1 00:00:07,123 --> 00:00:10,203 ‎ตอนก่อน เราได้เห็นเรอแนซ็องส์พลิกโฉมยุโรป 2 00:00:10,283 --> 00:00:14,403 ‎จากแดนชุ่มโคลนอุดมพาร์สนิป ‎เป็นรีสอร์ตหรูพร้อมภาพเขียน 3 00:00:15,163 --> 00:00:19,523 ‎การตื่นรู้ครั้งนี้ชักนำให้ประชาชนลุกฮือ 4 00:00:19,603 --> 00:00:21,843 ‎ต่อต้านสถาบันเรืองอำนาจ 5 00:00:22,803 --> 00:00:24,403 ‎การปฏิวัติเป็นแค่จุดเริ่ม 6 00:00:24,483 --> 00:00:27,603 ‎มนุษยชาติจะก้าวกระโดดอีกครั้ง 7 00:00:27,683 --> 00:00:30,283 ‎คราวนี้ด้วยโลหะและกระแสไฟฟ้า 8 00:00:30,363 --> 00:00:34,443 ‎ความก้าวหน้าก่อกำเนิด ‎ยุคใหม่แห่งความสะดวกและสื่อบันเทิง 9 00:00:34,523 --> 00:00:37,522 ‎แต่ก็ยังนำมาซึ่งภัยต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก 10 00:00:37,603 --> 00:00:39,403 ‎ข้อดีและเสียพอๆ กัน 11 00:00:39,483 --> 00:00:42,083 ‎สัปดาห์นี้ถึงคิวกำเนิดจักรกลบนโลกใบนี้ 12 00:00:42,163 --> 00:00:43,803 ‎(ฟิโลมีนา คังค์ ผู้ดำเนินรายการ) 13 00:00:43,883 --> 00:00:46,603 ‎และในรายการเราด้วย 14 00:00:54,123 --> 00:00:57,123 ‎(มองโลกผ่านคังค์) 15 00:00:59,243 --> 00:01:01,963 ‎(ตอนที่ 4: ‎กำเนิดใหม่ของเครื่องจักร) 16 00:01:02,043 --> 00:01:06,203 ‎กว่าร้อยปีที่สรรพสิ่งตามธรรมชาติ ‎ไม่ว่าคนหรือวัว 17 00:01:06,283 --> 00:01:08,003 ‎ล้วนอาศัยสิ่งนี้ 18 00:01:08,643 --> 00:01:09,603 ‎อากาศหายใจ 19 00:01:10,323 --> 00:01:12,043 ‎ถ้าไม่เคยได้ยิน 20 00:01:12,123 --> 00:01:15,363 ‎อากาศคือก๊าซล่องหนที่มีฤทธิ์เสพติด 21 00:01:15,443 --> 00:01:17,443 ‎ส่งผลให้ลงแดงถึงตาย 22 00:01:17,523 --> 00:01:20,083 ‎หลังขาดมันเพียงแค่ไม่กี่นาที 23 00:01:21,563 --> 00:01:25,523 ‎คู่อาฆาตอย่างน้ำ ‎อิจฉาที่ทุกสิ่งพึ่งพาอากาศ 24 00:01:26,043 --> 00:01:27,963 ‎จึงตัดสินใจทุ่มเดิมพัน 25 00:01:28,043 --> 00:01:30,563 ‎ตั้งใจเป็นสิ่งที่มนุษย์ขาดไม่ได้ 26 00:01:30,643 --> 00:01:32,403 ‎เราซึ่งเป็นนายของมัน 27 00:01:32,483 --> 00:01:34,043 ‎ตัวมันรุ่มร้อนใจ 28 00:01:34,123 --> 00:01:36,803 ‎ที่แปลงให้มันกลายมามีประโยชน์- 29 00:01:36,883 --> 00:01:37,923 ‎เป็นไอน้ำ 30 00:01:38,603 --> 00:01:42,283 ‎ไอน้ำเป็นเชื้อเพลิงเครื่องจักรได้สารพัด 31 00:01:42,363 --> 00:01:45,883 ‎และไม่มีที่ไหนคลั่งไอน้ำไปยิ่งกว่าอเมริกา 32 00:01:45,963 --> 00:01:49,443 ‎และก็พลิกโฉมหน้าประเทศไปตลอดกาล 33 00:01:49,523 --> 00:01:52,483 ‎เราคงต้องดูแผนที่ ถ้าอยากจะเห็นภาพชัดๆ 34 00:01:52,563 --> 00:01:55,203 ‎ยุคแรก การตั้งรกรากเกิดที่บริเวณขอบ 35 00:01:55,283 --> 00:01:59,403 ‎ตรงกลางโล่งโจ้ง เหมือนเวลาเวฟพายแช่แข็ง 36 00:01:59,483 --> 00:02:02,283 ‎แต่สมัยนั้น คนอเมริกันไม่ได้ถ่อมตัว 37 00:02:02,363 --> 00:02:04,043 ‎สมัยนี้ก็ยังไม่ใช่ 38 00:02:04,123 --> 00:02:07,083 ‎พวกเขาศรัทธาใน "โองการของพระเจ้า" 39 00:02:07,163 --> 00:02:10,003 ‎ความเชื่อว่าตนครองดินแดนทั้งหมด 40 00:02:10,083 --> 00:02:12,403 ‎และควรบ่ายหน้าขยายสู่ตะวันตก 41 00:02:12,483 --> 00:02:14,242 ‎ชิงที่ดินจากชนพื้นเมือง 42 00:02:14,323 --> 00:02:16,283 ‎ผู้ที่พระเจ้าเผอิญปล่อยไว้ 43 00:02:17,163 --> 00:02:19,723 ‎โองการของพระเจ้าคืออะไร 44 00:02:19,803 --> 00:02:23,283 ‎โองการของพระเจ้า ‎คือแนวคิดยุค 1840 และ 1850… 45 00:02:23,363 --> 00:02:25,043 ‎(ดร. ไบรอัน คลาส รศ. การเมืองโลก) 46 00:02:25,123 --> 00:02:26,323 ‎ในสหรัฐอเมริกา 47 00:02:26,403 --> 00:02:29,683 ‎ว่าพระเจ้าประทานสิทธิ์ให้ตนปกครองทวีป 48 00:02:29,763 --> 00:02:33,723 ‎เพื่อเผยแพร่ค่านิยมความดี ‎จรดสองฝั่งมหาสมุทร 49 00:02:33,803 --> 00:02:35,123 ‎แผนของพระองค์สินะ 50 00:02:35,203 --> 00:02:36,363 ‎ประมาณนั้นครับ 51 00:02:36,443 --> 00:02:39,163 ‎อย่างนี้ก็เป็นทาสพระเจ้านะสิ 52 00:02:39,243 --> 00:02:41,923 ‎คนยุคนั้นน่าจะมองตัวเอง 53 00:02:42,003 --> 00:02:44,363 ‎เป็นมิชชันนารีของพระเจ้า 54 00:02:44,443 --> 00:02:48,403 ‎ยินยอมพร้อมใจทำตามนโยบายของพระองค์ 55 00:02:48,483 --> 00:02:50,083 ‎ไม่ได้โดนบีบบังคับ 56 00:02:50,163 --> 00:02:52,683 ‎อย่างน้อยๆ ก็อีหนูพระเจ้าล่ะ 57 00:02:52,763 --> 00:02:56,043 ‎แต่โองการของพระเจ้าก็อันตราย 58 00:02:56,123 --> 00:02:59,283 ‎ต้องขับเกวียนบุกป่าฝ่าดงเจอเรื่องเสี่ยงๆ 59 00:02:59,363 --> 00:03:00,563 ‎เกือบต้องอดตาย 60 00:03:00,643 --> 00:03:02,443 ‎หรือท้องร่วงเพราะโรคบิด 61 00:03:02,523 --> 00:03:05,603 ‎โดนงูกัดหรือเผ่าอาปาเช่ฆ่า 62 00:03:05,683 --> 00:03:08,563 ‎อย่างกับว่าพระเจ้าไม่ได้อยากให้ไปเลย 63 00:03:09,203 --> 00:03:12,403 ‎แต่การประดิษฐ์รถไฟไอน้ำเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง 64 00:03:12,483 --> 00:03:15,163 ‎รถไฟไอน้ำเย้ยหน้าเกวียน 65 00:03:15,243 --> 00:03:17,443 ‎แค่เปรียบเปรย ไม่ใช่นิทานเด็ก 66 00:03:17,523 --> 00:03:20,883 ‎ชาวอเมริกันปล่อยรถไฟไอน้ำแล่นตัดป่าเขา 67 00:03:21,803 --> 00:03:25,363 ‎วางเส้นทางทั่วดินแดน พลิกสมดุลอำนาจ 68 00:03:26,363 --> 00:03:30,643 ‎ทีนี้ก็สามารถรบรากับชนพื้นเมืองได้รวดเร็ว 69 00:03:30,723 --> 00:03:33,163 ‎พร้อมมีรถขนบุฟเฟต์ 70 00:03:33,923 --> 