1 00:00:06,006 --> 00:00:09,926 ‎(ผลงานซีรีส์คอมเมดี้จาก NETFLIX) 2 00:00:10,010 --> 00:00:11,680 ‎(วิมานลอย) 3 00:00:11,761 --> 00:00:13,221 ‎เรตต์ เรตต์ 4 00:00:15,515 --> 00:00:16,725 ‎เรตต์… 5 00:00:16,808 --> 00:00:19,848 ‎ถ้าคุณไป แล้วฉันล่ะ จะให้ฉันทำยังไง 6 00:00:22,397 --> 00:00:24,607 ‎พูดจากใจนะที่รัก ผมไม่สนครับ 7 00:00:24,691 --> 00:00:27,111 ‎พูดจากใจนะที่รัก ผมไม่สนหรอก 8 00:00:27,193 --> 00:00:29,783 ‎พูดจากใจนะที่รัก ผมไม่สนหรอกครับ 9 00:00:29,863 --> 00:00:32,663 ‎พูดจากใจนะที่รัก ผมไม่สนสักกระผีกเดียว 10 00:00:33,658 --> 00:00:36,198 ‎"ไม่สนสักกระผีกเหรอ" 11 00:00:36,286 --> 00:00:38,456 ‎ใครเขาพูดแบบนั้นกันบ้างเนี่ย 12 00:00:38,955 --> 00:00:42,665 ‎นึกออกมั้ยครับ คุณอยู่ที่ตอนจบ ‎ของสุดยอดหนังดังอมตะนิรันดร์กาล 13 00:00:42,751 --> 00:00:47,301 ‎คุณอยากจะได้ยินคลาร์ก เกเบิล ‎พูดประโยคอมตะประโยคนั้น 14 00:00:47,380 --> 00:00:49,380 ‎แต่สิ่งที่คุณได้… 15 00:00:52,052 --> 00:00:54,472 ‎"พูดจากใจนะที่รัก มันไม่ได้เป็นปัญหาของผม" 16 00:00:55,346 --> 00:00:56,176 ‎แย่มั้ยครับ 17 00:00:56,264 --> 00:00:57,974 ‎ดีนะที่มันแค่เกือบเกิดขึ้น 18 00:00:58,725 --> 00:01:01,725 ‎นั่นเพราะในปี 1939 มีสิ่งหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ 19 00:01:01,811 --> 00:01:05,401 ‎โมชั่นพิคเจอร์โปรดัคชันโค้ด หรือเฮส์โค้ด 20 00:01:05,482 --> 00:01:07,322 ‎แนวปฏิบัติทางศีลธรรม 21 00:01:07,400 --> 00:01:10,240 ‎ที่คอยกำหนดว่าสตูดิโอต่างๆ ‎จะใส่อะไรลงไปในหนังได้บ้าง 22 00:01:10,320 --> 00:01:13,870 ‎และในตอนนั้น "แดมน์" ‎คือคำที่ถูกสั่งห้ามโดยเด็ดขาด 23 00:01:13,948 --> 00:01:16,788 ‎เช่นเดียวกับคำอื่น "ลอร์ด" "ก้อด" "จีซัส" 24 00:01:16,868 --> 00:01:19,698 ‎"จีซัสไครสต์" "ไครสต์" ‎"ซันออฟอะบิตช์" และ "เฮลล์" 25 00:01:20,330 --> 00:01:24,960 ‎ดังนั้นทีมผู้สร้างจึงต้องคิดคำเพื่อใช้แทน ‎เต็มหน้ากระดาษ 26 00:01:25,043 --> 00:01:26,383 ‎เหมือนกับที่ผมเพิ่งอ่านไปตะกี๊นี้ 27 00:01:26,461 --> 00:01:28,251 ‎ผมรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ 28 00:01:28,338 --> 00:01:30,758 ‎"แดมน์" แทบจะไม่ใช่คำสบถอีกแล้ว 29 00:01:30,840 --> 00:01:32,800 ‎มันผ่านตาเราตลอดจนไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ 30 00:01:32,884 --> 00:01:34,974 ‎(ให้ตายสิ) 31 00:01:35,053 --> 00:01:36,143 ‎(บ้าชิบ) 32 00:01:36,221 --> 00:01:37,471 ‎(ไอ้ฉิบหาย) 33 00:01:37,555 --> 00:01:40,385 ‎มันอาจเป็นคำที่เบาที่สุด ‎ในบรรดาคำหยาบของเรา 34 00:01:40,475 --> 00:01:44,765 ‎แต่มันเป็นคำสบถคำเดียว ‎ที่มีการกล่าวถึงในไบเบิล 35 00:01:44,854 --> 00:01:47,984 ‎ทั้งยังมีความสามารถ ‎สร้างความขุ่นเคืองให้คนอีกนับล้าน 36 00:01:48,066 --> 00:01:52,026 ‎ดังนั้นก่อนเราจะไปจบเรื่อง ‎ว่าพวกเขาเก็บ "แดมน์" 37 00:01:52,112 --> 00:01:53,952 ‎ไว้ในวิมานลอยได้ยังไง 38 00:01:54,030 --> 00:01:57,280 ‎ก่อนอื่นเราต้องเล่าเรื่องของคำคำนี้ ‎ให้คุณฟังก่อน 39 