุครุ่งเรือง 1496 01:27:02,175 --> 01:27:08,181 ‎ถึงขั้นที่ระดับความเป็นศิลปิน ‎พุ่งทะลุเพดานเลย มันเหลือเชื่อมาก 1497 01:27:09,432 --> 01:27:12,727 ‎ตัวละครหญิงผิวดำต่างมุ่งมั่นให้คนยอมรับ 1498 01:27:12,810 --> 01:27:15,188 ‎ไม่ใช่แค่เพราะได้อยู่ใกล้ผู้ชาย 1499 01:27:15,939 --> 01:27:17,982 ‎เลิกเป็นสาวให้ควงแขนที่ยอมทุกอย่าง 1500 01:27:18,066 --> 01:27:20,944 ‎แต่พวกเธอยังลุยแหลก ‎กับตัวแสดงแทนเป็นกองทัพ 1501 01:27:21,736 --> 01:27:24,447 ‎นั่นคือปราการด่านสุดท้าย ‎สำหรับนักแสดงผิวดำ 1502 01:27:24,530 --> 01:27:27,033 ‎และได้กำหนดนิยามของความเป็นฮีโร่ 1503 01:27:27,116 --> 01:27:29,535 ‎ที่ทำให้เผชิญหน้าสู้ตรงๆ ได้ ‎แทนที่จะยอมเสียสละ 1504 01:27:30,161 --> 01:27:33,456 ‎ก่อนหน้านี้ หนังมักจะรวมความเป็นหญิงดำ 1505 01:27:33,539 --> 01:27:35,416 ‎กับความมาโซคิสม์แบบเพ้อฝัน 1506 01:27:35,500 --> 01:27:39,504 ‎สิ่งที่ผู้ชมได้เห็นคือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน 1507 01:27:40,046 --> 01:27:42,799 ‎หนังคนดำคือวิวัฒนาการ 1508 01:27:42,882 --> 01:27:45,551 ‎มันไม่ใช่สิ่งที่จะโผล่ออกมาโดยอัตโนมัติ 1509 01:27:45,635 --> 01:27:48,805 ‎แล้วทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ทันที ‎เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้นได้ 1510 01:27:48,888 --> 01:27:52,267 ‎ทุกสิ่งต้องใช้เวลา ‎ความก้าวหน้าต้องเป็นไปอย่างช้าๆ 1511 01:27:52,350 --> 01:27:55,019 ‎เพื่อให้มันเป็นการถาวรและให้ประโยชน์ 1512 01:27:55,103 --> 01:27:56,688 ‎ดังนั้นมันต้องใช้เวลาสักพัก 1513 01:27:56,771 --> 01:28:00,483 ‎ยังมีอีกหลายแง่มุมที่ยังไม่เป็นความจริง 1514 01:28:00,566 --> 01:28:02,443 ‎สำหรับนักแสดงผิวดำ 1515 01:28:02,986 --> 01:28:07,282 ‎แล้วทุกอย่างก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน ‎ฉันเป็นนักแสดงหน้าใหม่ 1516 01:28:07,365 --> 01:28:10,159 ‎ฉันเพิ่งเริ่มทำงาน 1517 01:28:10,243 --> 01:28:12,787 ‎ยังมีงานอีกหลายแง่มุมที่ฉันยังไม่ได้ลอง 1518 01:28:12,870 --> 01:28:14,789 ‎ฉันยังต้องฝึกอบรบอีกเยอะ 1519 01:28:14,872 --> 01:28:17,375 ‎ก่อนจะเรียกตัวเองว่านักแสดงได้เต็มปาก 1520 01:28:17,959 --> 01:28:19,585 ‎ลอว์เรนซ์ โอลิวิเยร์เคยกล่าวไว้ 1521 01:28:19,669 --> 01:28:22,714 ‎"ตอนหนุ่มๆ คุณจะห้าวเกินจะเล่นบทฮีโร่ 1522 01:28:22,797 --> 01:28:25,383 ‎คุณปฏิเสธมัน แต่พอเริ่มมีอายุ 1523 01:28:25,466 --> 01:28:28,553 ‎คุณจะเข้าใจถึงความงาม ‎ที่เห็นภาพชัดเจนของความเป็นฮีโร่" 1524 01:28:28,636 --> 01:28:32,098 ‎นักแสดงผิวดำไม่ใช่แค่เข้าใจ ‎ในความงามนั้น พวกเขาอ้าแขนรับ 1525 01:28:32,181 --> 01:28:35,143 ‎เพราะความปรารถนาฮีโร่ของสังคม 1526 01:28:35,226 --> 01:28:39,272 ‎อเมริกาในสภาวะแห่งความไม่แน่นอน ‎ยอมรับฮีโร่ผิวดำเหล่านั้น 1527 01:28:39,355 --> 01:28:44,277 ‎ที่ถูกถ่ายทอดลงในจอ ‎ด้วยเพลงประกอบที่ระทึกและให้เกียรติ 1528 01:28:44,360 --> 01:28:47,905 ‎อย่าลืมนะครับ "ชาฟต์" ‎คือหนังที่ช่วยเอ็มจีเอ็มจากการล้มละลาย 1529 01:28:47,989 --> 01:28:51,159 ‎และหน้าใหม่คนล่าสุด ‎ในกลุ่มนักแสดงผู้เหนือธรรมดา 1530 01:28:51,242 --> 01:28:55,288 ‎ที่สร้างนิยามใหม่ให้ความสำเร็จ ‎และเกียรติยศในวงการหนัง คือแพม เกรียร์ 1531 01:28:55,371 --> 01:29:00,001 ‎ในช่วงปี 1970-1973 เธอแสดงหนังเจ็ดเรื่อง 1532 01:29:00,084 --> 01:29:02,712 ‎โดยได้มีเวลาออกจอนานขึ้นในทุกๆ บท 1533 01:29:02,795 --> 01:29:05,631 ‎บทความในนิตยสารเอสไควร์ยุค 1970 1534 01:29:05,715 --> 01:29:08,926 ‎เกี่ยวกับเหล่าดาวรุ่ง ‎ที่จะได้เปลี่ยนแปลงวงการหนัง 1535 01:29:09,010 --> 01:29:12,305 ‎กลุ่มที่มีทั้งสตีเวน สปีลเบิร์ก ‎ที่เพิ่งจบการถ่ายทำ "จอว์ส" 1536 01:29:12,388 --> 01:29:16,100 ‎และจอร์จ ลูคัสที่สู้ ‎เพื่อสร้างหนังที่ชื่อ "สตาร์วอร์ส" 1537 01:29:16,184 --> 01:29:19,562 ‎แพม เกรียร์เป็นหนึ่งในนักแสดงไม่กี่คน ‎ที่ถูกพูดถึงในบทความนั้น ด้วยคำบรรยายว่า 1538 01:29:19,645 --> 01:29:22,523 ‎"หนึ่งในสามนักแสดงหญิง ‎ที่หนังของเธอทำเงินได้สม่ำเสมอ 1539 01:29:22,607 --> 01:29:24,942 ‎อีกสองคนชื่อว่าบาร์บราและลิซ่า" 1540 01:29:25,026 --> 01:29:28,988 ‎เกรียร์บอกว่า "ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียว ‎ในหนังสมัยนี้ที่ไม่ได้เป็นเหยื่อ 1541 01:29:29,072 --> 01:29:33,242 ‎ความมุ่งมั่นคือกุญแจสำคัญ ‎ในการแสดงบทอย่างผู้หญิงบ้าคลั่งครึ่งเสือดำ" 1542 01:29:33,326 --> 01:29:34,952 ‎ตามที่บทความนั้นเขียนไว้ 1543 01:29:35,036 --> 01:29:37,830 ‎ในปี 1973 เธอได้แสดงใน ‎"สกรีมแบล็คคิวลาสกรีม" 1544 01:29:37,914 --> 01:29:40,291 ‎คนพาชมงานน่ารักขนาดนี้ 1545 01:29:40,375 --> 01:29:43,044 ‎ผมกลัวว่าจะไม่มีสมาธิกับงานศิลปะ 1546 01:29:44,170 --> 01:29:45,505 ‎ชิ้นนั้นเป็นไงคะ 1547 01:29:46,547 --> 01:29:48,216 ‎และ "แบล็คมาม่าไวต์มาม่า" 1548 01:29:48,299 --> 01:29:51,135 ‎ช่างมันเถอะน่า รีบไปได้แล้ว 1549 01:29:56,641 --> 01:29:59,560 ‎แต่เป็นเรื่อง "คอฟฟี่" ‎ที่เธอได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นดาราหนัง 1550 01:29:59,644 --> 01:30:02,647 ‎โทนี่ มอร์ริสันเคยบอกผมว่า ‎"การเรียกตัวละครของเกรียร์ 1551 01:30:02,730 --> 01:30:05,775 ‎อย่างคอฟฟี่ว่า 'ขาโหด' ‎ถือเป็นการปฏิเสธเธอ 1552 01:30:05,858 --> 01:30:07,819 ‎มันด้อยค่าเธอในฐานะนักแสดง" 1553 01:30:07,902 --> 01:30:10,279 ‎ที่สำคัญกว่านั้น เธอคิดว่าการแสดงของเกรียร์ 1554 01:30:10,363 --> 01:30:13,658 ‎เล่นประเด็นความซับซ้อนทางศีลธรรม ‎ที่ผู้หญิงผิวดำถูกคาดหวัง 1555 01:30:13,741 --> 01:30:16,369 ‎ผลกระทบจากการรักษาสมดุลทางศีลธรรม 1556 01:30:16,452 --> 01:30:19,414 ‎ขณะที่ตั้งตัวเองเป็นศาลเตี้ยจัดการกับคนทรยศ 1557 01:30:19,497 --> 01:30:22,708 ‎เห็นชัดในการแสดงของเธอ ‎ในฉากที่แก้แค้นให้น้องสาว 1558 01:30:22,792 --> 01:30:25,169 ‎เป็นการเปรียบเปรยถึง ‎การสลับบทบาทของผู้หญิงผิวดำ 1559 01:30:25,253 --> 01:30:28,214 ‎เช่นการที่ต้องเป็นทั้งผู้ปกป้อง ‎และผู้เลี้ยงดูไปพร้อมๆ กัน 1560 01:30:28,297 --> 01:30:30,341 ‎- ไม่เอาน่า ‎- ฮาววี่ ทำอะไรน่ะ 1561 01:30:31,134 --> 01:30:32,301 ‎กลับมานอนเถอะ… 1562 01:30:36,472 --> 01:30:39,809 ‎คอฟฟี่ที่รัก คุณต้องเข้าใจ ผมนึกว่าคุณตายไปแล้ว 1563 01:30:42,812 --> 01:30:45,106 ‎แต่มักจะตัวคนเดียวในท้ายที่สุด 1564 01:30:46,149 --> 01:30:48,693 ‎ถึงอย่างนั้นก็ยังเดินหน้าต่อไป ‎โดยหวังว่าจะได้เข้าสังคม 1565 01:30:48,776 --> 01:30:50,027 ‎เธอคงจะเป็นอัครทูตสวรรค์ 1566 01:30:50,111 --> 01:30:51,904 ‎ที่ช่วยเหลือผู้คนของเธอจากวันสิ้นโลก 1567 01:30:52,405 --> 01:30:54,824 ‎เธออยู่เคียงข้างชาวแอฟริกันอเมริกันเสมอ 1568 01:30:55,658 --> 01:30:58,494 ‎"คอฟฟี่" ให้เกรียร์ได้มีฉากสุดท้ายที่ได้โล่งใจ 1569 01:30:58,578 --> 01:31:01,247 ‎ในช็อตแบบรูปไปรษณียบัตรเวอร์ชันใหม่ 1570 01:31:02,748 --> 01:31:06,294 ‎ในปี 1973 เราอยู่ในยุคของโอกาสที่ผิดพลาด 1571 01:31:06,377 --> 01:31:09,922 ‎เช่น "ชาฟต์อินแอฟริกา" ‎และกระแสตอบรับต่อหนังแอ็คชันคนำด 1572 01:31:10,006 --> 01:31:13,301 ‎อย่างหนังจากละครเวที ‎"ไฟว์ออนเดอะแบล็คแฮนด์ไซด์" 1573 01:31:13,384 --> 01:31:15,052 ‎ที่มีกลินน์ เทอร์แมนในวัยหนุ่มแสดงนำก็ไม่ดีนัก 1574 01:31:15,136 --> 01:31:16,888 ‎มันรู้สึกยังไงน่ะเหรอ 1575 01:31:18,931 --> 01:31:21,684 ‎รู้สึกเหมือนผ่านมานานเป็นชาติแล้ว บอกตามตรง 1576 01:31:21,767 --> 01:31:26,022 ‎มันน่าทึ่งนะที่ทุกอย่างเกิดขึ้นตอนนั้น 1577 01:31:27,732 --> 01:31:32,987 ‎แล้วผมก็ได้ร่วมงานกับคนดังๆ ที่แสนวิเศษ 1578 01:31:33,779 --> 01:31:34,614 ‎นึกออกไหม 1579 01:31:35,531 --> 01:31:36,699 ‎แล้วมันก็… 1580 01:31:37,950 --> 01:31:39,494 ‎มันเป็นประวัติศาสตร์ ที่… 1581 01:31:41,078 --> 01:31:44,832 ‎เราไม่ได้เข้าไปแสดง ‎โดยที่คิดว่ามันจะสำคัญอะไร 1582 01:31:46,209 --> 01:31:47,335 ‎มันแค่เป็น… 1583 01:31:48,586 --> 01:31:49,629 ‎ความอยู่รอด 1584 01:31:50,421 --> 01:31:51,339 ‎เรายังเด็ก 1585 01:31:52,048 --> 01:31:54,675 ‎เราพยายามจะแจ้งเกิดในวงการ 1586 01:31:54,759 --> 01:31:56,511 ‎พยายามจะสร้างชื่อให้ตัวเอง 1587 01:31:56,594 --> 01:31:58,679 ‎สร้างการยอมรับให้ตัวเองในวงการนี้ 1588 01:31:59,430 --> 01:32:03,059 ‎และยังมีหนังที่เหมือนคำตอบของปริศนา 1589 01:32:03,142 --> 01:32:05,228 ‎คุณจะได้อะไรถ้าให้โอกาสพระเอก 1590 01:32:05,311 --> 01:32:07,980 ‎จากซิตคอมสงครามโลกครั้งที่สอง ‎ที่ห่วยแตกและย่ำแย่ 1591 01:32:08,064 --> 01:32:10,775 ‎กับมือตัดต่อละครเรื่องนั้นทำหนังโรงสักเรื่อง 1592 01:32:10,858 --> 01:32:15,321 ‎ไอแวน ดิกสันที่ลาออกจาก "โฮแกนส์ฮีโร่ส์" ‎กับไมเคิล คาห์น มือตัดต่อของละครเรื่องนั้น 1593 01:32:15,404 --> 01:32:17,448 ‎ได้ร่วมงานกันครั้งแรกใน "ทรับเบิลแมน" 1594 01:32:17,532 --> 01:32:19,909 ‎แต่โปรเจก์ในฝันของดิกสันเป็นการดัดแปลง 1595 01:32:19,992 --> 01:32:24,789 ‎นิยายเสียดสีโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง ‎"เดอะสปู๊กฮูแซตบายเดอะดอร์" 1596 01:32:24,872 --> 01:32:27,375 ‎ซึ่งชายผิวดำที่ซีไอเอดึงตัวเข้ามา 1597 01:32:27,458 --> 01:32:31,379 ‎นำกลยุทธ์ของหน่วยไปใช้ในเมือง ‎และสร้างการปฏิวัติขึ้น 1598 01:32:31,462 --> 01:32:34,507 ‎การดิ้นรนตลอดหลายปีของดิกสัน ‎เพื่อสร้างหนังเรื่องนี้ให้สำเร็จ 1599 01:32:34,590 --> 01:32:35,716 ‎สามารถทำเป็นหนังได้เลย 1600 01:32:36,342 --> 01:32:38,636 ‎ในที่สุดเขาก็ระดมทุนสร้างหนังได้ครึ่งเรื่อง 1601 01:32:38,719 --> 01:32:41,347 ‎และนำฉากแอ็คชันไปโชว์ ‎เพื่อดึงดูความสนใจจากสตูดิโอ 1602 01:32:41,430 --> 01:32:45,226 ‎สงครามประมูลที่ยูไนเต็ดอาร์ติสต์สชนะไป ‎ทำให้เขาได้ทุนสร้างอีกครึ่ง 1603 01:32:46,227 --> 01:32:49,438 ‎ดิกสันเล่าว่าทางสตูดิโอตกตะลึงกับหนัง 1604 01:32:49,522 --> 01:32:52,567 ‎ที่พวกเขากลัวว่าอาจจะก่อให้เกิด ‎การจลาจลและฟ้องร้องในชีวิตจริง 1605 01:32:52,650 --> 01:32:54,652 ‎แทนที่จะเป็นจลาจลในบ็อกซ์ออฟฟิศ 1606 01:32:55,152 --> 01:32:58,739 ‎เรื่องนี้มีบทพูดที่ผมคิดว่า ‎ควรอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ 1607 01:32:58,823 --> 01:33:01,492 ‎เทียบเท่ากับ "ข้อเสนอที่เขาปฏิเสธไม่ได้" 1608 01:33:02,577 --> 01:33:03,411 ‎จำไว้นะ 1609 01:33:04,078 --> 01:33:07,039 ‎ชายคนดำถือไม้ถูพื้น ที่โกยขยะ หรือไม้กวาด 1610 01:33:07,707 --> 01:33:10,001 ‎สามารถไปได้เกือบทุกที่ในประเทศนี้ 1611 01:33:10,543 --> 01:33:12,003 ‎และคนดำที่ยิ้มแย้ม 1612 01:33:12,753 --> 01:33:13,879 ‎ก็ล่องหนได้ 1613 01:33:13,963 --> 01:33:18,259 ‎บทพูดนี้ได้รับเสียงปรบมือลั่นโรง ‎ตอนที่ผมไปดูที่ดีทรอยต์เมื่อปี 1973 1614 01:33:18,342 --> 01:33:22,346 ‎และยังสร้างกระแสและแรงบันดาลใจ ‎ได้อีกหลายสิบปีต่อมา 1615 01:33:22,430 --> 01:33:25,099 ‎ผมจะตั้งชื่ออัลบั้มสุดท้ายของผมว่า ‎"เดอะสปู๊กฮูแซตบายเดอะดอร์" 1616 01:33:25,182 --> 01:33:26,225 ‎เขาใช้นโยบายขององค์กร 1617 01:33:26,309 --> 01:33:30,146 ‎ที่ต้องมีพี่มืดเป็นตัวแทนในซีไอเอ ‎เพื่อเหตุผลทางการเมือง 1618 01:33:30,229 --> 01:33:31,606 ‎- เราจะพูดกัน… ‎- ค่ะ 1619 01:33:31,689 --> 01:33:32,940 ‎ขวานผ่าซากเลยนะ ช่างแม่ง 1620 01:33:33,524 --> 01:33:34,984 ‎เขาใช้เรื่องนั้นเล่นงานองค์กร 1621 01:33:36,819 --> 01:33:40,281 ‎ดิกสันบอกผมว่า ‎ตอนที่ "สปู๊ก" หมดกำหนดฉายโรง 1622 01:33:40,364 --> 01:33:42,908 ‎ยูไนเต็ดอาร์ติสต์เรียกเขาเข้าประชุมแล้วบอกว่า 1623 01:33:42,992 --> 01:33:45,286 ‎หนังถูกหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ติดตามสืบ 1624 01:33:45,369 --> 01:33:47,288 ‎ซึ่งแปลว่ามีรูปถ่ายผม 1625 01:33:47,371 --> 01:33:50,249 ‎กับเพื่อนสมัยมัธยมปลายอยู่ในซีไอเอ 1626 01:33:50,333 --> 01:33:52,335 ‎หนังเรื่องนี้ได้สร้างกระแสลุกฮือ 1627 01:33:52,418 --> 01:33:56,255 ‎จนดิกสันรู้สึกว่า ‎อาชีพการสร้างหนังโรงของเขาจบลงแล้ว 1628 01:33:56,839 --> 01:33:59,508 ‎หนังเกี่ยวกับการก่อกบฏถูกปฏิบัติ… 1629 01:33:59,592 --> 01:34:01,302 ‎เหมือนเป็นการก่อกบฏจริงๆ 1630 01:34:02,094 --> 01:34:02,970 ‎อย่าล้มเลิก 1631 01:34:04,639 --> 01:34:05,848 ‎จนกว่าจะชนะ 1632 01:34:06,891 --> 01:34:07,850 ‎หรือไม่ก็ตาย 1633 01:34:07,933 --> 01:34:12,104 ‎"เดอะสปู๊กฮูแซตบายเดอะดอร์" ‎ได้สร้างหนังตามแนวระทึกขวัญสายลับ 1634 01:34:12,188 --> 01:34:13,439 ‎โดยใส่มุมมองของคนดำ 1635 01:34:13,522 --> 01:34:18,319 ‎และบีบให้ผู้ชมต้องคิดใหม่ ‎ว่าหนังแนวนั้นมีขอบเขตแคบแค่ไหน 1636 01:34:18,903 --> 01:34:22,948 ‎"กันจาแอนด์เฮสส์" ใช้งานภาพ ‎ที่ทั้งวิจิตรบรรจง หรือสมจริงและรุนแรง 1637 01:34:23,032 --> 01:34:25,409 ‎เพื่อให้อารมณ์ของหนังไหลลื่นได้ตลอดเรื่อง 1638 01:34:26,369 --> 01:34:28,496 ‎(กันจาแอนด์เฮสส์ (1973) ‎ผู้กำกับ บิล กันน์) 1639 01:34:31,040 --> 01:34:32,958 ‎ดเวน โจนส์ ผู้เยือกเย็นและมุ่งมั่น 1640 01:34:33,042 --> 01:34:36,128 ‎ในบทมือปราบปีศาจ ‎ใน "ไนต์ออฟเดอะลิฟวิงเดด" 1641 01:34:36,212 --> 01:34:40,633 ‎ได้รับบทปีศาจในเรื่องนี้ ‎และความมุ่งมั่นในการปกป้องวิญญาณของเขา 1642 01:34:40,716 --> 01:34:44,011 ‎เมื่อหนังเปลี่ยนฉากจากความฝัน ‎เป็นความจริงอันน่าสยดสยอง 1643 01:34:44,095 --> 01:34:46,639 ‎ก็กลายเป็นการเปรียบเปรยถึงชีวิตของบิล กันน์ 1644 01:34:46,722 --> 01:34:48,933 ‎ผู้เขียนบท กำกับ และร่วมนำแสดงของเรื่องนี้ 1645 01:34:49,725 --> 01:34:51,727 ‎ความสยดสยองในชีวิตจริงเกิดขึ้นกับกันน์ 1646 01:34:51,811 --> 01:34:54,730 ‎ที่ได้เห็นผลงานยิ่งใหญ่ของเขา ‎ถูกตัดต่อเป็นหลายๆ เวอร์ชัน 1647 01:34:54,814 --> 01:34:57,692 ‎ฉบับตัดต่อใหม่ที่ชื่อเรื่องห่วยแตกยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ 1648 01:34:58,192 --> 01:35:00,903 ‎เปลี่ยนงานศิลปะของเขาเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ 1649 01:35:00,986 --> 01:35:02,363 ‎(บลัดคัปเปิล) 1650 01:35:02,446 --> 01:35:04,490 ‎กันน์ต่อสู้เพื่อให้ได้ทำงานในวงการหนัง 1651 01:35:04,573 --> 01:35:07,702 ‎แม้หลังจากได้สร้างผลงานกำกับเรื่องแรก ‎ที่ชื่อว่า "สต็อป" 1652 01:35:08,202 --> 01:35:09,662 ‎อิชมาเอล รี้ด เขียนไว้ว่า 1653 01:35:09,745 --> 01:35:13,207 ‎"วอร์เนอร์บราเธอร์สไม่พอใจ 'สต็อป' ‎ถึงขนาดฝังหนังเรื่องนี้เอาไว้ 1654 01:35:13,290 --> 01:35:16,669 ‎และสั่งให้กันน์คืนเงินค่าเขียนบทและกำกับ" 1655 01:35:19,171 --> 01:35:24,135 ‎ปี 1974 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ‎ครั้งใหญ่อีกครั้งสำหรับหนังคนดำ 1656 01:35:24,385 --> 01:35:25,720 ‎(เดอะแบล็คซิกซ์) 1657 01:35:25,803 --> 01:35:27,388 ‎(ทีเอ็นที แจ็คสัน) 1658 01:35:27,471 --> 01:35:29,598 ‎(วิลลี่ ไดนาไมต์) 1659 01:35:29,682 --> 01:35:31,600 ‎อัธยาศัยขี้ตกใจของไดแอนน์ แคร์โรล 1660 01:35:31,684 --> 01:35:34,812 ‎ในบทแม่ลูกหกที่เหนื่อยหน่าย ‎แต่ยังมุ่งมั่นใน "คลอดีน" 1661 01:35:34,895 --> 01:35:39,191 ‎- ขออภัยค่ะ หมายเลขนี้ถูกระงับ ‎- "ระงับ" เหรอ 1662 01:35:39,275 --> 01:35:43,154 ‎ไดแอนน์ แคร์โรล ที่ความสวยของเธอ ‎ลึกซึ้งขึ้นด้วยนิสัยที่สงบเยือกเย็น 1663 01:35:43,237 --> 01:35:45,990 ‎คือหนึ่งในคนที่คว้าโอกาสที่จะเป็นอิสระ 1664 01:35:46,073 --> 01:35:47,450 ‎จากความราบเรียบมีอารยธรรม 1665 01:35:48,534 --> 01:35:52,037 ‎ขอเถอะ ฟรานซิส อย่าเล่นแบบนั้น ‎แกจะทำไฟช็อตตัวเองตาย 1666 01:35:52,538 --> 01:35:56,876 ‎ในบทตัวละครเจ้าของชื่อเรื่องในดราม่าเรื่องนี้ ‎คลอดีนสู้กับระบบสวัสดิการ 1667 01:35:56,959 --> 01:35:59,587 ‎และสังคมในเมืองชิคาโกเพื่อจิตวิญญาณของลูกๆ 1668 01:35:59,670 --> 01:36:03,132 ‎และเธอก็ชนะ เพราะลูกของเธอ ‎ยังมีชีวิตอยู่ครบทุกคนตอนท้ายเรื่อง 1669 01:36:03,215 --> 01:36:07,178 ‎เพราะผลงานของเธอ แคร์โรลได้เข้าชิง ‎รางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม 1670 01:36:07,261 --> 01:36:11,182 ‎"คลอดีน" ได้ประโยชน์จากการเป็นหนัง ‎หนึ่งในห้าที่เคอร์ติส เมย์ฟิลด์แต่งเพลงประกอบ 1671 01:36:11,766 --> 01:36:14,435 ‎นั่นคือวัฏจักรเพลงที่ทุกเพลงมาจาก… 1672 01:36:14,518 --> 01:36:18,272 ‎มุมมองของเหล่าตัวละคร ‎ขับร้องโดยแกลดิส ไนต์แอนด์เดอะพิปส์ 1673 01:36:18,355 --> 01:36:20,441 ‎รวมถึงมุมมองหนึ่งที่ในเพลง 1674 01:36:20,524 --> 01:36:24,028 ‎ได้บ่งบอกถึงความกลัวนับร้อยปี ‎ที่คนผิวสีต้องเผชิญได้อย่างตรงจุด 1675 01:36:25,738 --> 01:36:27,698 ‎การไม่มีใครเห็น 1676 01:36:28,741 --> 01:36:32,036 ‎คือวิธีที่ฉันจะได้โด่งดัง 1677 01:36:32,870 --> 01:36:34,288 ‎ผู้หญิงที่ไร้ชื่อ 1678 01:36:34,371 --> 01:36:36,332 ‎ที่จริงผมก็ได้บทใน "คลอดีน" นะ 1679 01:36:37,666 --> 01:36:40,377 ‎ตอนที่ไดอาน่า แซนดส์ได้รับบทคลอดีน 1680 01:36:41,837 --> 01:36:43,088 ‎แล้วเธอก็เสียไปก่อน 1681 01:36:44,548 --> 01:36:49,011 ‎พวกเขาก็เลยปรับแผนใหม่ ‎แล้วก็เจอนักแสดงอีกชุดหนึ่ง 1682 01:36:49,094 --> 01:36:49,929 ‎พวกเขามี… 1683 01:36:50,971 --> 01:36:51,931 ‎ผมไปคัดบทมา 1684 01:36:53,140 --> 01:36:54,433 ‎เป็นบทลูกชายคนรอง 1685 01:36:55,184 --> 01:36:58,395 ‎แต่ลงท้ายผมก็ไม่ได้แสดงเรื่องนั้น 1686 01:36:58,479 --> 01:36:59,647 ‎พวกเขาหานักแสดงใหม่ 1687 01:37:01,857 --> 01:37:05,569 ‎ผลงานตัดต่อที่น่าสนใจ ‎ในคราบของหนังแอ็คชัน 1688 01:37:05,653 --> 01:37:08,364 ‎คือ "ทรีเดอะฮาร์ดเวย์" ‎ที่เป็นการรวมทีมของจิม บราวน์ 1689 01:37:09,031 --> 01:37:10,658 ‎และเฟรด วิลเลียมสัน 1690 01:37:10,741 --> 01:37:12,660 ‎กับผมแอโฟรของนักสู้จิม เคลลี่ 1691 01:37:13,410 --> 01:37:15,371 ‎สามเมือง เราสามคน 1692 01:37:15,454 --> 01:37:17,581 ‎พวกเขาสู้กับองค์กรนีโอนาซี 1693 01:37:17,665 --> 01:37:21,210 ‎ที่พัฒนาสูตรยาพิษที่ฆ่าเฉพาะคนแอฟริกันอเมริกัน 1694 