00:03:37,763 ‎เมืองเล็กๆ ผุดขึ้น ‎ตามแถบตะวันตกหลังมีรางรถไฟ 71 00:03:37,843 --> 00:03:40,563 ‎เป็นแดนเถื่อนนอกกฎหมาย 72 00:03:40,643 --> 00:03:43,643 ‎ที่ความยุติธรรมอยู่ที่ปลายกระบอกปืน 73 00:03:43,723 --> 00:03:47,923 ‎ระหว่างคาวบอยปกป้องฝูงวัวและเด็กหนุ่ม 74 00:03:48,483 --> 00:03:51,123 ‎อธิบายทีสิคะ นี่คืออะไร 75 00:03:51,203 --> 00:03:56,003 ‎ปืนลูกโม่โคลต์ ซิงเกิลแอ็กชันอาร์มี ‎หรือโคลต์ .45 76 00:03:56,083 --> 00:03:57,323 ‎บรรจุกระสุนตรงนี้ 77 00:03:57,403 --> 00:03:59,523 ‎(โจนาธาน เฟอร์กูสัน ‎ผู้ดูแลอาวุธและปืนใหญ่) 78 00:03:59,603 --> 00:04:01,603 ‎ขึ้นนกสับตรงนี้ทุกครั้งที่ยิง 79 00:04:02,283 --> 00:04:05,403 ‎มันคร่าชีวิตแค่คนยุคก่อนมั้ย 80 00:04:05,483 --> 00:04:07,723 ‎หรือคร่าชีวิตคนยุคใหม่ได้ด้วย 81 00:04:07,803 --> 00:04:09,883 ‎มันคร่าชีวิตคนยุคใหม่ได้ 82 00:04:09,963 --> 00:04:13,443 ‎แต่ดูเก่าจัง คล้ายๆ นาฬิกาด้วย 83 00:04:13,523 --> 00:04:15,443 ‎- ครับ ‎- กระสุนเคลื่อนที่ช้ามั้ย 84 00:04:15,523 --> 00:04:17,603 ‎วิ่งหนีทันหรือเปล่า 85 00:04:17,683 --> 00:04:19,923 ‎คุณวิ่งหนีกระสุนไม่ทัน 86 00:04:20,003 --> 00:04:21,643 ‎แต่คล้ายนาฬิกาจริง 87 00:04:21,723 --> 00:04:24,643 ‎กลไกข้างในเหมือนนาฬิกา มีฟันเฟือง 88 00:04:25,243 --> 00:04:27,163 ‎- ฝันเฟื่องเหรอ ‎- ฟันเฟือง 89 00:04:27,243 --> 00:04:30,403 ‎กระสุนออกมาตรงไหน ตรงท่อนั้นหรือเปล่า 90 00:04:30,483 --> 00:04:32,403 ‎ครับ นั่นกระบอกปืน 91 00:04:32,483 --> 00:04:36,923 ‎ขอหยิบมาหงายดูข้างในได้มั้ย 92 00:04:37,003 --> 00:04:38,603 ‎หรือจะโดนยิงลูกตา 93 00:04:38,683 --> 00:04:40,443 ‎หลักๆ แล้วไม่แนะนำกัน 94 00:04:40,523 --> 00:04:43,843 ‎ถ้าโดนยิงตาเราจะเจ็บหรือเปล่า 95 00:04:43,923 --> 00:04:47,203 ‎ตาเป็นแค่ถุงน้ำนี่ ถูกมั้ย 96 00:04:47,283 --> 00:04:49,203 ‎ก็คงแตกและเจ็บนิดเดียว 97 00:04:49,283 --> 00:04:51,803 ‎แต่คงเดินเหินทำธุระได้ตามปกติ 98 00:04:51,883 --> 00:04:54,403 ‎ผมว่าโดนยิงตรงไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น 99 00:04:54,483 --> 00:04:59,563 ‎ทำไมมนุษยชาติ ‎ต้องประดิษฐ์เครื่องจักรสังหารคน 100 00:04:59,643 --> 00:05:03,523 ‎ขอคำตอบแบบสั้นๆ ได้ใจความ 101 00:05:04,403 --> 00:05:05,803 ‎เพราะเราเป็นมนุษย์ 102 00:05:05,883 --> 00:05:11,323 ‎สัญชาตญาณบ่มเพาะให้เราแก่งแย่งทรัพยากร… 103 00:05:12,003 --> 00:05:14,483 ‎- ค่ะๆ ‎- สู้กับมนุษย์คนอื่นๆ 104 00:05:14,563 --> 00:05:15,883 ‎ยังไงก็หนีไม่พ้น 105 00:05:15,963 --> 00:05:18,083 ‎เข้าใจ ฉันว่ามนุษย์เสียสติ 106 00:05:19,083 --> 00:05:23,203 ‎ปืนช่วยหล่อหลอมอเมริกาและใช้สังหารคน 107 00:05:23,843 --> 00:05:28,083 ‎ปัจจุบัน อาวุธปืนยังเป็นอัตลักษณ์ของประเทศ 108 00:05:28,723 --> 00:05:32,003 ‎ทำไมคนอเมริกันถึงมีสิทธิ์ ‎ที่จะฆ่าทุกคนด้วยปืน 109 00:05:32,683 --> 00:05:33,643 ‎ไม่มีนะครับ 110 00:05:33,723 --> 00:05:38,163 ‎การฆ่าคนผิดกฎหมายสหรัฐฯ ‎แต่ประชาชนมีสิทธิ์ครอบครองอาวุธ 111 00:05:38,243 --> 00:05:40,683 ‎- มีสิทธิ์ติดอาวุธ ‎- ถูกต้อง 112 00:05:40,763 --> 00:05:43,083 ‎- อาวุธไม่ว่าเหรอ ‎- ไม่นะครับ 113 00:05:43,163 --> 00:05:45,283 ‎- นึกว่าอาวุธจะโวยวาย ‎- ครับ 114 00:05:45,363 --> 00:05:48,803 ‎ผมไม่ได้สันทัดด้านนี้ ‎แต่คิดว่าอาวุธไม่น่าแย้ง 115 00:05:48,883 --> 00:05:50,003 ‎เพราะไม่มีชีวิต 116 00:05:52,403 --> 00:05:55,243 ‎เมื่อมีคาวบอย ปืน และรถไฟพลังไอน้ำ 117 00:05:55,323 --> 00:05:58,163 ‎อเมริกาก็ได้ชื่อว่าเป็นแดนเสรี 118 00:05:58,243 --> 00:06:01,283 ‎ทาสทั้งหลายคงจะแปลกใจน่าดู 119 00:06:01,363 --> 00:06:04,683 ‎แนวคิดเรื่องทาสที่ป่าเถื่อน ‎ยังมีทั่วอเมริกา 120 00:06:04,763 --> 00:06:07,323 ‎โดยเฉพาะรัฐทางใต้ 121 00:06:07,403 --> 00:06:10,203 ‎แต่ในที่สุดหลังคิดอยู่หลายตลบ 122 00:06:10,283 --> 00:06:13,563 ‎คนในรัฐทางเหนือค้นพบเรื่องน่าสะพรึงกลัว 123 00:06:14,123 --> 00:06:17,483 ‎ภายในตัวทาสทุกคนคือมนุษย์คนหนึ่ง 124 00:06:18,083 --> 00:06:21,643 ‎ฝ่ายเหนือถามฝ่ายใต้ว่า ‎อยากให้อเมริกาเป็นแบบไหน 125 00:06:21,723 --> 00:06:24,083 ‎ประเทศที่คนขาวสูบเลือดคนอื่น 126 00:06:24,163 --> 00:06:26,163 ‎ทำเหมือนพวกเขาด้อยกว่า 127 00:06:26,243 --> 00:06:28,363 ‎หรือแสร้งว่าไม่ได้เป็น 128 00:06:29,163 --> 00:06:31,763 ‎ข้อโต้แย้งเลยเถิดเป็นสงครามกลางเมือง 129 00:06:31,843 --> 00:06:35,323 ‎ยุคที่อเมริกาแบ่งเป็นสองขั้ว ‎คล้ายกับปัจจุบัน 130 00:06:36,203 --> 00:06:38,803 ‎สงครามกลางเมืองทำบ้านเมืองแตกแยก 131 00:06:38,883 --> 00:06:40,243 ‎พี่น้องฆ่าฟันกันเอง 132 00:06:40,323 --> 00:06:44,163 ‎มีใครที่ขัดแย้งกับตัวเองจนถึงฆ่าตัวตายมั้ย 133 00:06:44,243 --> 00:06:46,083 ‎ผมว่าไม่นะ 134 00:06:46,163 --> 00:06:50,443 ‎หลายๆ คนคงเถียงกับตัวเองพอสมควร 135 00:06:50,523 --> 00:06:51,843 ‎เรื่องฝั่งที่เลือก 136 00:06:51,923 --> 00:06:54,323 ‎คุณหมายถึงอย่างนี้ใช่มั้ย 137 00:06:54,403 --> 00:06:57,643 ‎ทำไมถึงเรียกว่าสงครามยุคใหม่ครั้งแรก 138 00:06:57,723 --> 00:07:01,283 ‎ทั้งๆ ที่รูปก็ฟ้องว่า ‎มันเกิดตั้งเป็นชาติแล้ว 