00:01:59,119 --> 00:02:01,909 ‎"พูดจากใจนะที่รัก มีแต่กลิ่นสาบเตะจมูกผม" 40 00:02:01,996 --> 00:02:04,826 ‎โธ่ บ้าเอ๊ย ไม่เอาน่า นั่นก็หยาบแล้วนะ 41 00:02:05,416 --> 00:02:06,786 ‎(ค็อก) ‎(การปฏิวัติ) 42 00:02:06,876 --> 00:02:07,706 ‎(หยาบคาย) 43 00:02:07,794 --> 00:02:09,504 ‎(ทวัตต์) ‎(คำไม่สุภาพ) 44 00:02:09,586 --> 00:02:12,216 ‎(ลามก) ‎(ชิต) 45 00:02:15,009 --> 00:02:16,759 ‎"แดมน์" ไม่ควรอยู่ในรายชื่อนี้ซะหน่อย 46 00:02:16,845 --> 00:02:19,465 ‎"แดมน์" มันจาบจ้วงไม่ได้ มันไม่ใช่คำสบถ 47 00:02:19,556 --> 00:02:22,636 ‎มันมีคำจริงๆ อยู่ ตัวบีเวอร์สร้างมันขึ้นมา 48 00:02:22,725 --> 00:02:23,935 ‎(แม่เจ้าเว้ย) 49 00:02:24,018 --> 00:02:26,808 ‎ใช่... เป็นคำสบถที่ง่อยไปหน่อย 50 00:02:26,896 --> 00:02:29,936 ‎ก็แค่แดมกับแด้ม 51 00:02:30,024 --> 00:02:34,244 ‎สูสีกันนะ "แดมน์" กับ "แครป" 52 00:02:34,320 --> 00:02:35,780 ‎(นักแสดงตลก ‎ซาราห์ ซิลเวอร์แมน) 53 00:02:35,905 --> 00:02:36,865 ‎แดมน์... 54 00:02:37,448 --> 00:02:40,618 ‎"แดมน์" จะรู้สึกแผ่วๆ 55 00:02:40,702 --> 00:02:44,872 ‎ผมว่า "แดมน์" ไม่ใช่คำสบถ ‎แต่ผมไม่ให้ลูกพูด ผมเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ 56 00:02:44,956 --> 00:02:48,076 ‎"แดมน์" เป็นคำสบถที่น่าสนใจ ‎เพราะมันคือคำสาปแช่งค่ะ 57 00:02:48,168 --> 00:02:50,088 ‎มันไม่เหมือนกับ "ชิต" หรือ "ฟัค" 58 00:02:50,170 --> 00:02:53,090 ‎และมันหมายถึงการส่งลงนรก ‎เหมือนการสาปส่ง 59 00:02:53,173 --> 00:02:57,223 ‎ในยุคกลางผู้คนเกรงกลัวการถูกสาปมาก 60 00:02:57,302 --> 00:03:01,562 ‎มันคือคำสาปของจริงค่ะ ถ้าคุณแดมน์ใส่ใคร ‎นั่นคือคุณกำลังสาปแช่งเขา 61 00:03:01,639 --> 00:03:06,849 ‎แล้วคำว่า "แดมน์" เปลี่ยนจาก ‎คำสาปที่ไม่ควรลบหลู่ไปสู่คำอ่อนโยน 62 00:03:06,936 --> 00:03:11,066 ‎จนถึงขั้นที่คนส่วนใหญ่ ‎เลิกมองมันเป็นคำสบถได้อย่างไร 63 00:03:11,149 --> 00:03:15,069 ‎เราเคยเชื่อ และบางคนก็ยังเชื่ออยู่ 64 00:03:15,153 --> 00:03:20,243 ‎ว่าการนำคำทางศาสนาออกไปใช้ ‎ในบริบทที่ไม่เหมาะสม 65 00:03:20,325 --> 00:03:22,285 ‎คือการลบหลู่ 66 00:03:22,368 --> 00:03:24,618 ‎และนั่นก็คือต้นตอของคำหยาบ 67 00:03:24,704 --> 00:03:27,294 ‎อันที่จริงมันคือที่มาของคำว่า "โปรเฟนิตี้" 68 00:03:27,373 --> 00:03:32,003 ‎คำว่า "โปรฟานัส" หมายถึงนอกวัด ‎และ "แดมน์" ก็เป็นตัวอย่างของคำนี้ 69 00:03:32,086 --> 00:03:35,006 ‎ถ้าคุณพูดว่า ‎"เมย์ ก้อด แดมน์ ตามด้วยอะไรก็แล้วแต่" 70 00:03:35,089 --> 00:03:39,679 ‎คุณกำลังขอให้พระเจ้าทำบางอย่างใส่ใครบางคน 71 00:03:39,761 --> 00:03:43,181 ‎และนั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณจะทำเป็นเล่นได้ 72 00:03:43,264 --> 00:03:45,484 ‎ในยุคนั้นผู้คนยังเชื่อเรื่องแบบนั้นกันอยู่ 73 00:03:45,558 --> 00:03:48,188 ‎และที่สำคัญ ‎ศาสนาก็ไม่ต่างอะไรกับหนังสยองขวัญ 74 00:03:48,269 --> 00:03:52,399 ‎ในเวลาแบบนั้น ผมเข้าใจเลย ‎ว่าทำไม "แดมน์" มันถึงดูน่ากลัว 75 00:03:52,482 --> 00:03:55,032 ‎ฉันว่า "ขอให้แกตกนรก" จะมีพลังได้... 