01:37:21,293 --> 01:37:26,590 ‎และจะถูกปล่อยลงในระบบชลประทาน ‎ของแอลเอ ดีทรอยต์ และวอชิงตัน ดีซี 1695 01:37:26,674 --> 01:37:29,426 ‎ซึ่งทุกที่ดูเหมือนลอสแอนเจลิสอย่างน่าสงสัย 1696 01:37:29,510 --> 01:37:32,263 ‎ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าขำที่สุดที่ผมเคยเห็น 1697 01:37:32,346 --> 01:37:35,266 ‎จนกระทั่งพ่อได้อธิบาย ‎การทดลองที่ทัสคีกีให้ผมฟัง 1698 01:37:35,349 --> 01:37:40,271 ‎แล้วทันใดนั้น "ทรีเดอะฮาร์ดเวย์" ‎ก็เป็นประเด็นเรื่องความวิตกจริตที่ควรแก่เหตุ 1699 01:37:40,354 --> 01:37:44,233 ‎ซึ่งผมเชื่อว่าศัพท์วิทยาศาสตร์ของอาการนี้ ‎คือ "แอฟริกันอเมริกัน" 1700 01:37:45,776 --> 01:37:49,280 ‎ปี 1974 ยังมีหนังที่มีหมายเหตุ ‎อันเจ็บปวดใจออกตามมาอีก 1701 01:37:49,780 --> 01:37:52,408 ‎หนึ่งในภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย ‎ของไดอาน่า แซนดส์ 1702 01:37:52,908 --> 01:37:56,954 ‎"ฮันนี่เบบี้ ฮันนี่เบบี้" เป็นหนังยำผสมมั่ว ‎ที่ใส่ความเป็นหนังสายลับลงไป 1703 01:37:57,037 --> 01:38:00,708 ‎รวมกับความแอ็คชันดรามา ‎และบทตลกจากตัวละคร 1704 01:38:00,791 --> 01:38:05,462 ‎หนังขาดความมั่นใจถึงขั้นที่ ‎ต้องเปิดฉากด้วยการอธิบายตัวเองกับคนดู 1705 01:38:05,546 --> 01:38:07,131 ‎ไง เป็นไงบ้าง 1706 01:38:07,214 --> 01:38:11,135 ‎ผมชื่อเจ. เอริก เบล ‎ผมเพิ่งกลับมาจากเบรุต เลบานอน 1707 01:38:11,218 --> 01:38:15,723 ‎ระหว่างถ่ายหนังเรื่อง ‎"ฮันนี่เบบี้ ฮันนี่เบบี้" ในสถานที่จริง 1708 01:38:15,806 --> 01:38:18,517 ‎ปี 1974 เปิดฉากและปิดฉากกับแซนดส์ 1709 01:38:18,601 --> 01:38:21,812 ‎ผลงานสุดท้ายอีกเรื่องของเธอ ‎คือ "วิลลี่ ไดนาไมต์" 1710 01:38:21,896 --> 01:38:26,567 ‎ที่แสดงร่วมกับดาราดังจากละครเวที ‎รอสโก้ ออร์แมน ที่ปัจจุบันโด่งดังจากอีกบทหนึ่ง 1711 01:38:27,192 --> 01:38:30,279 ‎ผมเคยล้อเล่นว่า ‎ตอนวิลลี่จากไปหลังจบฉากสุดท้าย 1712 01:38:30,362 --> 01:38:33,282 ‎เขาเลี้ยวตรงหัวมุม ‎แล้วก็เจอนกยักษ์สีเหลืองอยู่บนถนน 1713 01:38:33,866 --> 01:38:36,744 ‎(รอสโก้ ออร์แมน นักแสดง) 1714 01:38:37,161 --> 01:38:38,120 ‎แต่นั่นเรื่องจริงนะ 1715 01:38:38,203 --> 01:38:41,248 ‎ภายในหนึ่งปีหลังจบ "วิลลี่ ไดนาไมต์" 1716 01:38:41,332 --> 01:38:43,417 ‎ผมก็ไปแสดงเป็นกอร์ดอนใน "เซซามีสตรีท" 1717 01:38:44,168 --> 01:38:46,921 ‎(วิลลี่ ไดนาไมต์ (1974) ‎ผู้กำกับ กิลเบิร์ต โมเสส) 1718 01:38:47,421 --> 01:38:48,255 ‎หางานอยู่เหรอ 1719 01:38:50,299 --> 01:38:52,593 ‎ประกายในแววตาออร์แมน ‎ในบทวิลลี่ ไดนาไมต์ 1720 01:38:52,676 --> 01:38:55,846 ‎แสดงถึงความกระตือรือร้น ‎ในการร่วมงานกับเพื่อนนักแสดง 1721 01:38:55,930 --> 01:38:59,224 ‎ที่เปล่งประกายเข้มแข็ง ‎เข้าคู่กับความฉลาดเลือดเย็นของเขา 1722 01:38:59,725 --> 01:39:02,978 ‎ผมโชคดีมากๆ ที่ได้ร่วมงานกับ 1723 01:39:03,062 --> 01:39:05,648 ‎หนึ่งในสุดยอดนักแสดงตลอดกาล 1724 01:39:05,731 --> 01:39:10,152 ‎ไดอาน่ามีความรอบรู้และการศึกษาดีมาก 1725 01:39:10,235 --> 01:39:15,366 ‎ในแง่ของศิลปะการแสดง และ… 1726 01:39:15,950 --> 01:39:18,494 ‎แน่นอน เธอกับลอร์เรน ฮานส์เบอร์รี่ ‎เป็นเพื่อนสนิทกัน 1727 01:39:18,577 --> 01:39:22,623 ‎กับซิดนีย์, รูบี้, ออสซี่ และทุกคนด้วย 1728 01:39:22,706 --> 01:39:24,833 ‎ทุกคนก็เป็นคนที่สอนผมมาเหมือนกัน 1729 01:39:27,378 --> 01:39:30,130 ‎วิลลี่เป็นนักแสดง และบันไดหน้าศาลนั้น 1730 01:39:30,214 --> 01:39:32,299 ‎มันเหมือนบาริชนิคอฟ 1731 01:39:32,383 --> 01:39:35,886 ‎รองเท้าส้นตึก รองเท้าส้นสูง 1732 01:39:38,764 --> 01:39:41,058 ‎ถ้าให้ใส่ตอนนี้ผมคงล้มแขนขาหัก 1733 01:39:43,894 --> 01:39:46,480 ‎ผู้กำกับ "ทรีเดอะฮาร์ดเวย์" ‎กอร์ดอน พาร์กส์ จูเนียร์ 1734 01:39:46,563 --> 01:39:49,483 ‎มีหนังอีกเรื่องในปีนั้น ‎"โทมาซีนแอนด์บุชร็อด" 1735 01:39:49,566 --> 01:39:51,944 ‎หนังคาวบอยฉากชนบทที่ใช้คนดำเป็นศูนย์กลาง 1736 01:39:52,027 --> 01:39:55,322 ‎ที่หักมุมเรื่องบอนนี่กับไคลด์แบบคนดำ ‎ด้วยคู่พระนางของเรื่องนี้ 1737 01:39:55,406 --> 01:39:58,200 ‎สองหนุ่มสาวหน้าตาดีที่สุด ‎ในแดนตะวันตกอเมริกัน 1738 01:39:58,283 --> 01:40:01,412 ‎โวเน็ตต้า แมคกี กับแม็กซ์ จูเลียนหลบหนีคดี 1739 01:40:01,495 --> 01:40:04,081 ‎ฉากที่พวกเขาแสดงด้วยกัน ‎ใช้ความสนิทกันในชีวิตจริงของทั้งคู่ 1740 01:40:04,164 --> 01:40:05,958 ‎ถ่ายทอดออกมาเป็นเวอร์ชันดาราหนัง 1741 01:40:06,041 --> 01:40:07,584 ‎เป็นไงบ้างคะ คุณบุชร็อด 1742 01:40:09,044 --> 01:40:12,589 ‎ผมสบายดี โทมาซีน ‎ผมแค่ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณอีก 1743 01:40:14,508 --> 01:40:15,467 ‎ฉันอยู่นี่แล้ว 1744 01:40:16,093 --> 01:40:17,011 ‎คุณสวยเลยนะ 1745 01:40:18,137 --> 01:40:19,346 ‎แหม คุณสวยจริงๆ 1746 01:40:20,180 --> 01:40:23,392 ‎เรื่องนี้อวดผลงานเพลงประกอบ ‎เบาๆ สบายๆ โดยอาร์เธอร์ ลี 1747 01:40:23,475 --> 01:40:26,061 ‎และบทโดยนักแสดงนำ แม็กซ์ จูเลียน 1748 01:40:26,770 --> 01:40:29,189 ‎"โทมาซีนแอนด์บุชร็อด" สนุกมาก 1749 01:40:29,857 --> 01:40:31,984 ‎แม็กซ์ จูเลียนเป็นคนดีมาก 1750 01:40:32,067 --> 01:40:34,737 ‎เป็นคนที่หัวคิดสร้างสรรค์และกล้ามาก 1751 01:40:34,820 --> 01:40:37,948 ‎เขาสร้างหนังเรื่องนั้นเอง ‎เขาเขียนบทเอง ออกทุนสร้างเอง 1752 01:40:38,032 --> 01:40:39,533 ‎เขาตัดสินใจทุกอย่าง 1753 01:40:39,616 --> 01:40:41,535 ‎ในบรรดาภาพยนตร์ทุกเรื่อง 1754 01:40:41,618 --> 01:40:44,538 ‎ที่เกิดมาจากยุค "แบล็กซ์พลอยเทชัน" 1755 01:40:44,621 --> 01:40:48,959 ‎แม็กซ์เป็นหนึ่งในคนดำไม่กี่คน ‎ที่ได้ควบคุมผลงานของตัวเอง 1756 01:40:49,043 --> 01:40:53,422 ‎ผมรู้อย่างเดียว ‎ผมรู้ว่าแม็กซ์กับโวเน็ตต้าเป็นนักปฏิวัติ 1757 01:40:54,131 --> 01:40:57,051 ‎แม็กซ์จะบอกเลยว่า "แบบนี้ผมไม่ยอมนะ" 1758 01:40:58,719 --> 01:41:01,388 ‎แล้วเขาก็ไม่ยอมจริงๆ 1759 01:41:01,472 --> 01:41:03,432 ‎"ทำหนังเราเองเถอะ เราจะสร้างหนังเอง" 1760 01:41:06,018 --> 01:41:08,979 ‎ในหนังที่สร้างจากหนังสืออัตชีวประวัติ 1761 01:41:09,063 --> 01:41:11,190 ‎ดิเอดูเคชันออฟซันนี่ คาร์สัน 1762 01:41:11,273 --> 01:41:15,319 ‎ตัวเอกวัยหนุ่มน้อยต้องเผชิญ ‎การข่มเหงจากผู้ชายผิวดำขั้นรุนแรง 1763 01:41:15,402 --> 01:41:19,239 ‎ในหนังที่ก้ำกึ่งระหว่างโหดร้ายและงดงาม 1764 01:41:20,199 --> 01:41:23,786 ‎คราวนี้ ผู้กำกับไมเคิล แคมปัส ‎ที่สร้างเรื่อง "เดอะแม็ค" 1765 01:41:23,869 --> 01:41:25,913 ‎เล่าเรื่องเกี่ยวกับฮีโร่ผิวดำ 1766 01:41:25,996 --> 01:41:28,874 ‎ที่ไม่อาจหนีพ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรมเรือนจำ 1767 01:41:29,708 --> 01:41:32,252 ‎และเกือบขาดอากาศหายใจตายจากการถูกคุมขัง 1768 01:41:32,336 --> 01:41:36,882 ‎สำหรับซันนี่ ยาถอนพิษ ‎คือการย้ายไปอยู่เผ่าคนเมืองอื่น 1769 01:41:36,965 --> 01:41:38,383 ‎เพื่อพิสูจน์ตัวเอง 1770 01:41:38,467 --> 01:41:42,012 ‎หนึ่งในฉากที่สะเทือนใจที่สุด ‎คือภาพซันนี่ในวัยรุ่น 1771 01:41:42,096 --> 01:41:45,974 ‎วิ่งฝ่าการทุบตีในพิธีกรรมรับน้องเข้าแก๊ง 1772 01:41:50,604 --> 01:41:54,066 ‎ถ้าอยากไปตกลงกับแก๊งลอร์ด ‎แกได้เจอเราทีหลังแน่ เข้าใจไหม 1773 01:41:54,149 --> 01:41:58,028 ‎การแสดงที่มีพลัง ถึงความรู้สึกของแคลนตัน ‎พิสูจน์ว่าเขาเข้าใจ 1774 01:41:58,112 --> 01:42:02,241 ‎ถึงแผลในใจของซันนี่จากความรุนแรงทั้งชีวิต 1775 01:42:03,075 --> 01:42:06,745 ‎เขาตรงข้ามกับผู้ชายคนนั้นเลย ‎เขาไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นเลย 1776 01:42:07,454 --> 01:42:08,705 ‎เขาแกล้งทำ 1777 01:42:09,498 --> 01:42:11,208 ‎คุณอาจจะ… 1778 01:42:11,291 --> 01:42:14,002 ‎พวกแก๊งอาจจะดูออกเหมือนที่ผมดูออกก็ได้ 1779 01:42:14,086 --> 01:42:16,130 ‎แค่บอกว่า "เข้ามาคุยกับเราในห้องซิ" 1780 01:42:16,630 --> 01:42:22,010 ‎ถ้าช่วงสิบปีตั้งแต่ 1968-1978 ‎คือยุคที่ดาราพรสวรรค์คว้าโอกาสไว้ 1781 01:42:22,094 --> 01:42:24,263 ‎ก็ไม่มีผลงานไหนจะสื่อถึงแรงกระตุ้นได้ 1782 01:42:24,346 --> 01:42:26,390 ‎ดีไปกว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ‎ของซิดนีย์ พัวทิเยร์ 1783 01:42:26,473 --> 01:42:28,767 ‎ที่พลิกบทตัวเองเป็นกรรมกรผู้จริงจัง 1784 01:42:28,851 --> 01:42:30,227 ‎ใน "อัปทาวน์แซตเทอร์เดย์ไนต์" 1785 01:42:30,310 --> 01:42:31,436 ‎คุณโอเคนะ ที่รัก 1786 01:42:32,062 --> 01:42:33,313 ‎ผมสบายดี 1787 01:42:33,397 --> 01:42:36,400 ‎ผมชอบความตลกของซิดนีย์นะ 1788 01:42:36,483 --> 01:42:37,526 ‎คุณสุภาพบุรุษ 1789 01:42:37,609 --> 01:42:40,279 ‎เขาตลกมากในเรื่องนั้น 1790 01:42:40,362 --> 01:42:46,160 ‎ผมชอบที่เรื่องนี้แสดงออกถึงชีวิตคนดำ 1791 01:42:46,243 --> 01:42:47,953 ‎ในวิถีที่ปกติ 1792 01:42:48,036 --> 01:42:49,913 ‎นั่นคือความสามารถที่พัวทิเยร์ถ่ายทอดให้เห็น 1793 01:42:49,997 --> 01:42:53,250 ‎ที่เขาทำให้ตัวเองดูอึดอัดได้ในชุดสูท 