139 00:07:01,363 --> 00:07:02,843 ‎ประเด็นรูปน่าสนใจ 140 00:07:02,923 --> 00:07:05,923 ‎นี่คือสงครามแรกที่รูปภาพเข้ามามีบทบาท 141 00:07:06,963 --> 00:07:09,283 ‎เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง 142 00:07:09,363 --> 00:07:11,563 ‎และตีแผ่ความรุนแรง 143 00:07:11,643 --> 00:07:14,763 ‎ตอนไปล้างรูปคงตื่นเต้นน่าดู 144 00:07:14,843 --> 00:07:17,443 ‎ลุ้นว่ารูปไหนได้ ไม่ได้ 145 00:07:19,003 --> 00:07:22,283 ‎หลังไฟสงครามโหมอยู่สี่ปี 146 00:07:22,363 --> 00:07:25,523 ‎ฝ่ายเหนือเป็นฝั่งที่อยู่เหนือกว่าสมชื่อ 147 00:07:25,603 --> 00:07:30,563 ‎ชัยชนะแก่กษัตริย์ในแดนเหนือ ‎อับราฮัม ลินคอล์น 148 00:07:31,523 --> 00:07:33,283 ‎อับราฮัม ลินคอล์นเป็นใคร 149 00:07:33,363 --> 00:07:37,243 ‎ทำไมถึงมีรอยสักแปลกๆ ตรงหน้าท้อง 150 00:07:37,323 --> 00:07:40,003 ‎ผมไม่รู้เรื่องรอยสักที่ว่า 151 00:07:40,083 --> 00:07:45,163 ‎แต่เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ‎ที่หลายคนยกให้เขาคือที่หนึ่ง 152 00:07:45,243 --> 00:07:49,763 ‎เห็นว่าสักรูปสโนว์แมนกับนกโรบินที่ท้อง 153 00:07:50,283 --> 00:07:52,403 ‎นกโรบินที่มีหนวด 154 00:07:53,963 --> 00:07:56,523 ‎เรื่องนี้ผมไม่รู้จริงๆ 155 00:07:57,603 --> 00:08:01,523 ‎พอลินคอล์นเป็นประธานาธิบดี ‎ก็มีการเลิกทาสในที่สุด 156 00:08:01,603 --> 00:08:04,203 ‎มีอคติชาติพันธุ์ทั่วไปเข้ามาแทน 157 00:08:04,763 --> 00:08:08,083 ‎แต่อับราฮัม ลินคอล์น ‎ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุข 158 00:08:08,163 --> 00:08:12,083 ‎เขาเจอเคราะห์กรรมห้าวันหลังฝ่ายเหนือชนะ 159 00:08:12,163 --> 00:08:15,043 ‎โดนบังคับให้ไปดูละครที่โรงละคร 160 00:08:15,883 --> 00:08:18,643 ‎จนสุดท้ายมีมือปืนช่วยกรุณาปลิดชีพ 161 00:08:18,723 --> 00:08:21,643 ‎แต่ยังคงความโหดร้ายเพราะรอจนองก์สาม 162 00:08:21,723 --> 00:08:24,963 ‎อับราฮัม ลินคอล์นโดนยิงในโรงละครใช่มั้ย 163 00:08:25,043 --> 00:08:26,843 ‎ส่วนไหนของร่างกาย 164 00:08:26,923 --> 00:08:29,203 ‎หมายถึงลินคอล์นอยู่ที่ไหน 165 00:08:29,283 --> 00:08:30,323 ‎ตอนโดนยิงเหรอ 166 00:08:30,403 --> 00:08:34,203 ‎ที่นั่งประธานาธิบดีที่โรงละครฟอร์ด ‎ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 167 00:08:34,283 --> 00:08:35,283 ‎ทำไมถึงโดนยิง 168 00:08:35,363 --> 00:08:37,683 ‎ไม่ยอมถอดหมวกเหรอ 169 00:08:37,763 --> 00:08:39,602 ‎น่ารำคาญนะ ไปโรงละคร 170 00:08:39,683 --> 00:08:41,602 ‎แต่คนนั่งหน้าสวมหมวก 171 00:08:41,683 --> 00:08:43,003 ‎เขาอยู่ที่นั่งประธานาธิบดี 172 00:08:43,082 --> 00:08:45,403 ‎เท่าที่ทราบ ไม่มีใครนั่งข้างหลัง 173 00:08:45,483 --> 00:08:47,923 ‎แต่จอห์น วิลค์ส บูธยิงเขา 174 00:08:48,003 --> 00:08:50,083 ‎เพราะเชื่อมั่นในฝ่ายสมาพันธ์ 175 00:08:50,163 --> 00:08:55,123 ‎การโดนยิงหัวกระทบต่อ ‎การเป็นผู้นำของลินคอล์นยังไง 176 00:08:56,043 --> 00:08:59,603 ‎มันปิดฉากลง ‎เขาเสียชีวิต 12 ชั่วโมงหลังถูกยิง 177 00:08:59,683 --> 00:09:00,883 ‎ไปต่อไม่ได้เหรอ 178 00:09:00,963 --> 00:09:03,203 ‎พอเป็นศพแล้วบริหารต่อไม่ได้ 179 00:09:04,123 --> 00:09:06,683 ‎ชีวิตของลินคอล์นดับลง 180 00:09:06,763 --> 00:09:09,163 ‎แต่ชะตาของอเมริกากำลังรุ่งเรือง 181 00:09:09,243 --> 00:09:11,603 ‎อเมริกาทดลองกระแสไฟฟ้ามาตั้งแต่ 182 00:09:11,683 --> 00:09:14,483 ‎เบนจามิน แฟรงคลินเอากุญแจผูกสายว่าว 183 00:09:14,563 --> 00:09:16,363 ‎ให้ฟ้าผ่าลงมา 184 00:09:17,043 --> 00:09:22,243 ‎ในปี 1878 ทอมัส เอดิสัน ‎คิดค้นวิธีใช้งานมันสำเร็จ 185 00:09:22,323 --> 00:09:24,163 ‎เพื่อทำเรื่องเหลือเชื่อ 186 00:09:25,243 --> 00:09:28,723 ‎ฉันนึกภาพโลก ‎ที่เอดิสันไม่ประดิษฐ์หลอดไฟไม่ออก 187 00:09:28,803 --> 00:09:30,123 ‎ต่อให้นึกภาพออก 188 00:09:30,203 --> 00:09:32,403 ‎ก็คงมืดเกินจะมองอะไรเห็น 189 00:09:32,483 --> 00:09:37,363 ‎ก่อนเอดิสันประดิษฐ์แสง ‎ตอนกลางวันคนมองเห็นได้ยังไง 190 00:09:37,443 --> 00:09:39,003 ‎แสงมาจากดวงอาทิตย์ 191 00:09:39,083 --> 00:09:41,523 ‎ตอนกลางวันเรามองเห็นเพราะแดด 192 00:09:41,603 --> 00:09:42,723 ‎(ดร. แพทริเซีย) 193 00:09:42,803 --> 00:09:45,763 ‎หลอดไฟนั้นเอาไว้ใช้ยามกลางคืน 194 00:09:45,843 --> 00:09:48,963 ‎เพราะเรามองไม่เห็นเมื่อไม่มีแสงอาทิตย์ 195 00:09:49,043 --> 00:09:52,443 ‎ก่อนจะมีหลอดไฟคนใช้อะไรกัน 196 00:09:52,523 --> 00:09:55,203 ‎ใช้เทียนไข หรือน้ำมัน 197 00:09:55,283 --> 00:09:59,723 ‎กลางวันใช้แสงแดด กลางคืนใช้เทียน 198 00:09:59,803 --> 00:10:02,683 ‎- ค่ะ ‎- งั้นก็ไม่ต้องมีหลอดไฟสิ 199 00:10:02,763 --> 00:10:04,963 ‎ผลงานทั้งชีวิตไร้ค่าแท้ๆ 200 00:10:05,883 --> 00:10:09,523 ‎โฟโนกราฟคือสิ่งประดิษฐ์อีกชิ้นของเอดิสัน 201 00:10:22,483 --> 00:10:27,163 ‎(ดร. อเล็กซานเดอร์ คอลโควสกี้ ‎ผู้ช่วยวิจัย พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ลอนดอน) 202 00:10:29,283 --> 00:10:30,883 ‎ช่วยทำให้มันหยุดที 203 00:10:30,963 --> 00:10:31,883 ‎ได้เลยครับ 204 00:10:33,803 --> 00:10:36,803 ‎น่าทึ่งนะ เราอยู่กันตรงนี้ 205 00:10:36,883 --> 