76 00:03:56,236 --> 00:03:59,196 ‎ก็ต่อเมื่อคุณเชื่อเรื่องนรก ฉันว่านะ 77 00:03:59,280 --> 00:04:00,780 ‎ถ้านรกมีจริง... 78 00:04:01,950 --> 00:04:05,040 ‎ขอพระเจ้าทำให้ฉันตายตอนนี้เลย 79 00:04:08,998 --> 00:04:09,828 ‎เห็นมั้ย 80 00:04:11,876 --> 00:04:15,086 ‎ย่าฉันเป็นคนธัมมะธัมโมขั้นสุด 81 00:04:15,171 --> 00:04:16,711 ‎แต่ก็ยังพูด "แดมน์" 82 00:04:16,798 --> 00:04:17,968 ‎รึเปล่าวะ 83 00:04:18,048 --> 00:04:22,798 ‎"แดมน์" ทำให้เราเห็น ‎วงจรชีวิตทั้งหมดของคำหยาบคาย 84 00:04:22,887 --> 00:04:27,477 ‎มันเริ่มจากคำที่แสดงกริยาของการสาปแช่ง 85 00:04:27,976 --> 00:04:30,806 ‎กลายมาเป็นคำหยาบ 86 00:04:30,895 --> 00:04:35,275 ‎พอเวลาผ่านไป สังคมก็เปลี่ยนไป ‎แล้วมันก็ค่อยๆ เบาลง 87 00:04:35,358 --> 00:04:39,488 ‎มันเหมือนกับสิ่งที่ "ชิต" อาจจะเป็น ‎ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า 88 00:04:39,570 --> 00:04:42,410 ‎และเหมือนกับสิ่งที่ "ฟัค" จะต้องเป็น ‎ก่อนสิ้นศตวรรษนี้ 89 00:04:43,241 --> 00:04:44,451 ‎รู้นะ 90 00:04:44,534 --> 00:04:45,914 ‎มันเป็น ขอโทษนะ 91 00:04:46,536 --> 00:04:48,116 ‎เป็นกาแฟที่โคตรดีเลย 92 00:04:48,705 --> 00:04:51,285 ‎แรกเริ่มเดิมที "แดมน์" หมายถึงอะไรได้บ้าง 93 00:04:51,374 --> 00:04:55,304 ‎ความหมายแรกสุดของ "แดมน์" ‎เป็นแบบสองนัยค่ะ 94 00:04:55,378 --> 00:04:58,508 ‎มันมีนัยทางศาสนาเพื่อตัดสินโทษให้ตกนรก 95 00:04:58,589 --> 00:05:02,469 ‎ทั้งยังมีนัยทางกฎหมาย ‎เพื่อกล่าวโทษว่าเป็นคนผิด 96 00:05:02,552 --> 00:05:06,762 ‎แต่ที่สุดแล้วทั้งสองนัย ‎ก็มาจากคำกริยาในภาษาละตินคือ "แดมนาเร" 97 00:05:06,848 --> 00:05:08,558 ‎ซึ่งหมายถึงการตัดสินว่ามีความผิด 98 00:05:08,641 --> 00:05:12,601 ‎และมันเกี่ยวข้องกับคำนามในภาษาละติน ‎ที่แปลว่าแดเมจหรือ "ความเสียหาย" ด้วย 99 00:05:12,687 --> 00:05:14,307 ‎คำว่า "แดมน์" เทียบกับคำสบถคำอื่น 100 00:05:14,397 --> 00:05:17,227 ‎ก็คงเหมือนน้องชายคนสุดท้อง ‎ที่อยากออกไปเที่ยวกับคุณ 101 00:05:17,317 --> 00:05:18,777 ‎แต่คุณไม่อยากเอาไปด้วยนั่นแหละ 102 00:05:18,860 --> 00:05:21,070 ‎"ชิต" จะเหมือนพวกหัวโจกในโรงเรียนค่ะ 103 00:05:21,154 --> 00:05:23,874 ‎ส่วน "แดมน์ จะเป็นพวกส่งการบ้านตลอด ‎แต่ติดดื้อหน่อยๆ 104 00:05:23,948 --> 00:05:27,368 ‎"แดมน์" กับ "ฟัค" จะนั่งโต๊ะติดกัน ‎แล้วคุณก็ "พวกนั้นรู้จักกันหรอกเหรอ" 105 00:05:27,452 --> 00:05:29,792 ‎คุณเลยเข้าไปเผือก "โทษนะ คุยด้วยหน่อยสิ" 106 00:05:29,871 --> 00:05:32,961 ‎"ฟัค" ก็แบบว่า "ไปไกลๆ บาทาไป" ‎แล้ว "แดมน์" ก็ "เชี่ย" 107 00:05:33,041 --> 00:05:35,291 ‎ถ้าสังเกตที่คนหนุ่มสาว 108 00:05:35,376 --> 00:05:41,336 ‎พวกเขาจะมองกันว่า ‎คำนี้ไม่ใช่การจาบจ้วงไม่ต่างกับ "ถุงยาง" 109 00:05:41,424 --> 00:05:43,634 ‎หรือ "ต่ำตม" 110 00:05:44,260 --> 00:05:46,680 ‎ถ้าใครอุทาน "ฟัค" ‎คุณจะแบบ "ชิต มีอะไรเหรอ" 111 00:05:46,763 --> 00:05:48,773 ‎เราจะ... ‎เราช่วยอะไรเขาไม่ได้ 112 00:05:48,848 --> 00:05:51,098 ‎แต่ถ้า "แดมน์" ให้ช่วยอะไรมั้ยครับ 113 00:05:51,184 --> 00:05:55,564 ‎"แดมน์" ยังถูกใช้เพื่อเน้นย้ำ ‎เพื่อทำให้ภาพชัดเจนขึ้นได้อีกด้วย 114 00:05:55,646 --> 00:05:57,146 ‎มันค่อนข้างหลากหลาย 115 00:05:57,231 --> 00:06:00,861 ‎คุณก็แค่ทำให้มันเป็นเสียงสูง ‎หรือไม่ก็ให้เป็นเสียงต่ำ 116 00:06:00,943 --> 00:06:02,703 ‎เหมือนกับ "เชีย" 117 00:06:03,321 --> 00:06:05,321 ‎หรือไม่ก็ "เชี่ย" 118 00:06:05,406 --> 00:06:10,036 ‎แต่ถ้าเอา "แดมน์" ไปต่อพยางค์ ‎นั่นแสดงว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ 119 00:06:10,119 --> 00:06:13,119 ‎ปกติก็จะแบบมีใครโดนฟาดเข้าที่หน้า 120 00:06:13,206 --> 00:06:16,916 ‎ผมเคยเรียกผู้หญิงว่า สาวเชียเชี่ย ‎ตอนคุณเธอหันหลัง 121 00:06:17,001 --> 00:06:21,341 ‎หุ่นเธอจะสุดยอดมาก สะโพกสุดยอด ‎ผมก็จะแบบ "เชีย" 122 00:06:21,422 --> 00:06:24,342 ‎แต่พอเธอหันหน้ามาเท่านั้นแหละ "เชี่ย" 123 00:06:24,425 --> 00:06:26,085 ‎(เกาะสวรรค์ บำบัดหัวใจ) 124 00:06:29,555 --> 00:06:30,845 ‎(เชีย) 125 00:06:30,932 --> 00:06:33,272 ‎คุณเข้าใจอารมณ์โตมาโดยไม่รู้ว่า ‎"แดมน์" สะกดไงมั้ย 126 00:06:33,351 --> 00:06:34,691 ‎คนส่วนใหญ่ไม่รู้นะครับ 127 00:06:34,769 --> 00:06:37,439 ‎คนดำส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า ‎"Damn" มีตัวเอ็นต่อท้ายด้วย 128 00:06:37,522 --> 00:06:40,192 ‎ทุกคนจะแบบ "dam" ‎เหมือนเขื่อนกั้นแม่น้ำประมาณนั้น 129 00:06:40,274 --> 00:06:43,494 ‎แล้วพอวันนึงผมเห็นมันมีตัวเอ็น ‎ผมก็แบบ แปลว่าอะไรวะ "แดมน์" 130 00:06:43,569 --> 00:06:46,699 ‎ผมชอบนะ มีตัวเอ็มกับตัวเอ็นติดกัน 131 00:06:47,365 --> 00:06:48,315 ‎ไม่รู้ทำไมออกเสียงตัวเดียว 132 00:06:49,409 --> 00:06:52,699 ‎ไม่ออกเสียงเอ็น แล้วดันเหมือนชื่อเล่นผม ‎ตอนอยู่มัธยมปลายซะด้วย 133 00:06:52,787 --> 00:06:54,577 ‎นั่นถึงต้องมีตัวเอ็นครับ 134 00:06:54,664 --> 00:06:59,844 ‎"Damn" มาจาก "Damnation" แล้วที่มีเอ็น ‎ก็เพราะใครก็ไม่รู้บอกให้ทิ้งเอ็นไว้เถอะ 135 00:07:00,420 --> 00:07:03,260 ‎พอเขาว่างั้นอีกคนก็เลย "แดมน์" 136 00:07:03,840 --> 00:07:05,550 ‎ในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาก 137 00:07:05,633 --> 00:07:08,763 ‎การเข้าโบสถ์ในสหรัฐกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง 138 00:07:08,845 --> 00:07:11,805 ‎แต่ศาสนาก็ยังหลอมรวมอยู่ในสังคมของเรา 139 00:07:11,889 --> 00:07:15,979 ‎อยู่ในเงิน อยู่ในกีฬา และอยู่บนรถของเรา 140 00:07:16,060 --> 00:07:18,860 ‎ดังนั้น "แดมน์" จึงยังคงแกว่งไกวอยู่ 141 00:07:18,938 --> 00:07:24,028 ‎และมันก็เป็นคำสบถแค่คำเดียวของเรา ‎ที่มีเพียงหนึ่งความหมาย 142 00:07:24,110 --> 00:07:25,700 ‎เพื่อตัดสินโทษใครบางคน 143 00:07:25,778 --> 00:07:27,408 ‎(ไปตายซะ) 144 00:07:28,364 --> 00:07:32,624 ‎(ขอให้พวกแกตกนรกหมกไหม้) 145 00:07:32,702 --> 00:07:34,252 ‎ในยุคโรมโบราณ 146 00:07:34,328 --> 00:07:38,078 ‎คำสบถถือเป็นคำต้องห้าม ‎ไม่ต่างอะไรกับยุคปัจจุบันค่ะ 