1794 01:42:53,333 --> 01:42:56,336 ‎ชุดที่เขาใส่เป็นปกติจนเหมือนผิวหนังชั้นที่สอง 1795 01:42:56,420 --> 01:42:57,379 ‎ผู้ชมต่างตื่นเต้น 1796 01:42:57,462 --> 01:43:00,799 ‎กับการที่เขาสามารถเสียดสี ‎ความมีสไตล์เคร่งขรึมของตัวเองได้ 1797 01:43:00,883 --> 01:43:05,012 ‎แล้วเขาก็ได้เป็นดาราหนังอีกครั้ง ‎ในหนังยอดฮิตที่สุดเรื่องหนึ่ง 1798 01:43:05,095 --> 01:43:07,598 ‎ถ้าพัวทิเยร์ทำให้ตัวเอง ‎ยิ่งใหญ่เกินชีวิตจริงในหนังได้ 1799 01:43:07,681 --> 01:43:10,851 ‎ด้วยวิธีใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน ‎ทุกอย่างก็เป็นไปได้ 1800 01:43:11,894 --> 01:43:14,188 ‎(กุชชี่) 1801 01:43:25,741 --> 01:43:28,035 ‎บางที มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคนี้ 1802 01:43:28,118 --> 01:43:31,121 ‎ในยุคที่ฝ่ายกระแสหลักต่างเคร่งเครียด ‎ประเมินตัวเองใหม่ 1803 01:43:31,205 --> 01:43:33,665 ‎และช่วงเวลาเหล่านั้นก็ถูกถ่ายทอด ‎ออกมาในหนังส่วนใหญ่ 1804 01:43:33,749 --> 01:43:38,128 ‎คือความสุขของนักแสดงผิวดำ ‎เวลาได้อยู่หน้ากล้อง 1805 01:43:42,925 --> 01:43:46,470 ‎อาจจะมีฉากเปิดตัวให้กับตัวเอกในหนังคนดำ 1806 01:43:46,553 --> 01:43:49,431 ‎เยอะกว่าหนังทุกเรื่อง ‎ในยุค 1930 รวมกันเสียอีก 1807 01:43:49,514 --> 01:43:52,267 ‎ในบางกรณี นักแสดงก็มีฉากเปิดตัวหลายฉาก 1808 01:43:52,351 --> 01:43:54,978 ‎แล้วซาวด์แทร็กก็ส่งพวกเขาเข้าจอ 1809 01:43:55,062 --> 01:43:57,481 ‎จุดที่หนังเหล่านี้บังคับให้ผู้ชมตั้งใจดู 1810 01:43:57,564 --> 01:44:01,401 ‎มักจะอยู่ในฉากที่เหมือน ‎ช่วงก่อนเริ่มการเต้นของละครเพลง 1811 01:44:01,485 --> 01:44:03,654 ‎แล้วบรรยากาศก็อัดแน่นด้วยความตื่นเต้น 1812 01:44:19,753 --> 01:44:22,714 ‎หนังในทศวรรษนี้ได้เรียกความสนใจ 1813 01:44:22,798 --> 01:44:26,093 ‎สร้างอาชีพ และชีวิตใหม่ให้กับนักแสดงผิวดำ 1814 01:44:26,176 --> 01:44:29,054 ‎วงการหนังจะทอดทิ้งศักยภาพของพวกเขา 1815 01:44:29,137 --> 01:44:30,889 ‎ตัวอย่างเช่น คลีวอน ลิตเติล 1816 01:44:30,973 --> 01:44:33,016 ‎นี่ ยัยผู้หญิงขาวไปไหน 1817 01:44:34,559 --> 01:44:37,854 ‎ที่ความว่องไวและพลังชายแท้ของเขา ‎มีส่วนสำคัญ… 1818 01:44:37,938 --> 01:44:41,066 ‎ต่อความสำเร็จของ ‎"เบลซซิ่ง แซดเดิลส์" ไม่แพ้สิ่งอื่นๆ 1819 01:44:41,608 --> 01:44:43,277 ‎นายคาดหวังอะไร 1820 01:44:43,777 --> 01:44:45,028 ‎"ยินดีต้อนรับ ไอ้หนุ่ม" เหรอ 1821 01:44:45,654 --> 01:44:48,115 ‎คลีวอน ลิตเติลไม่เคยได้บทแสดงนำอื่นๆ 1822 01:44:48,198 --> 01:44:49,700 ‎ที่จะได้แสดงความสามารถอีกเลย 1823 01:44:50,242 --> 01:44:52,536 ‎ต่างจากนักแสดงนำร่วม จีน ไวลเดอร์ 1824 01:44:54,454 --> 01:44:57,708 ‎(แดตส์เดอะเวย์ออฟเดอะเวิลด์ (1975) ‎ผู้กำกับ ซิก ชอร์) 1825 01:44:59,334 --> 01:45:02,170 ‎กระแสเอ็นดอร์ฟินจากดนตรี ‎ได้สร้างเอกลักษณ์ให้หนัง 1826 01:45:02,254 --> 01:45:05,590 ‎ด้วยเพลงประกอบหนังผิวดำ ‎ที่อาจจะขายดีที่สุดในยุคนั้น 1827 01:45:05,674 --> 01:45:08,260 ‎ที่กำกับโดยโปรดิวเซอร์จาก "ซูเปอร์ฟลาย" 1828 01:45:08,343 --> 01:45:11,972 ‎เป็นหนังเพลงที่สบายๆ มาก ‎ถึงขั้นที่วงดนตรีไม่ต้องพูดเลยสักคำ 1829 01:45:12,472 --> 01:45:16,560 ‎บางคนอาจจะบอกว่า ‎เพลงประกอบหนังฟังแล้วเคลิ้มได้จนไม่ต้องพูด 1830 01:45:16,643 --> 01:45:20,439 ‎และเพลงกระตุ้นจิตวิญญาณ ‎เช่น "แดตส์เดอะเวย์ออฟเดอะเวิลด์" 1831 01:45:20,522 --> 01:45:21,398 ‎ก็พิสูจน์เรื่องนั้น 1832 01:45:24,735 --> 01:45:27,738 ‎หนังเรื่องแรกจากสตูดิโอใหญ่ที่เล่าเรื่องของทาส 1833 01:45:27,821 --> 01:45:29,448 ‎หนังที่สร้างจาก "แมนดิงโก้" 1834 01:45:29,531 --> 01:45:33,243 ‎ได้ขึ้นจอโดยไม่ตัดความไร้มนุษยธรรม ‎อันบาดตาบาดใจ 1835 01:45:33,327 --> 01:45:35,412 ‎นิยายดังอายุหลายสิบปีเรื่องนี้ 1836 01:45:35,495 --> 01:45:38,206 ‎ถูกดัดแปลงเป็นหนังโดย ‎นอร์แมน เว็กซ์เลอร์ ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ 1837 01:45:38,290 --> 01:45:42,252 ‎ด้วยกลุ่มนักแสดงที่มีเจมส์ เมสัน ‎เจ้าของสำเนียงไพเราะ 1838 01:45:42,336 --> 01:45:43,170 ‎นอนลงไป 1839 01:45:44,463 --> 01:45:45,297 ‎เอาล่ะ 1840 01:45:47,007 --> 01:45:50,886 ‎ซึ่งดูบ้าน้อยลง หลังจบกระแส ‎หนังขยะเหยียดผิวยาวเป็นขบวน 1841 01:45:50,969 --> 01:45:54,014 ‎หนังเรื่องนี้หมกมุ่นกับเรื่องเซ็กซ์ของคนดำ 1842 01:45:54,097 --> 01:45:55,849 ‎และล้อเลียนความกลัวของคนขาว 1843 01:45:55,932 --> 01:45:59,811 ‎เป็นแรงบันดาลใจให้ภาพถ่ายเชิดชูเรือนร่าง ‎ของโรเบิร์ต แมปเปิลธอร์ป 1844 01:46:01,480 --> 01:46:04,107 ‎มันพิสูจน์ว่าพระเยซูดำ ‎ก็เป็นญาติของพระเยซูเหมือนกัน 1845 01:46:04,191 --> 01:46:08,070 ‎แต่หนังคนดำก็ยังโด่งดังต่อไป ‎ด้วยหนังหลากหลายแนว 1846 01:46:08,153 --> 01:46:10,489 ‎กับเรื่อง "คูนสกิน" ‎ของนักเขียนและผู้กำกับ ราล์ฟ แบ็กชี่ 1847 01:46:10,572 --> 01:46:14,034 ‎หนังที่ผสมผสานหนังคนแสดงกับแอนิเมชัน ‎นำแสดงโดยแบร์รี่ ไวต์ 1848 01:46:14,117 --> 01:46:17,454 ‎นักแสดงและนักเขียนบทละคร ชาร์ลส์ กอร์โดน ‎และฟิลิป ไมเคิล โทมัส 1849 01:46:17,537 --> 01:46:21,583 ‎ที่ต่อมาได้นำแสดงใน "ไมแอมีไวซ์" ‎และคิดค้นตัวอักษรย่อ "อีกอต" 1850 01:46:21,666 --> 01:46:25,253 ‎หลังจากได้ชื่อเรื่องอันเสียดสี ‎การทดลองแบ็กชี่ก็อัดแน่น 1851 01:46:25,337 --> 01:46:28,090 ‎ด้วยมุมมองเรื่องชาติพันธุ์ ‎และการปฏิบัติในวงการภาพยนตร์ 1852 01:46:28,173 --> 01:46:30,092 ‎ตั้งแต่การล้อเลียนเบรอร์แร็บบิต 1853 01:46:30,175 --> 01:46:31,760 ‎ไปจนถึงการล้อเครซี่แคต 1854 01:46:31,843 --> 01:46:35,222 ‎คืนแล้วคืนเล่า มัลคอมก็ยังนิ่ง 1855 01:46:36,306 --> 01:46:39,476 ‎"คูนสกิน" ได้ก่อกระแสโกลาหลในแนวคิด 1856 01:46:39,559 --> 01:46:41,728 ‎ที่หนังปลุกปั่นให้อื้อฉาว และสร้างความบันเทิง 1857 01:46:41,812 --> 01:46:43,021 ‎ซึ่งคือจุดประสงค์ของหนัง 1858 01:46:48,026 --> 01:46:50,362 ‎นี่มันหนักเกินจะแบกแล้วนะ 1859 01:46:50,445 --> 01:46:53,073 ‎ไม่ว่าจะในแง่ดีหรือร้าย ‎หนังเรื่องนี้ก็ยังไม่มีใครเหมือน 1860 01:46:53,156 --> 01:46:55,992 ‎การที่ตำรวจรังควานชีวิตคนดำ ‎อย่างไม่เลือกหน้าและกะทันหัน 1861 01:46:56,076 --> 01:46:58,620 ‎ยังคงมีส่วนในหนังคนดำ 1862 01:46:58,703 --> 01:47:00,163 ‎ใน "คอร์นเบรด, เอิร์ล, แอนด์มี" 1863 01:47:00,247 --> 01:47:04,042 ‎ชีวิตเด็กผิวดำที่จบลงด้วยกระสุนของตำรวจ ‎คือศูนย์กลางของเรื่องราวนี้ 1864 01:47:04,126 --> 01:47:07,712 ‎สมัยที่เรื่องแบบนี้ยังเป็นเรื่องแปลก ‎เพราะแทบไม่เคยถูกถ่ายทอดเป็นการแสดง 1865 01:47:08,296 --> 01:47:10,841 ‎แต่ผู้ชมผิวดำก็พยักหน้ารับรู้ 1866 01:47:16,263 --> 01:47:18,723 ‎น้ำส้มหกในฉากไคลแม็กซ์ 1867 01:47:18,807 --> 01:47:21,810 ‎เป็นภาพแทนการนองเลือด ‎ได้อย่างดิบเถื่อนและเปี่ยมจินตนาการ 1868 01:47:22,602 --> 01:47:24,271 ‎แล้วก็ยังทำให้ผมขนลุกอยู่จนวันนี้ 1869 01:47:25,272 --> 01:47:26,481 ‎คอร์นเบรด 1870 01:47:26,565 --> 01:47:29,109 ‎สำหรับผม หนังเรื่องนั้น ‎คือ "บอยซ์แอนด์เดอะฮู้ด" ต้นฉบับ 1871 01:47:31,236 --> 01:47:33,321 ‎"คอร์นเบรด, เอิร์ล, แอนด์มี" ‎เป็นเรื่องโศกนาฏกรรม 1872 01:47:33,947 --> 01:47:37,159 ‎"บอยซ์แอนด์เดอะฮู้ด" ก็เป็นเรื่องโศกนาฏกรรม 1873 01:47:37,784 --> 01:47:41,163 ‎ทั้งสองเรื่องนี้ห่างกันเกือบ 20 กว่าปี 1874 01:47:41,997 --> 01:47:45,459 ‎เราไม่ขึ้นรถขนส่งสาธารณะโดยผิดกฎหมาย 1875 01:47:45,542 --> 01:47:48,462 ‎หลังจาก "ชาฟต์" ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ‎และหนังนักกีฬาผันตัวไปผจญภัย 1876 01:47:48,545 --> 01:47:51,923 ‎หนังก็เริ่มปรับระดับ ‎ลงมาถ่ายทอดสิ่งที่เหมือนชีวิตจริงมากขึ้น 1877 01:47:52,007 --> 01:47:55,844 ‎"คูลีย์ไฮ" หนังคนดำในเมืองชั้นใน ‎แนวเดียวกับ "อเมริกันกราฟฟิตี้" 1878 01:47:55,927 --> 01:47:59,139 ‎ที่มีทั้งเรื่องสุขและทุกข์ ‎ของหนังแนวคัมมิ่งออฟเอจก็เกิดขึ้น 1879 01:47:59,222 --> 01:48:02,559 ‎หนังเรื่องนี้ถูกยกระดับไปอีกขั้น ‎ด้วยเพลงของโมทาวน์ 1880 01:48:02,642 --> 01:48:06,104 ‎ที่เป็นเพลงประกอบชีวิต ‎ของเหล่าตัวละครในปี 1964 ได้ 1881 01:48:06,188 --> 01:48:07,647 ‎ปีที่เป็นฉากของเรื่อง "คูลีย์ไฮ" 1882 01:48:07,731 --> 01:48:11,234 ‎การรำลึกความหลังอย่างชัดเจน ‎ได้ทำให้ผู้ชมผิวดำหลงใหล 1883 01:48:11,318 --> 01:48:12,694 ‎จนให้การตอบรับหนังเป็นอย่างดี 1884 01:48:13,820 --> 01:48:14,905 ‎นั่นคือเพลงโมทาวน์ 1885 01:48:15,822 --> 01:48:20,619 ‎แล้วมันก็เป็นเพลงประกอบชีวิตคนดำ 1886 01:48:22,329 --> 01:48:23,205 ‎ในหนัง 1887 01:48:24,748 --> 01:48:27,042 ‎ก็ดีนะ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี 1888 01:48:32,130 --> 01:48:34,090 ‎หนึ่งในฉากแรกๆ ที่ผมจำได้ว่าไปถ่ายทำ 1889 01:48:34,174 --> 01:48:35,550 ‎คือฉากวิ่งขึ้นรถเมล์ 1890 01:48:36,843 --> 01:48:39,846 ‎ผมโตมาในแมนแฮตทันแบบนั้นเลย 1891 