00:10:40,163 ‎แต่เสียงนั่นมาจากเมื่อหลายปีก่อน 206 00:10:40,243 --> 00:10:42,643 ‎ถ้าฉันพูดใส่ปากแตร 207 00:10:43,323 --> 00:10:48,043 ‎ฉันถามเขาว่าที่นั่นเป็นไงได้มั้ย 208 00:10:48,123 --> 00:10:52,323 ‎ไม่ได้ นี่คือบันทึกเสียง ‎จากเมื่อร้อยกว่าปีก่อน 209 00:10:52,403 --> 00:10:55,323 ‎แต่ชื่อโฟโนกราฟไม่เหมือนโทรศัพท์เหรอ 210 00:10:55,403 --> 00:11:02,163 ‎โฟโนกราฟแปลว่า "การเขียนเสียง" ในกรีก 211 00:11:02,243 --> 00:11:04,563 ‎ไม่ได้หมายถึงโทรศัพท์ 212 00:11:04,643 --> 00:11:07,123 ‎แสดงว่าได้ยิน แต่ตอบไม่ได้ 213 00:11:08,283 --> 00:11:09,523 ‎ผม… ผมคงไม่… 214 00:11:09,603 --> 00:11:12,563 ‎เขาไม่ได้ยินเรา เราได้ยินเขาบันทึกเสียง 215 00:11:12,643 --> 00:11:15,323 ‎พวกเขาไม่ได้ยินและตอบเราไม่ได้เหรอ 216 00:11:15,403 --> 00:11:16,883 ‎ไม่ได้ครับ ไม่เลย 217 00:11:16,963 --> 00:11:18,683 ‎งั้นมีไว้เพื่ออะไร 218 00:11:18,763 --> 00:11:23,203 ‎เราจะได้ฟังเสียงดนตรี ‎เสียงพูด กับเสียงอื่นๆ 219 00:11:23,283 --> 00:11:26,843 ‎มันบันทึกเสียงที่ยังไม่เกิดได้มั้ย 220 00:11:29,363 --> 00:11:30,803 ‎ไม่ได้ 221 00:11:30,883 --> 00:11:33,083 ‎เสียงที่เกิดก่อนหน้าล่ะ 222 00:11:34,003 --> 00:11:37,883 ‎ถ้าบันทึกไว้ตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้ 223 00:11:37,963 --> 00:11:40,683 ‎มันไม่อาจบันทึกสิ่งที่เกิดไปแล้ว 224 00:11:40,763 --> 00:11:43,563 ‎ค่อนข้างจำกัดสินะ 225 00:11:43,643 --> 00:11:46,243 ‎เมื่อมีโฟโนกราฟของเอดิสัน 226 00:11:46,323 --> 00:11:50,323 ‎ดนตรีคลาสสิกก็สามารถ ‎กล่อมคนนับล้านให้หลับ 227 00:11:51,043 --> 00:11:53,523 ‎ดนตรีคลาสสิกต้องใช้ออร์เคสตรา 228 00:11:53,603 --> 00:11:55,963 ‎ออร์เคสตราเล่นยังไง 229 00:11:56,043 --> 00:11:57,283 ‎ต้องเป่า 230 00:11:57,363 --> 00:12:01,083 ‎หรือต้องถูๆ ไถๆ ไม้กับสายอะไรสักอย่าง 231 00:12:01,163 --> 00:12:04,603 ‎ออร์เคสตราไม่ใช่เครื่องดนตรี 232 00:12:04,683 --> 00:12:05,923 ‎อ้อ 233 00:12:06,003 --> 00:12:10,243 ‎ออร์เคสตราคือวงเครื่องดนตรีหลายประเภท 234 00:12:10,323 --> 00:12:12,923 ‎- มากกว่าหนึ่งชิ้น ‎- มากกว่าหนึ่งชิ้น 235 00:12:13,003 --> 00:12:17,483 ‎งั้นต้องใช้สองมือและปากเพื่อเล่นออร์เคสตรา 236 00:12:18,403 --> 00:12:22,963 ‎วาทยากรต้องใช้ตามนั้น 237 00:12:23,043 --> 00:12:24,963 ‎แต่วงออร์เคสตรา 238 00:12:25,043 --> 00:12:29,043 ‎คือวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีหลายชิ้น 239 00:12:29,123 --> 00:12:31,483 ‎เป่าทั้งออร์เคสตราไม่ได้เหรอ 240 00:12:34,003 --> 00:12:36,843 ‎เพราะมีเอดิสัน โลกแห่งแสงและเสียง 241 00:12:36,923 --> 00:12:38,883 ‎จึงถูกมนุษย์พิชิตลงได้ 242 00:12:38,963 --> 00:12:41,723 ‎แต่มีอีกหน้าด่านหนึ่งที่ยังไม่ยอมสยบ 243 00:12:41,803 --> 00:12:43,363 ‎โลกแห่งน่านฟ้า 244 00:12:44,083 --> 00:12:47,403 ‎ผู้คนพยายามสร้างเครื่องจักรบินได้เป็นปีๆ 245 00:12:47,483 --> 00:12:50,203 ‎แต่ผู้บุกเบิกยุคแรกๆ ไม่สามารถผลักดัน 246 00:12:50,283 --> 00:12:53,043 ‎ไปไกลกว่าการร่วงลงจากฟ้าในครั้งแรก 247 00:12:54,163 --> 00:12:56,723 ‎จนมีพี่น้องออร์วิลล์ และวิลเบอร์ ไรต์ 248 00:12:56,803 --> 00:13:01,283 ‎ท้าทายกฎแห่งแรงโน้มถ่วง ‎ประสบความสำเร็จเป็นพวกแรก 249 00:13:01,963 --> 00:13:04,643 ‎การบินครั้งแรกไปไกลมั้ย 250 00:13:04,723 --> 00:13:09,283 ‎วันนั้น พี่น้องไรต์ขึ้นบินหลายครั้ง 251 00:13:09,363 --> 00:13:12,723 ‎แต่ละครั้งน่าจะแค่ไม่กี่ร้อยฟุต 252 00:13:12,803 --> 00:13:14,323 ‎อันนั้นน่าจะเดินได้ 253 00:13:15,763 --> 00:13:18,723 ‎ก็คงได้ แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ 254 00:13:18,803 --> 00:13:22,323 ‎เที่ยวบินแรกที่นาน ‎จนต้องมีห้องน้ำคือเมื่อไหร่ 255 00:13:22,403 --> 00:13:27,363 ‎พอมีการบินเชิงพาณิชย์ ‎เที่ยวบินก็กินเวลานาน 256 00:13:27,443 --> 00:13:30,883 ‎ผู้โดยสารต้องการสิ่งอำนวยความสะดวก 257 00:13:30,963 --> 00:13:32,723 ‎เช่นมีห้องน้ำบนเครื่อง 258 00:13:32,803 --> 00:13:34,323 ‎วินาทีนั้นคงตราตรึง 259 00:13:34,403 --> 00:13:37,643 ‎ครั้งแรกที่คนรู้ว่าเครื่องบินต้องมีห้องน้ำ 260 00:13:38,323 --> 00:13:40,643 ‎ชวนทึ่งยิ่งกว่าพี่น้องตระกูลไรต์ 261 00:13:42,403 --> 00:13:46,643 ‎ผมว่ามันก็ไม่ได้ชวนระลึก 262 00:13:46,723 --> 00:13:49,363 ‎หรือน่าตื่นเต้นอะไร 263 00:13:49,443 --> 00:13:51,763 ‎ทำไมจักรยานไม่มีห้องน้ำ 264 00:13:53,163 --> 00:13:55,283 ‎จะได้ไม่ต้องลงจักรยาน 265 00:13:56,283 --> 00:13:58,123 ‎น่าจะเอาไปจดลิขสิทธิ์ 266 00:13:58,843 --> 00:14:01,923 ‎แม้จะไม่มีห้องน้ำ การบินของพี่น้องไรต์ 267 00:14:02,003 --> 00:14:04,163 ‎พลิกโฉมหน้าการขนส่ง 268 00:14:04,243 --> 00:14:06,803 ‎ที่ทุกวันนี้เรายังไม่เข้าใจถ่องแท้ 269 00:14:06,883 --> 00:14:11,123 ‎พี่น้องตระกูลไรต์ ‎ขึ้นบินครั้งแรกเกือบร้อยปีก่อน 270 00:14:11,203 --> 00:14:15,723 ‎ทำไมความรู้ ‎เรื่องเครื่องบินเรายังไม่คืบหน้า 271 00:14:16,723 --> 00:14:19,563 ‎คืบหน้าสิ เรารู้ขั้นตอนการทำงาน 272 00:14:19,643 --> 00:14:22,003 ‎ถามจริงๆ มันทำงานยังไง 273 00:14:22,083 --> 