147 00:07:38,166 --> 00:07:40,626 ‎ในแง่ของเพศสัมพันธ์และของเสียจากร่างกาย 148 00:07:40,710 --> 00:07:43,250 ‎เหมือน "ฟัค" กับ "ชิต" ในภาษาละติน ‎อะไรทำนองนั้น 149 00:07:43,337 --> 00:07:48,887 ‎ต่อมาในยุคกลาง ในภาษาอังกฤษ ‎มันกลายเป็นเรื่องของศาสนา เป็นการวิงวอนไป 150 00:07:48,968 --> 00:07:51,348 ‎ซึ่งคำที่เลวร้ายที่สุดที่คุณจะพูดได้ในยุคกลาง 151 00:07:51,429 --> 00:07:53,599 ‎ก็จะประมาณ "ด้วยกระดูกพระเจ้า" 152 00:07:54,640 --> 00:07:56,430 ‎กระดูกพระเจ้าเหรอ 153 00:07:57,018 --> 00:08:01,728 ‎มันยากสำหรับคนร่วมสมัย ‎ที่จะเข้าใจหรือจินตนาการว่ามันเป็นยังไงค่ะ 154 00:08:01,814 --> 00:08:03,774 ‎แต่ในธรรมเนียมของคาธอลิค 155 00:08:03,858 --> 00:08:07,858 ‎พระคริสต์จะมีรูปกาย ‎และถ้าคุณพูดว่า "ด้วยกระดูกพระเจ้า" 156 00:08:07,945 --> 00:08:12,325 ‎คำพูดคุณจะเหมือนกับคุณเอื้อมไป ‎ที่ร่างกายของพระองค์ แล้วทึ้งเอากระดูกออกมา 157 00:08:13,576 --> 00:08:17,116 ‎เชี่ย เล่นแรงชะมัด 158 00:08:17,205 --> 00:08:18,785 ‎พระเจ้าไม่มีกระดูกซะหน่อยนี่ 159 00:08:18,873 --> 00:08:22,213 ‎แล้วรู้มั้ยว่าคนที่พูดแบบนั้น ‎จะไม่ใช่แค่กล่าวคำ "ด้วยกระดูกพระเจ้า" 160 00:08:22,293 --> 00:08:24,343 ‎แต่เขากล่าวพร้อมกับคุกเข่าลง 161 00:08:24,420 --> 00:08:26,510 ‎กระดูกพระเจ้า 162 00:08:26,589 --> 00:08:27,669 ‎สนุกแฮะ 163 00:08:29,008 --> 00:08:30,638 ‎ลบหลู่อีกล่ะ 164 00:08:31,511 --> 00:08:35,681 ‎แล้วคำสบถที่เกี่ยวศาสนา ‎ก็เป็นการยกอำนาจจากพันธสัญญาเดิมไปในที่สุด 165 00:08:35,765 --> 00:08:38,805 ‎พระเจ้า ในพระคัมภีร์จึงมีคำอธิบายยืดยาว 166 00:08:38,893 --> 00:08:41,403 ‎ถึงวิธีที่ต้องการให้ผู้คนสบถโดยอ้างถึงพระอง์ 167 00:08:41,479 --> 00:08:42,729 ‎แบบไม่ลมๆ แล้งๆ 168 00:08:45,358 --> 00:08:48,438 ‎แน่นอนว่าในรุ่นติดเทอร์โบของคำว่า "แดมน์ 169 00:08:48,528 --> 00:08:53,238 ‎รุ่นที่เรายังไม่เห็นกันในทีวีอินเตอร์เน็ต ‎หรือแม้แต่ในเคเบิลทีวี 170 00:08:53,324 --> 00:08:58,004 ‎เราไม่ได้ยินมันทางวิทยุ ‎และเราแทบไม่เคยได้อ่านมันในข่าวเลย 171 00:08:58,079 --> 00:08:59,209 ‎รุ่นใหญ่จริง 172 00:08:59,288 --> 00:09:00,868 ‎(ไอ้ฉิบหาย) 173 00:09:00,957 --> 00:09:03,957 ‎ก้อด" เป็นคำที่ทำให้ "แดมน์" มีน้ำหนักขึ้น 174 00:09:04,043 --> 00:09:06,503 ‎และนำเอาบริบททางศาสนากลับมา 175 00:09:06,587 --> 00:09:11,047 ‎ฉันมองว่าความแตกต่างระหว่าง ‎"แดมน์ กับ "ก้อดแดมน์" มันเหมือนกับ.. 176 00:09:11,801 --> 00:09:14,181 ‎"ก้อดแดมน์" ไปขยายขนาดมันขึ้น 177 00:09:14,262 --> 00:09:15,432 ‎"แดมน์" เหมือน... 178 00:09:15,513 --> 00:09:19,273 ‎มันเหมือนคุณโดนอะไรบาดนิ้ว "อุ๊ย เชี่ย" 179 00:09:19,350 --> 00:09:24,110 ‎ผมคิดว่า "ก้อดแดมน์" มีแรงดึงดูด ‎สำหรับลากคุณเข้าโบสถ์ได้มากกว่า 180 00:09:24,188 --> 00:09:27,568 ‎ฉันไม่พูด "ก้อดแดมน์" ค่ะ ‎เพราะฉันไม่ใช่คนดำที่มาจากทางใต้ 181 00:09:27,650 --> 00:09:30,610 ‎(แดมน์มีวิวัฒน์มาอย่างไร) 182 00:09:30,695 --> 00:09:33,445 ‎ก่อนยุค 1600 ว่ากันว่าคนฝรั่งเศส 