01:48:39,930 --> 01:48:42,891 ‎เราทำแบบนั้น ผมกับเพื่อนๆ ทำแบบนั้น 1892 01:48:42,974 --> 01:48:45,852 ‎เราวิ่งไปเกาะหลังรถเมล์ไปเซเว่นอเวนิว 1893 01:48:45,936 --> 01:48:47,062 ‎ผมไม่มีวันลืมเลย 1894 01:48:47,812 --> 01:48:53,401 ‎แต่ประเด็นอยู่ตรงนี้ ‎ตอนที่เราขึ้นรถเมล์ไปเซเว่นอเวนิว 1895 01:48:53,485 --> 01:48:56,696 ‎เรากระโดดขึ้นรถเมล์ ‎เซเว่นอเวนิวยังเป็นหินปูถนนอยู่เลย 1896 01:48:56,780 --> 01:48:59,032 ‎เราก็เลยต้องเกาะไว้ให้แน่น 1897 01:49:00,534 --> 01:49:02,118 ‎ผมขอฮอตด็อกชิ้นนึงครับ 1898 01:49:02,202 --> 01:49:05,163 ‎เทอร์แมนผสมฉากตลกเล่นใหญ่กับความจริง 1899 01:49:05,247 --> 01:49:08,333 ‎จนเขาได้กลายเป็น ‎ส่วนประกอบสำคัญใน "คูลีย์ไฮ" 1900 01:49:08,416 --> 01:49:10,085 ‎แทนที่จะใช้อารมณ์ขันของเขาจนเกินไป 1901 01:49:10,168 --> 01:49:12,546 ‎- ขอซอสมะเขือเทศด้วยครับ ‎- ร้านเราไม่มีซอสมะเขือเทศค่ะ 1902 01:49:13,588 --> 01:49:15,131 ‎- ไม่มีซอสมะเขือเทศเหรอ ‎- ใช่ค่ะ 1903 01:49:15,215 --> 01:49:17,342 ‎มีผักดองไหม ผมขอผักดองด้วยครับ 1904 01:49:17,425 --> 01:49:18,510 ‎ผักดองก็ไม่มีค่ะ 1905 01:49:18,593 --> 01:49:20,262 ‎- ไม่มีผักดองเหรอ ‎- ไม่มีค่ะ 1906 01:49:20,345 --> 01:49:21,846 ‎- มีอะไรบ้าง ‎- มีมัสตาร์ดค่ะ 1907 01:49:21,930 --> 01:49:23,348 ‎- มัสตาร์ดเหรอ ‎- อย่างเดียวค่ะ 1908 01:49:23,431 --> 01:49:26,142 ‎ร้านใหญ่ออกขนาดนี้มีแค่มัสตาร์ดเนี่ยนะ 1909 01:49:26,226 --> 01:49:28,436 ‎- ใช่ค่ะ ‎- ผมไม่ชอบมัสตาร์ดนะ คุณชอบเหรอ 1910 01:49:28,520 --> 01:49:30,105 ‎ใช่ ฉันชอบมัสตาร์ด 1911 01:49:30,188 --> 01:49:32,440 ‎งั้นเอานี่ไปเลย เอาฮอตด็อกไปกินเลย 1912 01:49:33,650 --> 01:49:35,652 ‎ในเส้นทางอาชีพนั้น 1913 01:49:35,735 --> 01:49:40,991 ‎เราจะไปถึงจุดนึงที่ทำให้พูดว่า ‎"โอ้โฮ ใช่เลย นี่แหละใช่" 1914 01:49:41,074 --> 01:49:43,159 ‎อยู่ๆ ก็มีสายโทรศัพท์เข้ามาจากไหนไม่รู้ 1915 01:49:43,243 --> 01:49:47,163 ‎ไม่ได้มาจากผู้จัดการผมด้วยซ้ำ ‎มันมาจากแหล่งอื่นที่แปลกๆ 1916 01:49:47,247 --> 01:49:49,749 ‎"กลินน์ อิงมาร์ เบิร์กแมนตามหาตัวคุณอยู่" 1917 01:49:50,917 --> 01:49:55,213 ‎ผมบอกว่า "ผมไม่มีอารมณ์ล้อเล่น ‎ผมจะนั่งอยู่ในนี้มืดๆ นี่แหละ 1918 01:49:55,297 --> 01:49:58,425 ‎ลูกผมกำลังหิว เรากินมันฝรั่งกันอยู่" 1919 01:49:59,259 --> 01:50:00,802 ‎แล้วผมก็วางสาย 1920 01:50:00,885 --> 01:50:03,305 ‎แล้วคนในสายก็บอก "ไม่ นี่เรื่องจริง กลินน์" 1921 01:50:03,388 --> 01:50:06,516 ‎เขาอยากได้ตัวผม เขาได้ดู "คูลีย์ไฮ" 1922 01:50:07,601 --> 01:50:12,981 ‎เขาบอกว่าเขารู้ตั้งแต่ตอนนั้น ‎ว่าอยากได้ผมไปแสดงหนังของเขา 1923 01:50:13,064 --> 01:50:18,278 ‎เราเลยได้เปลี่ยนจากหายนะเป็น… 1924 01:50:19,195 --> 01:50:20,238 ‎ความสุขล้น 1925 01:50:21,156 --> 01:50:22,991 ‎มันเป็นประสบการณ์ที่… 1926 01:50:23,074 --> 01:50:25,327 ‎มันเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อเลย 1927 01:50:30,999 --> 01:50:33,251 ‎คุณนี่บ้ามากเลย รู้ตัวไหม 1928 01:50:33,335 --> 01:50:37,422 ‎เสน่ห์แบบดั้งเดิมที่ถ่ายทอดออกมาอีกครั้ง ‎โดยไดอาน่า รอสส์กับบิลลี่ ดี วิลเลียมส์ 1929 01:50:37,505 --> 01:50:42,052 ‎ยังคงโดดเด่นในหนังดราม่าโรแมนติก ‎ปี 1975 "มะฮอกกานี" 1930 01:50:42,135 --> 01:50:45,096 ‎ต้องใส่ความจัดจ้านบ้าง หว่านเสน่ห์ลงไป 1931 01:50:45,972 --> 01:50:49,392 ‎ผมรู้สึกเสมอว่าบางครั้งผู้ชายผิวดำต้อง… 1932 01:50:49,476 --> 01:50:53,021 ‎อาจจะมีเหตุผลดีๆ ก็ได้ ‎อาจจะมีเหตุผลที่เห็นกันชัดๆ 1933 01:50:53,104 --> 01:50:57,901 ‎แต่พวกเขาต้องแสดงความเข้มแข็งเสมอ 1934 01:50:58,443 --> 01:51:00,862 ‎ความอ่อนแอเป็นสิ่งที่ใช้ได้มหัศจรรย์ 1935 01:51:00,945 --> 01:51:03,406 ‎เป็นเครื่องมือมหัศจรรย์ ‎เวลาเราแสดงเป็นตัวละคร 1936 01:51:08,203 --> 01:51:09,287 ‎ฉันก็คิดถึงคุณ 1937 01:51:10,121 --> 01:51:12,832 ‎แต่นั่นแค่ผม ผมเป็นคนแบบนั้น 1938 01:51:12,916 --> 01:51:15,960 ‎ผมไม่กลัวที่จะแสดงออก 1939 01:51:16,961 --> 01:51:20,173 ‎หรือสื่อความรู้สึกเกี่ยวกับ… 1940 01:51:21,758 --> 01:51:24,052 ‎เรื่องที่ผมรู้สึกอย่างแรงกล้า 1941 01:51:24,135 --> 01:51:25,345 ‎เพลงมาเลย แซม 1942 01:51:25,428 --> 01:51:28,640 ‎(เทรนไรด์ทูฮอลลีวูด (1975) ‎ผู้กำกับ ชาร์ลส์ อาร์ รอนโด) 1943 01:51:28,723 --> 01:51:32,060 ‎วงป็อปโซล บลัดสโตน ‎เจ้าของเพลงฮิต "เนเชอรัลไฮ" 1944 01:51:32,143 --> 01:51:34,145 ‎ตกเป็นข่าวว่าใช้เงินทุนของตัวเอง 1945 01:51:34,229 --> 01:51:36,856 ‎ในการสร้างหนังเพลง ‎ที่ซึ้งและแปลกอย่างอ่อนโยน 1946 01:51:36,940 --> 01:51:40,568 ‎"เทรนไรด์ทูฮอลลีวูด" 1947 01:51:40,652 --> 01:51:42,696 ‎และแทรกตัวเองเข้าไปในหนัง 1948 01:51:46,074 --> 01:51:49,786 ‎ผลงานจากริชาร์ด ไพรเออร์ ‎วิจารณ์วัฒนธรรมได้อย่างตรงจุด 1949 01:51:49,869 --> 01:51:54,457 ‎จากที่เขาพิสูจน์ด้วยอัลบั้มเพลงตลกปี 1976 ‎"ไบเซนเทนเนียลนิกเกอร์" 1950 01:51:54,541 --> 01:51:56,751 ‎และ "โลแกนส์รัน" ฉบับของเขา 1951 01:51:56,835 --> 01:52:01,256 ‎หนังไซไฟแฟนตาซีหลากสีสัน ‎ปี 1976 ยุคก่อน "สตาร์วอร์ส" 1952 01:52:01,339 --> 01:52:03,466 ‎ผมอยากดู "โลแกนส์รัน" 1953 01:52:03,550 --> 01:52:05,969 ‎มีหนังโลกอนาคตชื่อว่า "โลแกนส์รัน" 1954 01:52:06,052 --> 01:52:07,137 ‎ในเรื่องไม่มีคนดำเลย 1955 01:52:07,804 --> 01:52:10,348 ‎ผมบอกว่า "คนขาววางแผนไว้ ‎ว่าในอนาคตจะไม่มีพวกเรา" 1956 01:52:14,519 --> 01:52:18,148 ‎เราถึงต้องสร้างหนังบ้าง ‎แล้วเราก็จะได้มีส่วนร่วม 1957 01:52:19,482 --> 01:52:22,944 ‎ไม่มีใครอยากจะ… ฉันขอโทษนะ 1958 01:52:23,570 --> 01:52:26,448 ‎ไม่มีใครอยากขัดใจคนขาว 1959 01:52:27,240 --> 01:52:30,827 ‎ทุกคนอยากให้คนขาวเข้าข้างตัวเอง 1960 01:52:30,910 --> 01:52:34,748 ‎เขาจะได้อนุญาตให้เราทำหนังต่อได้ 1961 01:52:35,832 --> 01:52:37,292 ‎(คิงคอง ร็อกกี้) 1962 01:52:37,375 --> 01:52:38,918 ‎พอถึงปี 1976 1963 01:52:39,002 --> 01:52:42,505 ‎หลังจากที่หนังคนดำได้กอบกู้ ‎อุดมคติของตัวเอกวีรบุรุษ 1964 01:52:42,589 --> 01:52:45,258 ‎หนังกระแสหลักก็กลับมาสร้างมูลค่าได้อีกครั้ง 1965 01:52:45,341 --> 01:52:46,801 ‎ยิ้มหน่อย ไอ้ลูก… 1966 01:52:46,885 --> 01:52:50,305 ‎"เดอะสติง" และ "จอว์ส" ‎ที่นำความตื่นเต้นจากชัยชนะ 1967 01:52:50,388 --> 01:52:53,308 ‎กลับมาให้พระเอกผิวขาว ‎ได้กลายเป็นหนังยอดฮิต 1968 01:52:53,391 --> 01:52:55,560 ‎จริงๆ แล้ว ทั้ง "จอว์ส" และ "เดอะสติง" 1969 01:52:55,643 --> 01:52:58,480 ‎สร้างโดยโปรดิวเซอร์คนเดียวกัน ‎ที่เคยสร้าง "วิลลี่ ไดนาไมต์" 1970 01:52:58,563 --> 01:53:03,777 ‎พล็อตเรื่องของ "เดอะสติง" อาจจะยกมาจาก ‎นิยาย "ทริคเบบี้" ที่เป็นหนังเช่นกัน 1971 01:53:03,860 --> 01:53:05,904 ‎และพอจบปี 1976 1972 01:53:05,987 --> 01:53:09,449 ‎ร็อกกี้ บัลโบอา ‎พระเอกที่ออกมาจากหนังแอ็คชันคนดำก็ได้ 1973 01:53:09,532 --> 01:53:12,869 ‎ต้องสู้กับตัวละครขี้เกียจเขียนบท ‎ที่ล้อเลียนมูฮัมหมัด อาลี 1974 01:53:12,952 --> 01:53:14,662 ‎ถึงแม้ร็อกกี้จะไม่ชนะในการชก 1975 01:53:14,746 --> 01:53:17,999 ‎เขาก็ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ‎และประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศ 1976 01:53:18,082 --> 01:53:19,918 ‎แต่งตัวอย่างกับธงชาติยักษ์ 1977 01:53:20,794 --> 01:53:23,213 ‎"ร็อกกี้" มีแชมป์เฮฟวีเวตผิวดำในหนัง 1978 01:53:23,296 --> 01:53:27,383 ‎ที่เป็นตัวล้อเลียนบุคลิกลุยแหลก ‎ที่อาลีแสดงออกมาบนเวที 1979 01:53:27,926 --> 01:53:31,262 ‎แต่อาลีใช้อารมณ์ขัน ‎ทำสงครามประสาทกับคู่ต่อสู้ 1980 01:53:31,346 --> 01:53:34,849 ‎ที่พยายามจ้องตาข่มขู่ให้เขากลัว ‎เขาไม่ใช่ตัวตลก 1981 01:53:34,933 --> 01:53:38,228 ‎ที่จริง อาลีรู้ว่าเขาแกล้งทำเป็นเล่นประมาทได้ 1982 01:53:38,311 --> 01:53:41,064 ‎เพราะฝีมือจะพิสูจน์ความไร้เทียมทานของเขาได้ 1983 01:53:41,147 --> 01:53:43,024 ‎รวมทั้งความเตรียมใจพร้อมรับหมัดด้วย 1984 01:53:43,107 --> 01:53:46,236 ‎ที่อาจจะมีส่วนทำให้เขาเกิดอาการโรคพาร์กินสัน 1985 01:53:47,862 --> 01:53:51,032 ‎ไหวพริบของสตอลโลน ‎ทำให้เขานำวัฒนธรรมของคนดำมาใช้ 1986 01:53:51,115 --> 01:53:53,785 ‎เช่น ความคิดเรื่องซ้อมชกเนื้อในห้องแช่เนื้อ 1987 01:53:53,868 --> 01:53:57,622 ‎และวิ่งขึ้นบันไดพิพิธภัณฑ์ ‎ซึ่งโจ เฟรเซียร์ทำมาก่อน 1988 01:53:57,705 --> 01:54:00,416 ‎อย่างที่หนังสือเรื่อง ‎"โกสต์ออฟมะนิลา" ย้ำกับเรา 1989 01:54:01,543 --> 01:54:04,128 ‎ในบทคู่ชกของร็อกกี้ อะพอลโล ครีด 1990 01:54:04,212 --> 01:54:08,800 ‎คาร์ล เวเธอร์สต้องงอตัวเป็นกุ้ง ‎เพื่อลดความสูงให้เท่าสตอลโลน 1991 01:54:09,300 --> 01:54:12,762 ‎ผมต้องไปหาหมอจัดกระดูก ‎หลังจากที่ได้เห็นเวเธอร์สย่อตัว 1992 01:54:12,846 --> 01:54:15,223 ‎ลงมาให้หมัดของร็อกกี้ต่อยถึง 1993 01:54:16,432 --> 01:54:21,521 ‎พอถึงปี 1976 