00:14:25,843 ‎เรามีสมการคณิตศาสตร์ 274 00:14:25,923 --> 00:14:29,843 ‎ที่อธิบายการไหลของอากาศ ‎ผ่านปีกของเครื่องบิน 275 00:14:29,923 --> 00:14:33,923 ‎คุณอธิบายโดยไม่ใช้วิทยาศาสตร์ได้มั้ย 276 00:14:36,563 --> 00:14:39,643 ‎ยากนะที่จะไม่อธิบายหลักวิทยาศาสตร์ 277 00:14:39,723 --> 00:14:43,883 ‎แต่เพราะรูปทรงของปีก 278 00:14:43,963 --> 00:14:46,483 ‎แรงดันขึ้นจึงมากกว่าแรงดึงลง 279 00:14:46,563 --> 00:14:49,043 ‎จะผลักให้เครื่องบินลอยได้ 280 00:14:49,123 --> 00:14:52,243 ‎นั่นทฤษฎีของคุณ อยากฟังทฤษฎีฉันมั้ย 281 00:14:52,323 --> 00:14:54,763 ‎- ได้สิ ‎- มันบินเพราะแรงศรัทธา 282 00:14:55,803 --> 00:14:58,723 ‎เราเชื่อว่าเครื่องบินบินได้ มันถึงบินได้ 283 00:14:58,803 --> 00:15:01,443 ‎พวกสื่อต้องคอยรักษาภาพลวงนี้ 284 00:15:01,523 --> 00:15:03,563 ‎ไม่งั้นได้พากันร่วง 285 00:15:03,643 --> 00:15:06,443 ‎ทำนองเดียวกันกับไวไฟ อันนั้นก็ไม่จริง 286 00:15:06,963 --> 00:15:09,083 ‎เราแค่เล่นตามน้ำไปกับมัน 287 00:15:09,163 --> 00:15:10,563 ‎ไม่งั้นจะชะงักหมด 288 00:15:11,963 --> 00:15:13,843 ‎กำราบน่านฟ้าสำเร็จ 289 00:15:13,923 --> 00:15:16,123 ‎ต่อไปก็ถึงคราวของถนน 290 00:15:17,563 --> 00:15:20,523 ‎บอกยากว่าใครประดิษฐ์รถยนต์คนแรก 291 00:15:20,603 --> 00:15:22,203 ‎มีคนลองเสี่ยงโชคดูเยอะ 292 00:15:22,283 --> 00:15:25,363 ‎หน้าวิกิก็ยาวไป ไม่อ่าน 293 00:15:25,443 --> 00:15:28,003 ‎แต่มันไม่สำคัญเลย เพราะสุดท้าย 294 00:15:28,083 --> 00:15:30,763 ‎มีชายคนเดียวที่ได้ชื่อผูกติดกับรถ 295 00:15:31,683 --> 00:15:34,803 ‎คนแรกที่สร้างรถยนต์ทำเงินถล่มทลาย 296 00:15:34,883 --> 00:15:37,763 ‎เขาชื่อว่า เฮนรี โมเดล ที ฟอร์ด 297 00:15:37,843 --> 00:15:40,563 ‎บังเอิญเกินไปมั้ย รถก็ชื่อนี้เช่นกัน 298 00:15:41,843 --> 00:15:44,523 ‎รถเครื่องยนต์สี่สูบ 2.9 ลิตร 299 00:15:44,603 --> 00:15:49,243 ‎ที่ 20 พลังแรงม้า ‎ความเร็วสูงสุด 70 กม. ต่อ ชม. 300 00:15:49,323 --> 00:15:52,443 ‎ฟอร์ด โมเดลที เป็นรถยนต์ที่ยอดแย่ 301 00:15:52,523 --> 00:15:54,923 ‎แย่ยิ่งกว่ารถยนต์ที่แม่คุณขับ 302 00:15:56,963 --> 00:15:58,963 ‎ไม่มีช่องชาร์จมือถือ 303 00:15:59,043 --> 00:16:01,243 ‎ไม่มีระบบนำทางหรือดนตรี 304 00:16:01,843 --> 00:16:03,763 ‎แม้แต่ที่วางแก้วก็ไม่มี 305 00:16:05,483 --> 00:16:08,563 ‎แต่ก็ดีกว่าม้าหลายขุม 306 00:16:08,643 --> 00:16:11,243 ‎เพราะไม่ถีบหน้าเวลาเดินไปด้านหลัง 307 00:16:11,323 --> 00:16:13,963 ‎และต่างกับรถไฟ คุณไม่น่าจะมีโอกาส 308 00:16:14,043 --> 00:16:16,123 ‎ได้นั่งข้างคนโรคจิต 309 00:16:16,203 --> 00:16:19,963 ‎นอกจากหยุดแวะรับคนโบกรถ ‎ที่พกไขควงในกระเป๋ากางเกง 310 00:16:23,803 --> 00:16:28,003 ‎แต่ผลงานชิ้นเอก ‎ของเฮนรี โมเดล ที ฟอร์ดไม่ใช่รถ 311 00:16:28,083 --> 00:16:29,603 ‎แต่เป็นวิธีผลิตรถ 312 00:16:30,683 --> 00:16:34,883 ‎แทนที่จะว่าจ้างคนเดียว ‎มาค่อยๆ สร้างรถทั้งคัน 313 00:16:34,963 --> 00:16:36,883 ‎ฟอร์ดว่าจ้างคนเยอะๆ 314 00:16:36,963 --> 00:16:40,163 ‎มาทำหน้าที่ผลิตบางส่วนของรถซ้ำแล้วซ้ำเล่า 315 00:16:40,763 --> 00:16:44,523 ‎ปฏิวัติความจำเจในที่ทำงาน ‎และความไร้ค่าของมนุษย์ 316 00:16:45,403 --> 00:16:48,563 ‎การผลิตขนานใหญ่ต้องการกำลังคนมาก 317 00:16:48,643 --> 00:16:52,283 ‎คนนับล้านๆ มาสหรัฐฯ ‎เพื่อร่วมล่าฝันอเมริกัน 318 00:16:52,363 --> 00:16:56,403 ‎ความต้องการพาหนะใหญ่ๆ ‎ทำให้มีการคิดค้นไททัน 1C 319 00:16:56,483 --> 00:16:58,883 ‎เรือดำน้ำใช้แล้วทิ้งลำแรก 320 00:17:00,163 --> 00:17:02,363 ‎มนุษย์ได้แต่มองมหาสมุทรหลายปี 321 00:17:02,443 --> 00:17:04,403 ‎โหยหาจะจมดิ่งอย่างก้อนหิน 322 00:17:04,483 --> 00:17:07,643 ‎ไททัน 1C สานฝันนี้ให้เป็นจริง 323 00:17:08,883 --> 00:17:11,003 ‎เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ 324 00:17:11,083 --> 00:17:15,483 ‎ตอนเดินทางครั้งแรก ‎ไททัน 1C ล่องจากเซาท์แฮมป์ตัน 325 00:17:15,563 --> 00:17:17,043 ‎ลงสู่ก้นทะเล 326 00:17:17,122 --> 00:17:19,923 ‎ที่นักสำรวจใจกล้าอาศัยอยู่อย่างหรูหรา 327 00:17:20,003 --> 00:17:21,963 ‎ไม่กี่นาทีก่อนจะค้นพบว่า 328 00:17:22,043 --> 00:17:25,203 ‎มนุษย์หายใจอยู่ที่พื้นทะเลไม่ได้ 329 00:17:27,203 --> 00:17:30,283 ‎หลังพิชิตแสง, เสียง, น่านฟ้า, ถนน 330 00:17:30,362 --> 00:17:31,763 ‎และใต้ทะเล 331 00:17:31,843 --> 00:17:36,123 ‎มนุษย์กำลังจะได้ค้นพบ ‎สิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน 332 00:17:36,203 --> 00:17:39,843 ‎ด้วยฝีมือของนักวิทย์และผู้หญิง มารี กูว์รี 333 00:17:39,923 --> 00:17:42,043 ‎มารดาแห่งกัมมันตรังสี 334 00:17:42,683 --> 00:17:46,963 ‎มารี กูว์รีรู้ได้ยังไงว่าเธอค้นพบ 335 00:17:47,563 --> 00:17:50,123 ‎กัมมันตรังสี ถ้ามันมองไม่เห็น 336 00:17:50,203 --> 00:17:53,963 ‎มารี กูว์รีเป็นผู้คิดค้นคำว่ากัมมันตรังสี 337 00:17:54,043 --> 00:17:59,563 ‎กัมมันตรังสีคือการที่สสาร ‎เช่นเรเดียม, พอโลเนียม, พลูโทเนียม 338 00:17:59,643 --> 00:18:02,563 ‎ปล่อยพลังงานมหาศาล ‎และแตกสลายตามธรรมชาติ 339 00:18:02,643 --> 00:18:05,323 ‎เป็นของจริง