183 00:09:33,531 --> 00:09:37,951 ‎จะรู้จักคนอังกฤษในฉายาว่า "เลส์ ก้อดแดมน์" 184 00:09:38,494 --> 00:09:43,374 ‎เพราะนิสัยที่ชอบสบถคำว่า ก้อด และ แดมน์ 185 00:09:43,457 --> 00:09:48,247 ‎ผมชอบแนวคิดในการพูดถึงภาพรวมของวัฒนธรรม ‎โดยสะท้อนจากคำสบถที่มีเอกลักษณ์ที่สุด 186 00:09:48,337 --> 00:09:51,667 ‎เหมือนคำพูดที่ว่า "คุณสบถอะไรคุณก็สนใจสิ่งนั้น" 187 00:09:51,757 --> 00:09:54,887 ‎(แดมน์) 188 00:09:54,969 --> 00:09:57,349 ‎แล้วในส่วนอื่นๆ ของโลกล่ะ ‎ใครสนใจอะไรกันบ้าง 189 00:09:57,430 --> 00:10:00,560 ‎คำสบถที่ชาวรัสเซียใช้บ่อยที่สุดคือ... 190 00:10:00,641 --> 00:10:02,481 ‎เพียร์คิธ พ็อดซาลุปนา 191 00:10:02,560 --> 00:10:04,400 ‎นั่นแปลว่า "รังแคในรูฉี่" 192 00:10:04,478 --> 00:10:05,308 ‎ว้าว 193 00:10:05,938 --> 00:10:08,518 ‎ผมรู้สึกว่าถ้าใช้คำนี้กันเยอะๆ 194 00:10:08,608 --> 00:10:11,568 ‎ปูตินคงกลายเป็นปัญหาจิ๊บๆ ของพวกเขาไปเลย 195 00:10:11,652 --> 00:10:14,362 ‎ผู้ดีในเยอรมันชอบพูดว่า… 196 00:10:14,447 --> 00:10:15,867 ‎อาร์ชเกเกอร์ 197 00:10:15,948 --> 00:10:19,118 ‎ผมสาบานว่านั่นหมายถึง "บั้นท้ายไวโอลิน" 198 00:10:19,201 --> 00:10:22,711 ‎ฟังดูมีเหตุผล ‎แม้แต่คำสบถของพวกเขาก็ยังมีระดับ 199 00:10:22,788 --> 00:10:23,958 ‎ส่วนนี่เป็นคำที่อุกอาจ 200 00:10:24,040 --> 00:10:27,540 ‎ในแอฟริกาใต้ เป็นคำสบถของชาวแอฟริกัน 201 00:10:27,627 --> 00:10:32,417 ‎แอ๊ค เวงส์ โจ เฟงเกอร์ เฟร์อันเดอร์ เอง ‎เวสซูเกอร์ เอ็น ยัว บาเล บาคัน เท เยอร์ก 202 00:10:32,506 --> 00:10:37,596 ‎แปลว่า "ขอให้นิ้วคุณจะกลายเป็นตะขอเบ็ด ‎และไข่คุณเริ่มคัน" 203 00:10:37,678 --> 00:10:39,558 ‎และนั่นก็คือเรื่องราวทั้งหมด 204 00:10:39,639 --> 00:10:41,559 ‎(กากชัดๆ) 205 00:10:41,641 --> 00:10:44,441 ‎ในศตวรรษที่ 16 คำว่า "แดมน์ ‎กลายเป็นคำสบถ 206 00:10:44,518 --> 00:10:46,478 ‎แต่ก็ยังคงปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ 207 00:10:46,562 --> 00:10:51,232 ‎ในพระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์พิมพ์คำว่า "แดมน์" ‎หรืออยู่ในรูปของ"แดมน์" 15 ครั้ง 208 00:10:51,317 --> 00:10:55,237 ‎แต่เมื่อพระคัมภีร์ฉบับคิงเจมส์ ‎ถูกแก้ไขในศตวรรษที่ 19 209 00:10:55,321 --> 00:10:56,911 ‎พวกเขาตัดคำว่า "แดมน์" ออก 210 00:10:56,989 --> 00:11:01,539 ‎ในปี 1781 มีการปรากฎขึ้นครั้งแรก ‎ของคำว่า "ดาร์น" ในเพนซิลวาเนีย แม็กกาซีน 211 00:11:01,619 --> 00:11:06,079 ‎และนั่นคือหนึ่งในคำมินซ์ โอธ ‎ที่คลอดมาจาก "แดมน์" 212 00:11:06,874 --> 00:11:09,294 ‎แล้ว "มินซ์ โอธ" มันคืออะไรล่ะ 213 00:11:09,377 --> 00:11:12,127 ‎มินซ์ โอธคือวิธี 214 00:11:12,713 --> 00:11:15,803 ‎พูดคำหยาบโดยไม่พูดออกมาตรงๆ 215 00:11:15,883 --> 00:11:19,473 ‎แทนที่คุณจะพูดว่า "ก้อด แดมน์ อิต" ‎คุณก็จะพูดว่า "กอช ดาร์น อิต" แทน 216 00:11:19,553 --> 00:11:23,523 ‎ไม่ก็ "ด็อกกอน อิต" หรือ "แดง" 217 00:11:23,599 --> 00:11:25,269 ‎หรือ "คอนซาร์น อิต" 218 00:11:25,351 --> 00:11:29,021 ‎"มินซ์ โอธ" มันฟังเหมือนซีเรียลแย่ๆ 219 00:11:29,105 --> 00:11:32,065 ‎ที่แม่ไม่รู้ว่าจะหาของดีใกล้ๆ ได้ที่ไหนน่ะ 220 00:11:32,149 --> 00:11:34,569 ‎แล้วคุณก็จะได้ก็อช ดาร์น โอส์ 221 00:11:34,652 --> 00:11:39,782 ‎เรซิน แดรตส์, คอร์น ซอร์น อิตส์, ‎ฮันนี่ นัต ทาร์เนชันส์ 222 00:11:39,865 --> 00:11:43,615 ‎ซึ่งจริงๆ ก็ใช้ได้นะ คุณยังลิ้มรสนรกได้อยู่ 223 00:11:43,703 --> 00:11:46,043 ‎มันเป็นคำที่ใช้แทน 224 00:11:46,706 --> 00:11:48,326 ‎เพื่อสื่อถึงคำนั้น 225 00:11:48,416 --> 00:11:49,746 ‎มันเป็น... 226 00:11:50,292 --> 00:11:51,172 ‎ผู้รับมอบฉันทะ 227 00:11:51,794 --> 00:11:55,724 ‎แต่ถ้าคำนั้นมันพาคุณผ่านพ้นวันไปได้ ‎ก็ใช้แม่งมันเถอะค่ะ 228 00:11:56,298 --> 00:11:58,678 ‎คนใช้คำว่า "แดมน์" มากขึ้นเรื่อยๆ  229 00:11:58,759 --> 00:12:02,099 ‎คนใต้เรียกคนเหนือว่า "แดมน์ แยงกี้ส์" 230 00:12:02,179 --> 00:12:05,019 ‎คุณมีคำจำพวก "น็อต เวิร์ธ อะ แดมน์" 231 00:12:05,099 --> 00:12:08,809 ‎อันที่จริงก่อนช่วงเปลี่ยนผ่านของศตวรรษที่ 20 232 00:12:08,894 --> 00:12:11,984 ‎เมื่อพูดถึง "คำสบถหยาบๆ" 233 00:12:12,064 --> 00:12:14,074 ‎ก็จะมีคำพวกนี้แหละที่คนพูดกัน 234 00:12:14,150 --> 00:12:17,190 ‎ซึ่งนำเรากลับมาที่เรื่องราว ‎ของภาพยนตร์เรื่องวิมานลอย 235 00:12:17,903 --> 00:12:22,533 ‎เพราะการใช้ "แดมน์" ในภาพยนตร์ฮอลลีวูด ‎ตอนปี 1939 เป็นเรื่องใหญ่มาก 236 00:12:22,616 --> 00:12:25,196 ‎แม้สาธารณชนจริงๆ จะไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย 237 00:12:25,786 --> 00:12:28,116 ‎แต่คนที่จะเป็นจะตาย ‎ก็คือพวกที่อยู่เบื้องหลังโค้ดนั่นเอง 238 00:12:28,205 --> 00:12:31,745 ‎มีการบังคับใช้เฮส์โค้ดอย่างเคร่งครัด ‎และไม่จำเพาะแค่คำสบถ 239 00:12:31,834 --> 00:12:35,214 ‎การพาดพิงถึงการใช้ยาและการเห็นใจอาชญากร ‎ก็ถูกสั่งห้ามด้วยเช่นกัน 240 00:12:35,296 --> 00:12:37,626 ‎รวมทั้งการจูบที่เยอะเกินและหื่นเกินด้วย 241 00:12:37,715 --> 00:12:39,585 ‎อย่างไรก็ตามเนื่องจากผู้อำนวยการสร้าง 242 00:12:39,675 --> 00:12:43,385 ‎เดวิด โอ เซลส์นิค ‎ต้องการเปลี่ยนนิยายขายดีเรื่องวิมานลอย 243 00:12:43,471 --> 00:12:45,141 ‎ให้เป็นหนังทำเงิน 244 00:12:45,222 --> 00:12:47,562 ‎เขาจึงโต้แย้งให้มีการใช้คำว่า "แดมน์" 245 00:12:47,641 --> 00:12:49,771 ‎เพราะมันคือวิธีสื่อความของหนังสือ 246 00:12:49,852 --> 00:12:51,602 ‎แล้วเขาเป็นใครถึงกล้าเฉไฉ 247 00:12:51,687 --> 00:12:54,607 ‎วรรณศิลป์ของนักประพันธ์มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ 248 00:12:54,690 --> 00:12:59,280 ‎แต่กองเซ็นเซอร์ก็ไม่ยอมกระดิก ‎เซลส์นิคก็เลยต้องอุทธรณ์ไปหาตัวเอ้สุด 249 00:12:59,361 --> 00:13:00,861 ‎ท่านเฮส์ 250 00:13:00,946 --> 00:13:04,696 ‎แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้น ‎ก็ก้ำกึ่งระหว่างความจริงกับตำนานพื้นบ้าน 251 00:13:04,784 --> 00:13:07,584 ‎เซลส์นิคชนะอุทธรณ์ ‎ไม่ว่าจะด้วยผลบุญจากคำโต้แย้งของเขา 252 00:13:07,661 --> 00:13:12,041 ‎หรือ 5,000 ดอลลาร์ที่อ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียม ‎ที่เขาเพิ่งจ่ายไปก็ตาม 253 00:13:12,124 --> 00:13:14,134 ‎คณะกรรมการยินยอมอนุมัติ พวกเขา... 