แนวคิดของการใช้ ‎พลังของดนตรีเรียกความสนใจจากผู้ชม 1994 01:54:21,604 --> 01:54:24,190 ‎ก็ไม่ถูกผู้สร้างหนังกระแสหลักเมินเฉยอีกต่อไป 1995 01:54:26,693 --> 01:54:31,406 ‎เมื่อผู้แต่งเพลง "คาร์วอช" นอร์แมน วิตฟิลด์ ‎ต้องการแซงหน้า "ชาฟต์" และ "ซูเปอร์ฟลาย" 1996 01:54:31,489 --> 01:54:35,201 ‎ด้วยธีมเพลงฟังก์จังหวะแรงๆ ‎ใส่ลงไปในบริบทของสังคม 1997 01:54:36,536 --> 01:54:37,453 ‎แล้วมันก็ได้ผล 1998 01:54:38,454 --> 01:54:41,332 ‎(สปาร์กเคิล (1976) ‎ผู้กำกับ แซม โอสตีน) 1999 01:54:44,752 --> 01:54:47,005 ‎เพลงนี้ "ซัมธิงฮีแคนฟีล" 2000 01:54:47,088 --> 01:54:50,550 ‎คือการถ่ายทอดเสน่ห์อันเร่าร้อน ‎ของวงโมทาวน์เกิร์ลกรุปโดยเคอร์ติส เมย์ฟิลด์ 2001 01:54:50,633 --> 01:54:53,177 ‎เมย์ฟิลด์แต่งเพลงนี้ ‎ให้หนังต้นแบบของ "ดรีมเกิร์ลส์" 2002 01:54:53,261 --> 01:54:55,722 ‎หนังดราม่าวงการบันเทิงคนดำ "สปาร์กเคิล" 2003 01:54:55,805 --> 01:55:01,853 ‎ฉันยังเด็กเกินจะบอกให้เธอรู้ ‎ว่าฉันมาจากที่ใด 2004 01:55:01,936 --> 01:55:05,315 ‎ซึ่งน่าจะเป็นหนังแจ้งเกิด ‎ของนักแสดงนำ โลเน็ตต์ แมคคี 2005 01:55:05,398 --> 01:55:09,527 ‎และน่าจะเป็นมากกว่าตัวประกอบ ‎ให้ไอรีน คาร่ากับฟิลิป ไมเคิล โทมัส 2006 01:55:10,111 --> 01:55:14,115 ‎"สปาร์กเคิล" คือผลงานต่อยอดจาก "คาร์วอช" ‎ของนักเขียนบท โจเอล ชูมัคเคอร์ 2007 01:55:14,198 --> 01:55:17,660 ‎เขาเขียนบทขึ้นเพื่อสะกดผู้ชม ‎และกำกับแนวทางตัวเอง 2008 01:55:18,161 --> 01:55:20,622 ‎ในจำนวนไม่กี่คนที่ได้ดู ‎ผลงานนี้ได้สร้างความประทับใจต่อหนัง 2009 01:55:20,705 --> 01:55:23,166 ‎แต่ไม่ใช่ต่อตัวชูมัคเคอร์ที่อยู่หลังกล้อง 2010 01:55:24,918 --> 01:55:26,461 ‎เช่นเดียวกับหนังที่อาจจะเป็นขวัญใจมหาชน 2011 01:55:26,544 --> 01:55:29,297 ‎เดอะบิงโกลองทราเวลลิ่งออลสตาร์ส ‎แอนด์มอเตอร์คิงส์ 2012 01:55:29,380 --> 01:55:30,924 ‎เรื่องราวของนิโกรลีกเรื่องนี้ 2013 01:55:31,007 --> 01:55:34,135 ‎ก็เป็นการเปรียบเปรยถึงความพยายาม 2014 01:55:34,218 --> 01:55:36,346 ‎ที่คนดำได้ทุ่มเท ‎ให้กับการสร้างความบันเทิงให้ผู้ชม 2015 01:55:36,429 --> 01:55:39,223 ‎เหล่านักเบสบอลต้องแสดงโชว์ ‎ระหว่างเดินทางไปสนาม 2016 01:55:39,307 --> 01:55:41,601 ‎แล้วก็ยังต้องแข่งเบสบอลอีกเก้าอินนิ่ง 2017 01:55:41,684 --> 01:55:44,354 ‎ผมชอบนะ ผมอยากรับบทบิงโกจริงๆ 2018 01:55:44,437 --> 01:55:47,273 ‎เพราะบิงโกเป็นตัวละครที่สนุกมากๆ 2019 01:55:47,357 --> 01:55:49,734 ‎เขารับประกันเงินให้เรา 200 ดอลลาร์ 2020 01:55:49,817 --> 01:55:52,320 ‎ถ้าเอามาแบ่งกัน 11 คน ก็จะได้ประมาณ… 2021 01:55:55,740 --> 01:55:56,741 ‎ได้เยอะอยู่ละกัน 2022 01:55:57,951 --> 01:56:00,078 ‎บิงโกคือทุกสิ่งที่วิลเลียมเป็น 2023 01:56:00,161 --> 01:56:02,705 ‎เขามีพลัง เขาชอบความมีชีวิตชีวา 2024 01:56:02,789 --> 01:56:04,165 ‎ชอบเหลวไหล นึกออกไหม 2025 01:56:07,251 --> 01:56:09,504 ‎(บราเธอร์ส (1977) ‎ผู้กำกับ อาร์เธอร์ บาร์รอน) 2026 01:56:09,587 --> 01:56:10,463 ‎นายได้ใครมา 2027 01:56:12,006 --> 01:56:13,549 ‎ผู้หญิงโคตรแจ่มเลย 2028 01:56:13,633 --> 01:56:18,346 ‎หนังปี 1977 "บราเธอร์ส" ‎เป็นความพยายามที่แปลกและหายาก 2029 01:56:18,429 --> 01:56:20,598 ‎ในการสร้างหนังดราม่าการเมืองคนดำ 2030 01:56:20,682 --> 01:56:22,934 ‎ด้วยเพลงประกอบอันหลอนหูโดยทัช มาฮาล 2031 01:56:23,017 --> 01:56:27,021 ‎นี่คือการผสมผสานอุดมคติ ‎ของเบอร์นี่ เคซีย์กับโวเน็ตต้า แมคกี 2032 01:56:27,105 --> 01:56:30,441 ‎ในบทตัวละครที่อิงจาก ‎จอร์จ แจ็คสันและแองเจล่า เดวิส 2033 01:56:30,525 --> 01:56:33,778 ‎แต่หนังเรื่องนี้กลับทำได้แค่เพียง ‎อวดโครงหุ่นสวยๆ ของคู่พระนางเท่านั้น 2034 01:56:34,988 --> 01:56:38,449 ‎ก่อนที่มาร์เวลและดีซี ‎จะเริ่มทำหนังจากการ์ตูนโดยเคารพต้นฉบับ 2035 01:56:38,533 --> 01:56:43,496 ‎จากจักรวาลของตัวเองเป็นประจำ ‎เรื่องราวซูเปอร์ฮีโร่ข้างถนนผู้มีเจตนาดี 2036 01:56:43,579 --> 01:56:46,874 ‎"เอบาร์: เดอะเฟิร์สต์แบล็คซูเปอร์แมน" ‎ก็ได้ออกฉายโรงไปก่อน 2037 01:56:47,375 --> 01:56:50,461 ‎หนังเรื่องนี้ฉลองให้กับวัตส์ทาวเวอร์ในจอหนัง 2038 01:56:50,545 --> 01:56:52,880 ‎ทำให้มันมีความหมายในโลกของคนดำ 2039 01:56:52,964 --> 01:56:54,090 ‎เริ่มยิงได้ 2040 01:56:59,387 --> 01:57:01,889 ‎และในตัวอย่างเวอร์ชันแรกๆ 2041 01:57:01,973 --> 01:57:05,852 ‎หนังเรื่องนี้ใช้จุดกำเนิดกัปตันอเมริกา ‎เป็นสูตรแนะนำ 2042 01:57:05,935 --> 01:57:08,229 ‎ในฐานะเผ่าพันธุ์คนดำ เราต้องรวมกันเป็นหนึ่ง 2043 01:57:08,312 --> 01:57:09,439 ‎ในทุกๆ แง่มุม 2044 01:57:09,522 --> 01:57:12,400 ‎เพื่อการนั้น ผมยอมเสียสละทุกอย่าง ‎ยกเว้นให้ผมไปฆ่าใคร 2045 01:57:12,483 --> 01:57:17,655 ‎งั้นผมคงทำให้คุณคงกระพันได้ 2046 01:57:18,614 --> 01:57:21,534 ‎วัฏจักรของหนังคนดำเริ่มถดถอยลงช้าๆ 2047 01:57:21,617 --> 01:57:24,662 ‎เพราะผลกำไรที่แน่นอน ‎จากหนังคนดำในบางแนว 2048 01:57:24,746 --> 01:57:27,915 ‎เริ่มลดลงด้วยความเร็วที่ดูจะสูงมาก 2049 01:57:27,999 --> 01:57:32,503 ‎ดังนั้น จึงไม่มีที่สำหรับ ‎หนังแปลกชั้นยอดแห่งยุค 1970 2050 01:57:32,587 --> 01:57:34,964 ‎หนังชีวประวัตินักมวยในชีวิตจริง 2051 01:57:35,048 --> 01:57:38,509 ‎กับเพลงประกอบที่ ‎กระตุ้นความคิดไม่พึงประสงค์ในช่วงแรก 2052 01:57:38,593 --> 01:57:42,055 ‎ฉันเชื่อว่าเด็กคืออนาคต 2053 01:57:42,764 --> 01:57:46,059 ‎สอนเด็กให้ดี ให้เด็กนำทางเราไป 2054 01:57:46,142 --> 01:57:51,022 ‎สอนให้เด็กเห็นถึงความงามข้างใน 2055 01:57:51,105 --> 01:57:53,441 ‎ผลงานติดชาร์ตอันดับหนึ่ง ‎เพลงนี้ของวิตนีย์ ฮุสตัน 2056 01:57:53,524 --> 01:57:57,820 ‎ได้ยกระดับเพลงจากเพลงหลงความคิดตัวเอง ‎เป็นเพลงมอบพลังให้ตัวเอง 2057 01:57:57,904 --> 01:58:01,657 ‎กระแสตอบรับ "เดอะเกรตเทสต์เลิฟออฟออล" ‎เป็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างรุ่น 2058 01:58:02,366 --> 01:58:06,245 ‎จากกระแสที่นักแสดงตั้งแต่ปี 1968 ‎นำความองอาจของอาลีมาใช้ 2059 01:58:06,329 --> 01:58:09,499 ‎มุมมองของกระแสหลักที่มีต่ออาลีก็เปลี่ยนไป 2060 01:58:09,582 --> 01:58:12,043 ‎จากขี้เก๊กเป็น "ยอดรักขวัญใจตลอดกาล" 2061 01:58:14,295 --> 01:58:17,381 ‎ก่อนยุคปี 1968-78 2062 01:58:17,465 --> 01:58:19,717 ‎เพลงประกอบหนังไม่ค่อยสำคัญต่อสตูดิโอ 2063 01:58:19,801 --> 01:58:22,011 ‎เพราะยอดขายไม่ได้สูงมากนัก 2064 01:58:22,095 --> 01:58:25,056 ‎และมักจะวางขายหลังหนังออกฉายหลายเดือน 2065 01:58:25,139 --> 01:58:27,308 ‎หนังคนดำยุค 1970 เมินตัวอย่างแบบนั้น 2066 01:58:28,351 --> 01:58:33,356 ‎เพลงประกอบไม่ใช่แค่เสียงประกอบ ‎แต่เป็นตัวกระตุ้นความคิดและเสียง 2067 01:58:33,439 --> 01:58:38,569 ‎ความกล้าของเพลงเหล่านี้ได้เปลี่ยน ‎เพลงประกอบหนังและเพลงกระแสหลักไปตลอด 2068 01:58:38,653 --> 01:58:41,906 ‎ทันใดนั้น เพลงประกอบหนัง ‎ก็เป็นข้อพิจารณาทางการพาณิชย์ 2069 01:58:41,989 --> 01:58:44,158 ‎เพลงประกอบหนังคนดำที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ 2070 01:58:44,242 --> 01:58:48,037 ‎ที่แต่งและบรรเลงโดย ‎นักร้องอาร์แอนด์บี ศิลปินเพลงแจ๊ซ 2071 01:58:48,663 --> 01:58:52,792 ‎ได้ฝึกนักดนตรีตามสูตรเพลงคลาสสิค ‎โดยผสมผสานระหว่างเพลงคลาสสิคกับสมัยใหม่ 2072 01:58:52,875 --> 01:58:55,336 ‎ยอดมือกลองรับจ้าง เบอร์นาร์ด เพอร์ดี้ 2073 01:58:55,419 --> 01:58:58,131 ‎ต้องการแสดงให้เห็นถึงนิยามที่แท้จริงของฟังก์ 2074 01:58:58,214 --> 01:59:00,299 ‎ในหนังคนดำเรตเอ็กซ์ "ไลลาห์" 2075 01:59:00,383 --> 01:59:03,678 ‎ที่เขาได้ออกกล้อง ‎เล่นเพลงประกอบที่เขาแต่งให้หนังเรื่องนี้ 2076 01:59:06,556 --> 01:59:09,142 ‎ในที่สุด วงการหนังก็ต้องเริ่มสนใจ 2077 01:59:09,225 --> 01:59:13,062 ‎เพราะมีเพลงฮิตออกมา ‎จากอัลบั้มเพลงประกอบหนังคนดำเยอะเกินไป 2078 01:59:13,354 --> 01:59:15,356 ‎(ไดอาน่า รอสส์ เพลงประกอบ ‎เลดี้ซิงส์เดอะบลูส์) 2079 01:59:15,439 --> 01:59:17,150 ‎(เพลงประกอบ คลอดี ‎แกลดิส ไนต์แอนด์เดอะพิปส์) 2080 01:59:18,359 --> 01:59:20,361 ‎โรเบิร์ต สติกวูดกำลังสร้างหนัง 2081 01:59:20,444 --> 01:59:23,072 ‎เกี่ยวกับคนขาวชนชั้นกลาง ‎ที่ถูกแสงสีแห่งดิสโก้ครอบงำ 2082 01:59:23,781 --> 01:59:25,533 ‎ดนตรีของคนดำ 2083 01:59:25,616 --> 01:59:28,161 ‎เนื่องจากสติกวูดเป็นเจ้าของค่ายเพลงด้วย 2084 01:59:28,244 --> 01:59:31,831 ‎เขาจึงใช้เพลงประกอบหนัง ‎ของศิลปินชื่อดังที่สุดของเขา 2085 01:59:31,914 --> 01:59:33,833 ‎เดอะบีจีส์ เพื่อโปรโมตหนัง 2086 01:59:33,916 --> 01:59:38,087 ‎และช่วยให้ผู้ชมกลุ่มเป้าหมาย ‎เอาชนะความกลัวคนดำครองโลก 2087 01:59:38,171 --> 01:59:41,382 ‎ไม่นาน เพลงประกอบหนัง ‎ก็ยึดครองชาร์ตเพลงป็อป 2088 01:59:41,465 --> 01:59:44,719 ‎และถูกคาดหวังว่าจะทำได้ ‎เพราะตัวอย่างจากหนังคนดำ 2089 01:59:44,802 --> 01:59:47,930 ‎นี่คือหนึ่งในความสำเร็จหลายอย่าง ‎ที่ยั่งยืนแต่ขาดการชื่นชม 2090 