ต่อให้มองไม่เห็น 340 00:18:06,243 --> 00:18:09,403 ‎ของจริงหลายๆ อย่างก็มองไม่เห็นนะคะ 341 00:18:09,483 --> 00:18:13,643 ‎เหมือนจักระกับสนามพลังสินะ 342 00:18:13,723 --> 00:18:15,803 ‎สิ่งที่อยู่ภายในหน้าเรา 343 00:18:15,883 --> 00:18:20,923 ‎ที่เชื่อมกับจักรราศี ‎และส่งผลต่อการย่อยกลูเตน 344 00:18:21,003 --> 00:18:21,963 ‎นี่ก็จริงนะ 345 00:18:22,043 --> 00:18:24,123 ‎ฉันว่าไม่ใช่นะ 346 00:18:24,203 --> 00:18:25,163 ‎- ไม่ ‎- ฉันว่าจริง 347 00:18:25,243 --> 00:18:29,683 ‎- หลายๆ… ‎- ป้าแครอลปรับจักระได้ 348 00:18:29,763 --> 00:18:31,083 ‎ป้าคิดเงินชั่วโมงละ 80 349 00:18:31,163 --> 00:18:33,403 ‎ถ้าทำเงินได้ขนาดนั้น 350 00:18:34,163 --> 00:18:35,643 ‎ก็คงไม่ใช่เรื่องปาหี่ 351 00:18:36,443 --> 00:18:40,123 ‎น่าเศร้า ที่ความอยากรู้อยากเห็น ‎ของกูว์รีฆ่าเธอ 352 00:18:40,203 --> 00:18:44,323 ‎เชื่อกันว่าการสัมผัสกับ ‎กัมมันตรังสีนานๆ ทำให้เสียชีวิต 353 00:18:45,523 --> 00:18:46,643 ‎ไม่แฟร์เลยนะ 354 00:18:46,723 --> 00:18:52,123 ‎นักวิทย์ชายอย่างบรูซ แบนเนอร์ ‎สัมผัสกับกัมมันตรังสีแกมม่า 355 00:18:52,203 --> 00:18:55,243 ‎แต่ได้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ ถูกมั้ย 356 00:18:55,323 --> 00:18:59,123 ‎มีหนังสือการ์ตูน มีแฟรนไชส์หนัง 357 00:18:59,203 --> 00:19:01,123 ‎แต่มารี กูว์รีกลับต้องมาตาย 358 00:19:01,203 --> 00:19:03,123 ‎เขาได้เป็นเดอะ ฮัลค์นะ 359 00:19:03,803 --> 00:19:05,203 ‎ไม่แฟร์เลย 360 00:19:05,283 --> 00:19:07,563 ‎ต้องโทษระบอบปิตาธิปไตย ถูกมั้ย 361 00:19:07,643 --> 00:19:11,243 ‎แล้วปิตาธิปไตยคืออะไรเหรอ 362 00:19:11,323 --> 00:19:14,683 ‎ในระหว่างนั้น นักวิทย์ที่ไม่เป็นหญิง 363 00:19:14,763 --> 00:19:16,963 ‎ก็คิดค้นทฤษฎีของตัวเอง 364 00:19:17,043 --> 00:19:19,923 ‎นักฟิสิกส์และนายแบบลิ้น ‎อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ 365 00:19:20,003 --> 00:19:23,483 ‎คิดทฤษฎีสัมพันธภาพ E = mc2 366 00:19:23,563 --> 00:19:25,363 ‎ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครเข้าใจ 367 00:19:25,443 --> 00:19:28,603 ‎แต่ฉันยกมาพูดเพราะเดี๋ยวจะสำคัญต่อไป 368 00:19:29,363 --> 00:19:33,523 ‎ไอน์สไตน์เห็นว่า ‎ไม่มีอะไรเร็วกว่าความเร็วแสง 369 00:19:33,603 --> 00:19:35,523 ‎แต่เงาไวกว่าแสงนะ 370 00:19:35,603 --> 00:19:39,083 ‎ถ้าฉันเปิดไฟฉายสาดไปที่ผนังนั้น 371 00:19:39,163 --> 00:19:41,603 ‎- แต่ถือไฟฉายหลังหัวตัวเอง ‎- ค่ะ 372 00:19:41,683 --> 00:19:44,363 ‎เงาฉันจะปรากฏก่อนแสงเดินทางไปถึง 373 00:19:44,443 --> 00:19:46,643 ‎ไอน์สไตน์จะอธิบายยังไง 374 00:19:46,723 --> 00:19:50,523 ‎เขาคงบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นไว 375 00:19:50,603 --> 00:19:51,963 ‎จนคุณมองไม่ทัน 376 00:19:52,043 --> 00:19:53,683 ‎คิดเผื่อหมดเลยใช่มั้ย 377 00:19:55,043 --> 00:19:57,923 ‎ศตวรรษที่ 20 ออกตัวอย่างว่องไว 378 00:19:58,003 --> 00:20:02,123 ‎วิทยาศาสตร์มีนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่เว้นวัน 379 00:20:02,203 --> 00:20:03,683 ‎รายการตัดแทบไม่ทัน 380 00:20:04,243 --> 00:20:06,363 ‎แต่บางตัวมาพร้อมกับด้านมืด 381 00:20:06,443 --> 00:20:08,443 ‎สามารถใช้สังหารคน 382 00:20:08,523 --> 00:20:09,963 ‎ด้วยวิธีที่ไม่โสภา 383 00:20:10,043 --> 00:20:13,563 ‎สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมีอีกชื่อว่า ‎สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งมวล 384 00:20:14,203 --> 00:20:16,723 ‎ถึงนักประวัติศาสตร์ปัจจุบันจะแย้งว่าผิดถนัด 385 00:20:17,883 --> 00:20:19,723 ‎มันยังเป็นสงครามไฮเทคครั้งแรก 386 00:20:19,803 --> 00:20:23,643 ‎ที่มีเรือบิน, ปืนกล, รถถัง 387 00:20:23,723 --> 00:20:27,003 ‎ที่ลุกฮือขึ้นต่อกรกับมนุษย์ผู้สร้าง 388 00:20:27,083 --> 00:20:30,883 ‎แม้จะไร้ศรัทธา อุดมการณ์ หัวใจ หรือวิญญาณ 389 00:20:30,963 --> 00:20:33,123 ‎จักรกลสังหารเป็นฝ่ายคว้าชัย 390 00:20:33,203 --> 00:20:37,523 ‎แต้มสุดท้ายคือ ‎สรรพาวุธ 20 ล้าน มนุษยชาติ 0 391 00:20:38,283 --> 00:20:41,843 ‎สถานการณ์ในสงคราม ‎มักเต็มไปด้วยความอลหม่าน 392 00:20:41,923 --> 00:20:44,123 ‎มีคนตะโกนเยอะมั้ย 393 00:20:44,203 --> 00:20:48,563 ‎น่าจะมีคนตะโกนเยอะแยะ ‎อาจจะตะโกนคำสั่งการ 394 00:20:48,643 --> 00:20:52,123 ‎หรือคนใกล้ตายตะโกนกรีดร้อง 395 00:20:52,203 --> 00:20:55,923 ‎คนที่ยืนใกล้ๆ หูเจ็บ 396 00:20:56,003 --> 00:20:58,403 ‎น่าเสียดายที่เรายังไม่เลิกทำ 397 00:20:59,083 --> 00:21:01,763 ‎ฉันไม่อยากพูดจาชวนทัวร์ลง 398 00:21:01,843 --> 00:21:06,163 ‎แต่ทั่วๆ ไปแล้ว สงครามไม่น่าจะเกิดเลย 399 00:21:07,043 --> 00:21:11,123 ‎ก็ดูจะเป็นกิจกรรมที่มนุษย์โปรดปราน 400 00:21:11,203 --> 00:21:13,083 ‎อาจอยู่ในกมลสันดานของเรา 401 00:21:13,163 --> 00:21:16,123 ‎ทำไมเราถึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ห้ำหั่นกัน 402 00:21:16,203 --> 00:21:19,803 ‎ขอครบจบในประโยคเดียว 403 00:21:19,883 --> 00:21:22,443 ‎ไม่งั้นฝ่ายตัดต่อจะแช่งชักหักกระดูก 404 00:21:23,283 --> 00:21:25,843 ‎ความกลัว