01:59:48,014 --> 01:59:49,473 ‎ของหนังคนดำในยุคนี้ 2091 01:59:49,557 --> 01:59:51,684 ‎(เพลงประกอบ แซตเทอร์เดย์ไนต์ฟีเวอร์) 2092 01:59:53,144 --> 01:59:56,856 ‎เมื่อปี 1977 สิ่งที่น่าหลงใหลที่สุดในหนังคนดำ 2093 01:59:56,939 --> 02:00:01,235 ‎ท่าเดินเข้าฉาก ความมั่นใจ ‎และธีมการเปิดตัวพระเอกอย่างมีพลัง 2094 02:00:01,319 --> 02:00:05,031 ‎เช่นฉากนี้ ในที่สุดก็มีหนังกระแสหลัก ‎สร้างฉากรำลึกถึง 2095 02:00:05,114 --> 02:00:08,075 ‎(แซตเทอร์เดย์ไนต์ฟีเวอร์ (1977) ‎ผู้กำกับ จอห์น แบดแดม) 2096 02:00:10,411 --> 02:00:12,622 ‎(ชาฟต์ (1971) ‎ผู้กำกับ กอร์ดอน พาร์กส์) 2097 02:00:12,872 --> 02:00:16,834 ‎ซึ่งบ่งบอกได้ว่า ‎ทุกรุ่นมีเอลวิสหรือเอมิเน็มเป็นของตัวเอง 2098 02:00:19,378 --> 02:00:23,633 ‎จอห์น ทราโวลต้าคืออีกคนหนึ่ง ‎ในประวัติศาสตร์ความเท่ยาวนานหลายสิบปี 2099 02:00:24,467 --> 02:00:26,427 ‎ความเท่แบบคนดำในฉบับคนขาวไม่แท้ 2100 02:00:27,094 --> 02:00:28,346 ‎ซึ่งเท่รองลงมา 2101 02:00:29,847 --> 02:00:31,933 ‎ทราโวลต้าในบทโทนี่ มาเนโร 2102 02:00:32,016 --> 02:00:35,228 ‎อาจไม่ใช่คนแรกที่ประยุกต์ใช้สไตล์แบบคนดำ 2103 02:00:35,311 --> 02:00:38,481 ‎แต่เขาเต็มใจรับสไตล์คนดำ ‎ด้วยลูกเล่นแพรวพราวลึกซึ้ง 2104 02:00:38,981 --> 02:00:40,900 ‎ความจริงจังและตั้งใจของเขา 2105 02:00:40,983 --> 02:00:43,945 ‎กลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจริง 2106 02:00:44,528 --> 02:00:45,571 ‎ครั้งใหญ่ที่สุด 2107 02:00:47,448 --> 02:00:51,619 ‎ภายในปี 1978 ริชาร์ด ไพรเออร์ ‎ได้แสดงหนังมาแล้วถึง 20 เรื่อง 2108 02:00:51,702 --> 02:00:53,829 ‎นอกเหนือจากหนังไม่กี่เรื่อง 2109 02:00:53,913 --> 02:00:58,125 ‎เดี่ยวไมโครโฟนสด และ "วัตต์สแต็กซ์" ‎ไม่มีเรื่องไหนใช้พรสวรรค์ของเขาได้ตลอดเรื่อง 2110 02:00:58,209 --> 02:00:59,043 ‎จะซื้อวิทยุเหรอ 2111 02:00:59,669 --> 02:01:01,921 ‎ล็อกเกอร์ผมเจ๊งมาหกเดือนแล้วนะ 2112 02:01:02,004 --> 02:01:03,798 ‎แล้วบริษัทก็ยังไม่ซ่อมให้เลย 2113 02:01:04,340 --> 02:01:06,968 ‎นี่ผมต้องแหย่นิ้วเข้าไปในรูเล็กๆ 2114 02:01:07,051 --> 02:01:10,513 ‎นิ้วผมโดนบาดสองอาทิตย์ก่อน ยังไม่หายเลย 2115 02:01:10,596 --> 02:01:14,892 ‎ในปี 1978 เขาร่วมแสดงนำในบทที่ยากที่สุด 2116 02:01:15,393 --> 02:01:19,188 ‎เขารับบทช่างยนต์ ‎ผู้โมโหง่ายและน่าเวทนาใน "บลูคอลลาร์" 2117 02:01:19,730 --> 02:01:22,900 ‎ซึ่งยังคงเป็นผลงาน ‎ที่เขาชอบที่สุดโดยส่วนตัวอีกด้วย 2118 02:01:23,693 --> 02:01:26,487 ‎นายมันไอ้บ้านนอก ชนบท สารเลว รู้ตัวไหม 2119 02:01:26,570 --> 02:01:29,031 ‎พอที นายโดนไล่ออก ฉันไม่ไหวกับนายแล้ว 2120 02:01:29,115 --> 02:01:31,492 ‎ฉันจะฆ่าไอ้เวรนั่น เข้าใจไหม 2121 02:01:31,575 --> 02:01:34,245 ‎นี่คือหนังที่บรรยากาศดุเดือดมาก 2122 02:01:34,328 --> 02:01:37,081 ‎จนคุณสร้างหนังดีๆ ‎เกี่ยวกับการถ่ายทำ "บลูคอลลาร์" ได้เลย 2123 02:01:37,581 --> 02:01:39,333 ‎ในปีต่อมานั้นเอง 2124 02:01:39,417 --> 02:01:42,253 ‎ไพรเออร์ก็ปลดปล่อยตัวเอง ‎จากกุญแจมือที่เขาไม่รู้ตัว 2125 02:01:42,336 --> 02:01:45,089 ‎ในบทที่ซับซ้อนและน่าทึ่งที่สุดของเขา 2126 02:01:45,172 --> 02:01:46,007 ‎ตัวเขาเอง 2127 02:01:46,090 --> 02:01:49,802 ‎ผมไม่เคยอยากเจอตำรวจเลยในชีวิตนี้ 2128 02:01:51,887 --> 02:01:53,014 ‎ที่บ้านผมนะ 2129 02:01:54,390 --> 02:01:57,893 ‎การได้เห็นการคุมคนดูที่น่าทึ่ง ‎เหมือนได้เห็นมือกลองในวงแจ๊ซ 2130 02:01:57,977 --> 02:01:59,687 ‎ในหนังเรื่อง "ไลฟ์อินคอนเสิร์ต" 2131 02:01:59,770 --> 02:02:03,107 ‎ก็เหมือนได้เห็นว่า ‎เขาคือโทนี่ วิลเลียมส์แห่งวงการตลก 2132 02:02:03,941 --> 02:02:06,610 ‎มันยิ่งทำให้เห็นว่าหนังจากสตูดิโอใหญ่ 2133 02:02:06,694 --> 02:02:10,156 ‎เช่น "เดอะวิซ" ใช้พรสวรรค์ ‎ที่เห็นได้ชัดเจนของเขาอย่างเสียเปล่า 2134 02:02:10,239 --> 02:02:11,574 ‎ตัวปลอม 2135 02:02:12,241 --> 02:02:16,579 ‎ณ จุดนี้ ดูเหมือนมีสิ่งเดียว ‎ที่ช่วยไม่ให้หนังคนดำหายสาบสูญไป 2136 02:02:16,662 --> 02:02:18,748 ‎เดอะวิซออกไปแล้ว เขาไม่อยู่ 2137 02:02:19,415 --> 02:02:21,334 ‎ฉันกำลังจะไปหาเดอะวิซ 2138 02:02:22,043 --> 02:02:23,711 ‎เขาจะพาฉันกลับบ้าน 2139 02:02:24,420 --> 02:02:25,504 ‎ก็ดีนี่ 2140 02:02:25,588 --> 02:02:29,800 ‎หรือนี่คือหนังเพลงฟอร์มยักษ์ทุ่มทุนสร้าง ‎จากหนึ่งในผู้กำกับผู้เป็นที่เคารพที่สุด 2141 02:02:29,884 --> 02:02:32,636 ‎พร้อมการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก ‎ของนักแสดงผู้มีชะตาจะได้เป็น… 2142 02:02:32,720 --> 02:02:35,514 ‎ปรากฏการณ์เพลงป็อป ‎ที่ดังที่สุดในทศวรรษต่อไป 2143 02:02:35,598 --> 02:02:38,517 ‎และทุนสร้างที่อาจจะเทียบเท่าเงินที่ใช้ไป 2144 02:02:38,601 --> 02:02:41,354 ‎กับการสร้างหนังคนดำทุกเรื่อง ‎ในปี 1968 รวมกัน 2145 02:02:41,437 --> 02:02:45,274 ‎เป็นความคิดที่ดีในขั้นวางแผน ‎แต่อาจจะไม่ดีตอนทำจริง 2146 02:02:45,358 --> 02:02:47,526 ‎ผู้กำกับคือคนที่เคยสร้างผลงานชั้นยอด 2147 02:02:47,610 --> 02:02:51,781 ‎กับหนังที่เครียด กล้าลุย ‎เช่น "เซอร์ปิโก้" และ "ด็อกเดย์อาฟเตอร์นูน" 2148 02:02:51,864 --> 02:02:54,575 ‎ตัวเอกแก่เกินบทไปประมาณ 20 ปี 2149 02:02:54,658 --> 02:02:55,868 ‎และความสำแดงพลังอารมณ์ 2150 02:02:55,951 --> 02:02:58,537 ‎กับความใกล้ชิดแบบในโบสถ์ของละครเวที 2151 02:02:58,621 --> 02:03:01,916 ‎ก็ถูกแทนที่ด้วยตัวประกอบนับร้อยชีวิต ‎ที่พยายามไม่เดินชนกัน 2152 02:03:01,999 --> 02:03:06,420 ‎ในชุดที่ดูจะมีป้ายราคาแพงระยับติดอยู่ 2153 02:03:06,504 --> 02:03:10,549 ‎ว่ากันว่า "เดอะวิซ" ใช้ทุนสร้าง ‎ระหว่าง 25-40 ล้านดอลลาร์ 2154 02:03:11,175 --> 02:03:13,219 ‎เท่ากับรายได้ของ "ซูเปอร์ฟลาย" 2155 02:03:13,302 --> 02:03:16,180 ‎เรื่องนี้ขาดความสุขุมที่แพร่ถึงกัน ‎และความน่าคบหา 2156 02:03:16,263 --> 02:03:18,224 ‎แบบหนังคนดำที่ประสบความสำเร็จ 2157 02:03:18,307 --> 02:03:21,018 ‎มันสร้างรายได้แค่ประมาณ ‎หนึ่งในสามของทุนสร้าง 2158 02:03:21,102 --> 02:03:22,561 ‎บทวิจารณ์อาจจะไม่ดี 2159 02:03:22,645 --> 02:03:25,356 ‎แต่หนังส่วนใหญ่ที่ทำธุรกิจ ‎อย่างเหนือธรรมดาก็ถูกวิจารณ์เช่นกัน 2160 02:03:25,439 --> 02:03:27,983 ‎ความจริงง่ายๆ คือ "เดอะวิซ" ขาดทุน 2161 02:03:28,067 --> 02:03:31,612 ‎ถึงขั้นที่ทำให้วงการหนัง ‎ได้เหตุผลที่ต้องการมานาน 2162 02:03:31,695 --> 02:03:34,407 ‎เพื่อถอนตัวจากธุรกิจหนังคนดำ 2163 02:03:34,490 --> 02:03:37,493 ‎และทำให้ผู้บริหารค่ายหนังมีโอกาสพูดว่า 2164 02:03:37,576 --> 02:03:40,371 ‎"คนดำไม่อยากดูพวกตัวเองในหนังอีกแล้ว" 2165 02:03:40,454 --> 02:03:42,498 ‎หรือคำพูดที่ผมได้ยินมาจริงๆ 2166 02:03:42,581 --> 02:03:45,751 ‎"คนดำไม่เห็นพวกตัวเอง ‎ในหนังดราม่าอิงประวัติศาสตร์อยู่แล้ว" 2167 02:03:47,420 --> 02:03:49,046 ‎ปี 1978 นั้นเอง 2168 02:03:49,130 --> 02:03:52,425 ‎ที่พระเอกดังผิวขาวยอมรับบทฮีโร่อีกครั้ง 2169 02:03:52,508 --> 02:03:57,012 ‎หลังจากปฏิเสธบทแบบนี้ ‎เพื่อเล่นบทฮีโร่กึ่งตัวร้ายผู้ทรมานมานับสิบปี 2170 02:03:57,680 --> 02:04:01,183 ‎ตัวละครแบบฮีโร่ที่มั่นใจ สายตามุ่งมั่น 2171 02:04:01,684 --> 02:04:03,894 ‎เบิร์ต เรย์โนลดส์รับบทฮูเปอร์ 2172 02:04:03,978 --> 02:04:06,188 ‎และฮูเปอร์คือฮีโร่ตัวจริง 2173 02:04:06,272 --> 02:04:08,023 ‎และในที่สุดก็ซึมซับบทเรียน 2174 02:04:08,107 --> 02:04:10,609 ‎ที่หนังคนดำเข้าใจตั้งแต่แรกๆ 2175 02:04:10,693 --> 02:04:13,487 ‎ความเชื่อผิดๆ ที่ใหญ่ที่สุด ‎ที่วงการหนังได้สร้างขึ้น 2176 02:04:13,571 --> 02:04:16,323 ‎ย้อนกลับไปยุคดี.