เกียรติยศและผลประโยชน์ 405 00:21:25,923 --> 00:21:28,083 ‎สามอย่างนี้เลยเหรอ 406 00:21:28,163 --> 00:21:29,283 ‎ถ้าเอาแบบสั้นๆ 407 00:21:31,243 --> 00:21:32,123 ‎นั่นสินะ 408 00:21:33,683 --> 00:21:36,163 ‎ไม่รู้ใครตัดต่อ แต่ก็ตามนี้นะ 409 00:21:38,043 --> 00:21:41,563 ‎ความป่าเถื่อน ‎ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งบันดาลใจ 410 00:21:41,643 --> 00:21:44,843 ‎ให้มีกลอนสงครามและงานเขียนแนวสันติภาพ 411 00:21:44,923 --> 00:21:49,003 ‎ที่ตีพิมพ์หลายสิบปี ‎ก่อนเพลงแนวเทคโนสุดแจ่ม 412 00:21:49,083 --> 00:21:50,363 ‎"Pump Up The Jam" 413 00:21:57,763 --> 00:22:01,203 ‎(บทเพลงอื่นๆ ที่ชื่อขึ้นต้นด้วย "ด") 414 00:22:01,283 --> 00:22:04,723 ‎(เดอะเคียวร์, ‎เดอะอิสลีย์บราเทอร์ส ฯลฯ) 415 00:22:07,523 --> 00:22:11,323 ‎(เมื่อวิดีโอนี้ถ่ายทอดครั้งแรก ‎คนดูกลัวมันเป็นของจริง) 416 00:22:11,403 --> 00:22:14,523 ‎(และจะมีการส่งดนตรีผ่านจอเข้าบ้าน) 417 00:22:24,483 --> 00:22:28,923 ‎(ถ้าออกไปข้างนอกฝากซื้อโค้กกับขนม) 418 00:22:30,283 --> 00:22:32,883 ‎(โทษที อันนั้นจะพิมพ์บอกทีมงาน) 419 00:22:36,803 --> 00:22:38,923 ‎ชายหนุ่มนับล้านเสียชีวิตในสงคราม 420 00:22:39,003 --> 00:22:42,603 ‎แต่โชคดีที่มนุษยชาติคิดค้นคนประเภทใหม่ได้ 421 00:22:42,683 --> 00:22:43,763 ‎ผู้หญิง 422 00:22:43,843 --> 00:22:46,963 ‎ผู้หญิงมีตัวตนในพื้นหลังมาโดยตลอด 423 00:22:47,043 --> 00:22:49,883 ‎ส่วนใหญ่ในฐานะสัตว์เลี้ยงของผู้ชาย 424 00:22:49,963 --> 00:22:53,363 ‎ที่ยอมทนพวกเธอมีพลังวิเศษ ‎ในการสร้างมนุษย์ใหม่ 425 00:22:53,443 --> 00:22:54,763 ‎ผ่านทางรูด้านหน้า 426 00:22:55,563 --> 00:22:57,363 ‎แต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 427 00:22:57,443 --> 00:23:00,643 ‎นักสังคมศาสตร์ค้นพบสิ่งที่น่าทึ่ง 428 00:23:00,723 --> 00:23:03,043 ‎สิ่งที่ผู้ชายทำ ผู้หญิงก็ทำได้ 429 00:23:03,123 --> 00:23:04,883 ‎โดยไม่ต้องไปโอ้อวดกับใคร 430 00:23:06,123 --> 00:23:07,723 ‎แถมยังมีสิทธิ์ลงคะแนน 431 00:23:07,803 --> 00:23:10,683 ‎ในที่สุด ผู้หญิงก็เลือกได้ ‎ว่าจะให้ใครมาชี้นิ้วสั่ง 432 00:23:10,763 --> 00:23:11,803 ‎(ลงคะแนนเพื่อผู้หญิง) 433 00:23:11,883 --> 00:23:14,963 ‎ผู้หญิงเริ่มละทิ้งชุดเครื่องแบบดั้งเดิม 434 00:23:15,043 --> 00:23:19,283 ‎เลิกแต่งตัวเป็นเฟอร์นิเจอร์ ‎แต่เป็นเด็กหนุ่มออกค่าย 435 00:23:20,243 --> 00:23:22,563 ‎ดื่มเหล้า, สูบบุหรี่, เต้นเร็วๆ 436 00:23:22,643 --> 00:23:24,403 ‎ด้วยเฟรมเรตที่น่ากลัว 437 00:23:25,203 --> 00:23:26,563 ‎ขณะเดียวกัน ที่ฮอลลีวูด 438 00:23:26,643 --> 00:23:29,763 ‎มีการคิดค้นความบันเทิงรูปแบบใหม่ 439 00:23:29,843 --> 00:23:30,923 ‎ภาพยนตร์ 440 00:23:31,603 --> 00:23:34,403 ‎มันต่างกับหนังสือ คุณไม่ต้องมีสมาธิ 441 00:23:34,483 --> 00:23:37,163 ‎หรือใช้จินตนาการเพื่อรับชมหนัง 442 00:23:37,243 --> 00:23:41,403 ‎ทุกคนต่อให้ขี้เกียจหรือโง่เง่า ‎ก็สามารถดูได้ 443 00:23:41,483 --> 00:23:44,563 ‎ด้วยการนั่งเฉยๆ แล้วจ้องหน้าจอ 444 00:23:44,643 --> 00:23:46,123 ‎เหมือนคุณตอนนี้ 445 00:23:46,203 --> 00:23:50,243 ‎แต่ก็อย่างที่เห็น หนังยุคแรกคุณภาพห่วยแตก 446 00:23:50,323 --> 00:23:52,403 ‎แต่ก็เพราะมีหนังยุคแรกๆ 447 00:23:52,483 --> 00:23:55,323 ‎เราถึงได้รู้ว่าชีวิตสมัยก่อนเป็นยังไง 448 00:23:55,403 --> 00:23:58,283 ‎ทุกคนเคลื่อนไหวเร็วและล้มบ่อยๆ 449 00:23:58,963 --> 00:24:01,563 ‎ทำไมคนในหนังสมัยก่อนเดินเร็วจัง 450 00:24:01,643 --> 00:24:04,883 ‎เพิ่งเคยออกกล้องเลยประหม่า 451 00:24:04,963 --> 00:24:08,363 ‎หรือเพราะเป็นหนังเงียบ ‎เลยไม่ได้ยินผู้กำกับ 452 00:24:08,443 --> 00:24:10,003 ‎ตะโกนสั่งให้ช้าหน่อย 453 00:24:10,083 --> 00:24:12,963 ‎เป็นเพราะเฟรมเรตของกล้องสมัยนั้น 454 00:24:13,043 --> 00:24:15,243 ‎ที่ต่างกับตอนนี้ 455 00:24:15,323 --> 00:24:16,563 ‎เราผิดงั้นสิ 456 00:24:16,643 --> 00:24:18,043 ‎เราฉายหนังเร็วเกิน 457 00:24:18,123 --> 00:24:20,283 ‎จนนักแสดงต้องเร่งตามเพื่อให้ 458 00:24:20,363 --> 00:24:22,883 ‎เล่าเรื่องทั้งหมดก่อนเล่นเครดิตจบ 459 00:24:23,563 --> 00:24:26,563 ‎ทุกคนคงแตกตื่น ถ้าเล่นไม่ทันทำไง 460 00:24:26,643 --> 00:24:29,523 ‎หนังจะตัดฉากไปห้องที่ไม่มีนักแสดงมั้ย 461 00:24:29,603 --> 00:24:31,683 ‎ฉายภาพห้องเปล่าๆ 462 00:24:31,763 --> 00:24:35,043 ‎นักแสดงเล่นด้วยความเร็วปกติ แต่ว่า… 463 00:24:35,123 --> 00:24:37,163 ‎ระดับความเร็วเวลาฉาย 464 00:24:37,243 --> 00:24:39,683 ‎ที่ทำให้ดูเหมือนขยับไว 465 00:24:39,763 --> 00:24:42,043 ‎เราติดต่อกับนักแสดงในหนัง 466 00:24:42,123 --> 00:24:45,523 ‎ปลอบว่าไม่เป็นไร ให้ใจเย็นๆ ได้มั้ย 467 00:24:45,603 --> 00:24:47,683 ‎น่าจะตายหมดแล้วมั้ง 468 00:24:49,323 --> 00:24:51,123 ‎หนังยุคแรกมีคำบรรยาย 469 00:24:51,203 --> 00:24:54,483 ‎ให้คนดูในมือถือโดยปิดเสียงได้ 470 00:24:54,563 --> 00:24:58,083 ‎แต่ไม่นานพวกเขาก็ใส่เสียงเป็น 471 00:24:58,163 --> 00:25:01,643 ‎คุณชอบแบบไหนล่ะ 472 00:25:02,323 --> 00:25:04,283 ‎ในที่สุดการอ่านก็ไม่จำเป็น 473 00:25:04,363 --> 00:25:08,403 ‎ยุคสมัยที่การอ่านเป็นใหญ่หลายร้อยปี ‎จบลงในที่สุด 474 00:25:09,563 --> 00:25:13,443 ‎แต่ความหวังว่ายุคใหม่ของมนุษย์จะดีเยี่ยม 475 00:25:13,523 --> 00:25:15,403 ‎ก็กลับไม่เหลือชิ้นดี 476 00:25:16,283 --> 00:25:18,443 ‎เมฆครึ้มปกคลุมทั่วยุโรป 477 00:25:18,523 --> 00:25:22,163 ‎เพราะภาครีบูตจากแฟรนไชส์สงครามโลก 478 00:25:23,603 --> 00:25:26,563 ‎ไม่นานทั้งโลกก็เจอกับสงครามอีกครั้ง 479 00:25:27,563 --> 00:25:31,603 ‎และครั้งนี้ใช้เครื่องจักร ‎ที่เลวร้ายยิ่งกว่าครั้งก่อน 480 00:25:31,683 --> 00:25:33,723 ‎ก่อให้เกิดการนองเลือดไม่จบสิ้น 481 00:25:35,043 --> 00:25:37,523 ‎จนชาวอเมริกันปิ๊งไอเดีย 482 00:25:37,603 --> 00:25:41,963 ‎แทนที่จะทิ้งระเบิดปูพรม ‎ใส่ญี่ปุ่นอย่างคราวเยอรมนี 483 00:25:42,043 --> 00:25:44,043 ‎ก็ทิ้งลูกใหญ่บึ้มเดียวไปเลย 484 00:25:44,883 --> 00:25:48,563 ‎พวกเขาใช้ทฤษฎีไอน์สไตน์ ‎ที่ฉันกล่าวถึงก่อนหน้านี้ 485 00:25:48,643 --> 00:25:51,883 ‎พัฒนาโครงการแมนแฮตตัน ‎ที่เริ่มด้วยชายสวมหมวก 486 00:25:51,963 --> 00:25:54,003 ‎เจ้าของแนวคิดแสนจะน่ากลัว 487 00:25:54,083 --> 00:25:56,683 ‎ระเบิดปรมาณูชื่อลิตเติลบอย 488 00:25:56,763 --> 00:26:01,003 ‎อาวุธทรงอานุภาพที่ชื่อหน่อมแน้มที่สุด 489 00:26:01,083 --> 00:26:02,603 ‎ลิตเติลบอยมีอานุภาพประมาณไหน 490 00:26:03,243 --> 00:26:04,483 ‎เอาอย่างนี้ 491 00:26:04,563 --> 00:26:08,803 ‎ถ้าหย่อนระเบิดใส่บ้านฌอน ‎แฟนเก่าฉันที่เวสทอตัน 492 00:26:08,883 --> 00:26:12,163 ‎ตั้งแต่วงเวียนเช็กเกอร์เบนต์ที่ถนนเอ58 493 00:26:12,243 --> 00:26:14,883 ‎ถึงร้านขายดอกไม้ ‎ข้างสโมสรกอล์ฟฮาร์ตคอมมอน 494 00:26:14,963 --> 00:26:16,643 ‎จะราบเป็นหน้ากลอง 495 00:26:17,163 --> 00:26:19,803 ‎แรงระเบิดเริ่มแรกจะทำฌอนระเหิดเป็นไอ 496 00:26:19,883 --> 00:26:21,923 ‎ส่วนตู้เกมแพ็กแมน 497 00:26:22,003 --> 00:26:25,043 ‎ที่เขานั่งต่อให้ช่วงสุดสัปดาห์วันเกิดฉัน 498 00:26:25,123 --> 00:26:27,483 ‎จะเล่นไม่ได้อีกเลย 499 00:26:27,563 --> 00:26:29,883 ‎เพราะพายุเพลิงที่ตามมา 500 00:26:30,483 --> 00:26:33,443 ‎แถบวีแกนถึงโบลตันจะเผาเกรียม 501 00:26:33,523 --> 00:26:35,363 ‎มิดเดิลบรุก หาย 502 00:26:35,443 --> 00:26:36,883 ‎บิกเกอร์ชอว์ หาย 503 00:26:36,963 --> 00:26:39,083 ‎ฮินด์ลีย์กรีน ไม่เหลือ 504 00:26:39,163 --> 00:26:40,443 ‎(ชนะแล้ว ญี่ปุ่นยอมแพ้) 505 00:26:40,523 --> 00:26:43,643 ‎ระเบิดปรมาณูสุดเหี้ยม ‎ยุติสงครามโลกครั้งที่สอง 506 00:26:43,723 --> 00:26:45,163 ‎ทุกคนไม่เอาแล้ว 507 00:26:45,243 --> 00:26:47,843 ‎โลกตกลงเป็นหนที่สองในตอนนี้ 508 00:26:47,923 --> 00:26:49,123 ‎ว่าจะไม่ก่อสงครามอีก 509 00:26:49,643 --> 00:26:51,323 ‎และรักษาสัญญานี้ได้ไป 510 00:26:51,403 --> 00:26:54,603 ‎หลังเริ่มตอนห้าได้ 52 วินาที 511 00:26:55,163 --> 00:26:57,643 ‎ก็ชวนให้อุ่นใจดีที่ได้รู้ว่า 512 00:26:57,723 --> 00:27:00,443 ‎ทุกวันนี้เราไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ 513 00:27:00,523 --> 00:27:03,203 ‎ก็แล้วแต่ว่า "เรา" มีใครบ้าง 514 00:27:03,283 --> 00:27:05,083 ‎อังกฤษมีระเบิดนิวเคลียร์ 515 00:27:05,163 --> 00:27:08,563 ‎และก็เพิ่งมีมติจะเพิ่ม… 516 00:27:09,163 --> 00:27:11,483 ‎จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่มีด้วย 517 00:27:11,563 --> 00:27:15,123 ‎แต่หัวเปล่าใช่มั้ย ไม่มีนิวเคลียร์จริงๆ 518 00:27:15,203 --> 00:27:16,523 ‎คุณเข้าใจผิดแล้ว 519 00:27:16,603 --> 00:27:20,643 ‎เป็นระบบมิสไซล์ที่มีหัวรบนิวเคลียร์ครบ 520 00:27:20,723 --> 00:27:22,323 ‎หลายประเทศมีมัน 521 00:27:23,323 --> 00:27:26,003 ‎ภัยสงครามนิวเคลียร์หรือการทำลายล้าง 522 00:27:26,083 --> 00:27:27,403 ‎ยังคงไม่หายไปไหน 523 00:27:37,523 --> 00:27:40,483 ‎ได้ ขอพูดถึงเรื่องที่รื่นเริงได้มั้ย 524 00:27:40,563 --> 00:27:41,923 ‎ตามใจคุณเลย 525 00:27:45,483 --> 00:27:46,683 ‎ชอบวงแอ็บบามั้ย 526 00:27:46,763 --> 00:27:47,963 ‎- รักครับ ‎- เหรอคะ 527 00:27:48,043 --> 00:27:49,763 ‎- จริงนะ ‎- ครับ 528 00:27:49,843 --> 00:27:51,323 ‎เพลงไหนเป็นเพลงโปรด 529 00:27:51,403 --> 00:27:53,643 ‎- "แดนซิงควีน" ‎- "แดนซิงควีน" 530 00:27:55,203 --> 00:27:56,403 ‎เพลงนี้เจ๋งนะ 531 00:27:58,043 --> 00:28:01,603 ‎ตอนต่อไป สงครามเย็นระหว่างออกและตก 532 00:28:01,683 --> 00:28:03,923 ‎ปูทางให้ร็อกแอนด์โรล 533 00:28:04,003 --> 00:28:05,763 ‎ที่ปูทางวัฒนธรรมต่อต้านของชาวฮิปปี้ 534 00:28:05,843 --> 00:28:09,643 ‎ที่ปูทางให้สตีฟ จอบส์ ‎ปูทางให้คอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน 535 00:28:09,723 --> 00:28:11,763 ‎ที่ปูทางให้โซเชียลมีเดีย 536 00:28:11,843 --> 00:28:14,723 ‎ที่ปูทางให้การรื้อถอนความก้าวหน้า 537 00:28:14,803 --> 00:28:16,643 ‎ทั้งหมดของมนุษยชาติได้อย่างไร 538 00:28:18,043 --> 00:28:20,883 ‎โซเชียลมีเดียแบ่งคนเป็นสองขั้วนะ 539 00:28:20,963 --> 00:28:23,083 ‎อย่างที่เป็นมาแล้วกับหมี 540 00:28:23,163 --> 00:28:24,363 ‎หมีไหน 541 00:28:24,443 --> 00:28:25,323 ‎หมีขั้วโลกไง 542 00:28:47,683 --> 00:28:49,683 ‎คำบรรยายโดย พรพรรณ มุกนพรัตน์