ดับเบิลยู. กริฟฟิธ ‎หรือแม้แต่ก่อนหน้านั้น 2177 02:04:16,407 --> 02:04:18,576 ‎คือเราอยากให้คนอื่นมาช่วย 2178 02:04:19,160 --> 02:04:21,370 ‎แต่มันมักจะเป็นคำโกหกที่น่าฟัง 2179 02:04:21,871 --> 02:04:26,000 ‎ชีสเบอร์เกอร์พริกที่มีพิษ แต่อร่อยเหลือเกิน 2180 02:04:28,127 --> 02:04:32,298 ‎วอร์เรน บีตตี้ยกระดับ ‎จากโจรปล้นธนาคารกระจอกขึ้นสู่สวรรค์ 2181 02:04:32,381 --> 02:04:35,843 ‎"เฮฟเวนแคนเวต" อาจมองได้ว่า ‎เป็นหนังกลับสู่จุดเริ่มต้น 2182 02:04:35,926 --> 02:04:38,679 ‎เพราะหนังรีเมคยุค 70 ‎จากเรื่อง "เฮียร์คัมส์มิสเตอร์จอร์แดน" 2183 02:04:38,762 --> 02:04:41,432 ‎เริ่มต้นชีวิตในมือนักแสดงผิวดำ 2184 02:04:41,515 --> 02:04:43,184 ‎ที่ร่วมงานกับฟรานซิส คอปโปลา 2185 02:04:43,267 --> 02:04:46,479 ‎บทมันตลกมาก เพราะเขาเป็นผู้ชายผิวขาว 2186 02:04:46,562 --> 02:04:49,023 ‎ที่ตายแล้วคืนชีพมาเป็นบิล คอสต์บี้ 2187 02:04:49,106 --> 02:04:51,275 ‎แต่คนอื่นเห็นเขาเป็นคนขาว 2188 02:04:52,067 --> 02:04:54,487 ‎เขาชอบนะ ผมไม่รู้ว่า ‎ทำไมถึงไม่เคยมีใครทำมาก่อน 2189 02:04:54,987 --> 02:04:58,115 ‎โรเบิร์ต เดอ นีโร ‎ใช้ความจดจ่อระดับดาราหนังของเขา 2190 02:04:58,199 --> 02:05:00,034 ‎แสดงบทจอมล้างแค้นตามตำราเก่า 2191 02:05:00,701 --> 02:05:03,871 ‎คลินต์ อีสต์วูดทิ้งปืนแม็กนัมจุด 44 ‎เพื่อไปสุงสิงกับวานร 2192 02:05:04,830 --> 02:05:09,668 ‎และจรวดที่ดีซีคอมมิคส์ ‎ปล่อยออกมาจากดาวคริปตันเมื่อปี 1938 2193 02:05:09,752 --> 02:05:12,630 ‎ในที่สุดก็ได้ถ่ายทอดออกมาบนจอหนัง 2194 02:05:17,968 --> 02:05:20,846 ‎(คิลเลอร์ออฟชีป (1978) ‎ผู้กำกับ ชาร์ลส์ เบอร์เน็ตต์) 2195 02:05:28,187 --> 02:05:32,441 ‎แต่พอถึงปี 1978 ‎ความสำเร็จสูงสุดของทศวรรษก็เริ่มเป็นจุดสนใจ 2196 02:05:32,525 --> 02:05:36,111 ‎ผลงานศิลปะที่ฉายมา ‎ตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนหน้า 2197 02:05:37,363 --> 02:05:39,615 ‎หนังเรื่องนี้ทำให้ผู้กำกับ ‎เสียเวลาเกือบทั้งทศวรรษ 2198 02:05:39,698 --> 02:05:40,866 ‎ในการสร้างและออกฉาย 2199 02:05:40,950 --> 02:05:43,786 ‎แต่จริงๆ แล้ว นี่คือโปรเจกต์วิทยานิพนธ์ 2200 02:05:43,869 --> 02:05:46,872 ‎เรื่องนี้ใช้ดนตรีได้อย่างเชี่ยวชาญ ‎ในการเล่าถึงตัวละครและฉาก 2201 02:05:46,956 --> 02:05:49,542 ‎และแสดงถึงการดึงความสนใจ ‎ได้อย่างน่าทึ่งของสื่อภาพยนตร์ 2202 02:05:49,625 --> 02:05:52,044 ‎และยังมีคนทำตามจนถึงศตวรรษต่อมา 2203 02:05:53,671 --> 02:05:56,674 ‎(ไซด์วอล์คสตอรี่ส์ (1989) ‎ผู้กำกับ ชาร์ลส์ เลน) 2204 02:05:59,969 --> 02:06:02,930 ‎(จอร์จ วอชิงตัน (2000) ‎ผู้กำกับ เดวิด กอร์ดอน กรีน) 2205 02:06:06,308 --> 02:06:09,270 ‎(เฮาส์ปาร์ตี้ (1990) ‎ผู้กำกับ เรจินัลด์ ฮัดลิน) 2206 02:06:10,980 --> 02:06:13,691 ‎เบอร์เน็ตต์หยิบยิมความเจ็บปวดใจ ‎อันละเอียดอ่อนจาก "ดิสบิตเทอร์เอิร์ธ" 2207 02:06:13,774 --> 02:06:15,192 ‎ของไดนาห์ วอชิงตัน 2208 02:06:15,276 --> 02:06:19,029 ‎และมาร์ติน สกอร์ซีซีก็รำลึกถึงฉากนี้ ‎ด้วยทั้งภาพและเพลงประกอบ 2209 02:06:24,994 --> 02:06:28,330 ‎คนที่โตมากับผม ผมชื่นชมพวกเขามากนะ 2210 02:06:28,414 --> 02:06:30,249 ‎คนเป็นพ่อที่… 2211 02:06:30,332 --> 02:06:32,501 ‎ไม่เหมือนในหนังฮอลลีวูด 2212 02:06:32,585 --> 02:06:36,380 ‎ที่ทุกคนเป็นโสเภณี ‎หรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่าง ทิ้งครอบครัว 2213 02:06:36,463 --> 02:06:38,132 ‎ให้แม่ดูแลลูก เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว 2214 02:06:38,841 --> 02:06:42,720 ‎ผู้ปกครองและคนเป็นพ่อเหล่านี้ตั้งใจทำงาน 2215 02:06:42,803 --> 02:06:45,681 ‎ผมก็พยายามเป็นเหมือนพวกเขา ‎ผมโตมาในชุมชน 2216 02:06:45,764 --> 02:06:50,185 ‎ที่ผมเคารพและชอบทุกคนจริงๆ ‎เพราะผมเห็นว่าพวกเขาเป็นใคร 2217 02:06:50,269 --> 02:06:53,856 ‎นั่นคือคนแบบที่ผมเห็นว่า ‎ไม่ค่อยถูกพูดถึงในเรื่องเล่าต่างๆ 2218 02:06:54,815 --> 02:06:58,736 ‎นี่คือคนชนชั้นแรงงาน ‎วัตส์เป็นสถานที่ที่น่าสนใจมาก 2219 02:07:00,613 --> 02:07:02,197 ‎ตอนผมไปเรียนยูซีแอลเอทีแรก 2220 02:07:02,281 --> 02:07:05,618 ‎ที่นั่นมีฉายหนังช่วงจบไตรมาส ‎เรียกว่า "ห้องฉายหนังรอยซ์ ฮอลล์" 2221 02:07:06,243 --> 02:07:08,996 ‎เขาฉายหนังดีที่สุดที่ได้ออกฉาย… 2222 02:07:09,079 --> 02:07:11,081 ‎ในวงการหนังปีนั้น 2223 02:07:11,749 --> 02:07:14,209 ‎ผมเข้าเรียนกับ… 2224 02:07:14,293 --> 02:07:17,004 ‎อาจารย์คือเบซิล ไรต์ ‎เขาเป็นนักสร้างหนังสารคดี 2225 02:07:17,087 --> 02:07:21,258 ‎ผู้สร้าง "ซองออฟซีลอน" อะไรพวกนั้น ‎ผมโชคดีมากที่ได้เรียนวิชาเขา 2226 02:07:21,342 --> 02:07:23,886 ‎ผมจำได้ว่าไปดูหนังที่รอยซ์ ฮอลล์ 2227 02:07:24,386 --> 02:07:28,641 ‎ผมไม่เข้าใจเนื้อเรื่องเลยสักคำ ผมเข้าไม่ถึง… 2228 02:07:28,724 --> 02:07:32,102 ‎นั่นคือยุคที่ฮิปปี้กำลังดัง 2229 02:07:32,186 --> 02:07:37,066 ‎มีฉากโป๊ ขึ้นไปบนโทปังกาแคนยอน 2230 02:07:37,149 --> 02:07:39,902 ‎ผู้ชายก็ดูดปุ๊น ทำทุกอย่างเลย 2231 02:07:39,985 --> 02:07:41,779 ‎แค่ค้นหาตัวเอง 2232 02:07:41,862 --> 02:07:43,989 ‎เข้าใจตัวเองและเพศของตัวเองซะใหม่ 2233 02:07:44,740 --> 02:07:47,326 ‎นั่นไม่ใช่ปัญหาในชุมชนของผมเลย 2234 02:07:57,670 --> 02:08:00,673 ‎"คิลเลอร์ออฟชีป" ‎แสดงถึงศักยภาพของสื่อภาพยนตร์ 2235 02:08:00,756 --> 02:08:03,717 ‎โดยกวีที่ค้นพบความงามใกล้บ้านตัวเอง 2236 02:08:03,801 --> 02:08:06,553 ‎และแน่นอน เขาถูกเมินจากสื่อกระแสหลัก 2237 02:08:07,096 --> 02:08:09,056 ‎มันไม่มีอะไรให้จดจำเลย 2238 02:08:09,139 --> 02:08:12,267 ‎แม้นักสร้างหนังหลายคน ‎จะสร้างอาชีพจากการเลียนแบบเรื่องนี้ 2239 02:08:12,810 --> 02:08:15,312 ‎แล้วหนังคนดำก็ถูกทิ้งให้เฉาตาย 2240 02:08:15,896 --> 02:08:16,897 ‎แต่มันก็ไม่ยอมตาย 2241 02:08:17,481 --> 02:08:21,360 ‎ในทุกทศวรรษนับตั้งแต่ปี 1978 ‎จะมีการผงาดและล่มสลาย 2242 02:08:21,443 --> 02:08:23,696 ‎ของนักสร้างหนังผิวดำพรสวรรค์ที่ไม่ยอมแพ้ 2243 02:08:24,363 --> 02:08:26,949 ‎หรือบทเรียนคือคนที่ไม่จำอดีต 2244 02:08:27,032 --> 02:08:28,826 ‎จะต้องสร้าง "ชาฟต์" ฉบับใหม่เสมอไป 2245 02:08:29,576 --> 02:08:32,663 ‎คนมักพูดถึงศักดิ์ศรีที่เกิดจากยุคนั้น แต่ถึงกระนั้น 2246 02:08:32,746 --> 02:08:37,668 ‎ผมคิดถึงคำที่ยายเคยพูด ‎"แกไม่ควรยึดติดศักดิ์ศรี มันเป็นกับดัก 2247 02:08:37,751 --> 02:08:40,671 ‎มันแปลว่าแกอยากให้คนอื่นได้เห็นแกยืดอก 2248 02:08:40,754 --> 02:08:42,214 ‎มันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว 2249 02:08:42,297 --> 02:08:45,926 ‎แต่ให้พอใจกับสิ่งที่ทำ สิ่งนั้นเป็นของแก 2250 02:08:46,552 --> 02:08:49,096 ‎นั่นคือสิ่งที่แกอยากแบ่งปันให้คนอื่น" 2251 02:08:49,722 --> 02:08:51,557 ‎นี่คือสิ่งที่ผมคิดได้จากหนังเหล่านี้ 2252 02:08:51,640 --> 02:08:53,976 ‎ความพอใจที่เหล่าดาราได้รับ ‎จากการสร้างหนังเหล่านี้ 2253 02:08:54,059 --> 02:08:57,020 ‎พวกเขาได้ส่งต่อถึงผมและคนอื่นๆ 2254 02:08:57,104 --> 02:08:58,105 ‎และมันเป็นสิ่งที่มีชีวิต 2255 02:09:25,841 --> 02:09:27,050 ‎ดื่มให้คนที่ไม่อยู่ที่นี่ 2256 02:09:28,385 --> 02:09:33,766 ‎นอกจากเป็นแหล่งเก็บความหวัง ‎พวกเขายังเป็นหลักฐานที่ประจักษ์ชัด 2257 02:09:34,308 --> 02:09:36,685 ‎ว่าเราอยู่ตรงนี้ เรามีตัวตน 2258 02:09:37,186 --> 02:09:38,729 ‎ว่าเราสร้างวัฒนธรรม 2259 02:09:39,271 --> 02:09:41,732 ‎ว่าชุมชนของเราเป็นชุมชนที่อยู่ได้ 2260 02:09:41,815 --> 02:09:43,108 ‎เป็นชุมชนที่สำคัญ 2261 02:09:43,776 --> 02:09:47,196 ‎ว่าเรามีเสียง คุณต้องฟังเรา 2262 02:09:49,198 --> 02:09:53,494 ‎ขอทิ้งท้าย มีหนึ่งคนที่เป็นสัญลักษณ์ ‎ของทั้งเรื่องดีและร้ายในยุคนั้น 2263 02:09:53,577 --> 02:09:56,789 ‎จากที่เคยเป็นอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศ ‎กลับกลายเป็นไร้ตัวตน 2264 02:09:56,872 --> 02:09:59,333 ‎แล้วกลับมาเป็นหนึ่งในคนสุดท้ายที่ยังอยู่ 2265 02:09:59,416 --> 02:10:00,793 ‎ซิดนีย์ พัวทิเยร์ 2266 02:10:00,876 --> 02:10:03,921 ‎ที่เปลี่ยนเส้นทางของเขา แต่ไม่เคยชะลอลงเลย 2267 02:10:04,505 --> 02:10:08,133 ‎เขาเชื่อว่าสายสัมพันธ์ ‎กับกลุ่มผู้ชมผิวดำของเขาจะยังอยู่ 2268 02:10:10,219 --> 02:10:14,973 ‎ตั้งแต่ปี 1968-78 ‎เขากำกับและแสดงนำในห้าเรื่อง 2269 02:10:15,057 --> 02:10:16,975 ‎ฉันขอศรัทธาในพระคัมภีร์ 2270 02:10:17,059 --> 02:10:21,188 ‎ทุกเรื่องมีศูนย์กลาง ‎เป็นตัวละครที่เสแสร้งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง 2271 02:10:21,271 --> 02:10:24,149 ‎ให้ตายสิ พวก เราไว้ใจนายนะ ทำไมต้องเรา 2272 02:10:25,442 --> 02:10:26,777 ‎ทำไมจะไม่ใช่นายล่ะ พี่ชาย 2273 02:10:26,860 --> 02:10:28,654 ‎ผมเคยถามเขาเรื่องนี้ 2274 02:10:29,154 --> 02:10:31,323 ‎หนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมได้คุยกับเขา 2275 02:10:31,406 --> 02:10:33,992 ‎ทุกครั้งจบที่เขาปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์กับผม 2276 02:10:34,076 --> 02:10:38,205 ‎เมื่อผมถามว่าผลงานกำกับทั้งห้าเรื่อง ‎เกี่ยวกับการเสแสร้งทั้งหมดเลยหรือไม่ 2277 02:10:38,288 --> 02:10:39,373 ‎ลืมตาสิ 2278 02:10:39,456 --> 02:10:40,749 ‎เขาขำแล้วตอบว่า 2279 02:10:41,250 --> 02:10:44,586 ‎"พ่อหนุ่ม ผมมีหมอบำบัดแล้ว ‎ไม่ต้องการเพิ่มอีกคนหรอก" 2280 02:10:45,546 --> 02:10:49,967 ‎นายสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ‎เข้มแข็งและกล้าหาญ 2281 02:10:50,634 --> 02:10:53,303 ‎เข้มแข็งและกล้าหาญ 2282 02:10:53,387 --> 02:10:59,268 ‎นายชนะนักมวยทุกคนบนโลกได้ ‎นายจะคว้าแชมป์ได้ 2283 02:11:01,353 --> 02:11:03,522 ‎- ผมทำได้เหรอ ‎- ใช่ 2284 02:11:05,274 --> 02:11:08,652 ‎แต่การเป็นคนดำในอเมริกา ‎มักจะสำคัญที่การจดจำไว้ 2285 02:11:08,735 --> 02:11:11,989 ‎ว่าสิ่งที่คุณคิดว่าตัวเองเป็น ‎ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมองเห็น 2286 02:11:12,072 --> 02:11:15,158 ‎และต้องเข้าใจระยะห่าง ‎ระหว่างมุมมองสองอย่างนั้น 2287 02:11:16,159 --> 02:11:18,579 ‎ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ยายของผมคงเห็นด้วย 2288 02:14:46,536 --> 02:14:51,541 ‎คำบรรยายโดย วรากรณ์ จันทา