254 00:13:15,002 --> 00:13:16,462 ‎เพิ่มภาคผนวกในโค้ด 255 00:13:16,545 --> 00:13:19,715 ‎โดยบอกว่า "เฮลล์" กับ "แดมน์" ‎สามารถใช้ได้ ตราบใดที่... 256 00:13:19,799 --> 00:13:22,049 ‎เป็นการใช้เพื่อความสมจริงทางประวัติศาสตร์ 257 00:13:22,134 --> 00:13:26,354 ‎หรือความสมบูรณ์ของงานศิลปะ ‎สุดแล้วแต่พวกเขาจะพิจารณา 258 00:13:26,430 --> 00:13:32,020 ‎แล้วธันวาคมปี 1939 เรื่องวิมานลอยก็ออกฉาย ‎เรื่องอื่นที่เหลือก็กลายประวัติศาสตร์ 259 00:13:32,895 --> 00:13:35,145 ‎(พูดจากใจนะที่รัก ผมไม่สนห่าอะไรแล้ว) 260 00:13:37,233 --> 00:13:41,323 ‎จากจุดนั้นก็กลายเป็นเขื่อนแตก ‎และแดมน์ก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด 261 00:13:41,403 --> 00:13:43,493 ‎วิลเลจออฟเดอะแดมน์ ‎ชิวเดรนออฟเดอะแดมน์ 262 00:13:43,572 --> 00:13:46,912 ‎จนถึงสุดโปรดของผม อาลียาห์ ‎ในเรื่องควีน ออฟ เดอะ แดมน์ 263 00:13:46,992 --> 00:13:50,702 ‎ละครเพลงสุดฮิตแดมน์แยงกีส์ ‎เปิดตัวที่บรอดเวย์ในปี 1955 264 00:13:50,788 --> 00:13:55,248 ‎สุดยอดวงร็อกแดมน์แยงกีส์เริ่มฉายแววที่ ‎งานอัลเลนทาวน์ แฟร์กราวด์ในปี 1990 265 00:13:55,334 --> 00:13:58,004 ‎ถ้าจำไม่ผิดผมน่าจะอยู่ในการแสดงนั้นด้วย 266 00:13:58,087 --> 00:14:01,417 ‎ในปี 1986 ผู้สร้าง ‎ทรานส์ ฟอร์เมอรส์ เดอะมูฟวี่ 267 00:14:01,507 --> 00:14:05,087 ‎เพิ่มคำว่า "แดมน์" กับ "ชิต"เข้าไป ‎เพื่อเลี่ยงการถูกจัดให้อยู่เรตจีสุดสยอง 268 00:14:06,262 --> 00:14:08,012 ‎(ช่วงเวลายิ่งใหญ่ที่สุดของแดมน์คือตอนไหน) 269 00:14:08,138 --> 00:14:12,308 ‎ช่วงเวลายิ่งใหญ่ที่สุดของ "แดมน์" ‎ในวัฒนธรรมคนดำ 270 00:14:12,393 --> 00:14:14,603 ‎คือฉากจบในตอนหนึ่งของกู้ด ไทมส์ 271 00:14:14,687 --> 00:14:18,647 ‎รู้สึกจะตอนที่ฟลอริดา อีแวนส์เสียสามีของเธอไป 272 00:14:18,732 --> 00:14:21,782 ‎แล้วเธอก็สติหลุด ตอนเธออยู่ในห้องครัว 273 00:14:23,654 --> 00:14:26,324 ‎บ้า บ้า บ้า 274 00:14:28,033 --> 00:14:33,083 ‎มันทรงพลังมาก เพราะมันเชื่อมโยงเรา ‎เข้ากับครอบครัวอีแวนส์ 275 00:14:33,163 --> 00:14:36,503 ‎คำว่า "แดมน์" ในบริบทนั้น 276 00:14:36,584 --> 00:14:40,674 ‎จงใจให้เหมือนกับคำที่ผู้หญิงแก่ผิวดำใช้ 277 00:14:40,754 --> 00:14:45,054 ‎คำที่เธอพูดก็คือคำเดียวกัน ‎กับคำที่เราได้ยินตอนยายเราพูด 278 00:14:45,134 --> 00:14:46,934 ‎เรารู้สึกแบบนั้นในฐานะผู้ชม 279 00:14:47,011 --> 00:14:50,811 ‎เรารู้สึกถึงความเศร้าและความสูญเสีย ‎แบบเดียวกันกับในครอบครัวเรา 280 00:14:50,890 --> 00:14:53,350 ‎ถ้ามองในแง่ของ... 281 00:14:53,434 --> 00:14:56,314 ‎คนที่ถือว่าเป็นผู้นำของคำว่า "แดมน์" 282 00:14:56,395 --> 00:15:00,105 ‎ผมจะนึกถึงเคนดริค ลามาร์ ‎เจ้าของอัลบั้มสุดเจ๋งที่มีชื่อว่า แดมน์ 283 00:15:00,190 --> 00:15:01,530 ‎ผมว่า "แดมน์" ไม่ใช่คำสบถ 284 00:15:01,609 --> 00:15:04,609 ‎แดมน์ คือสุดยอดอัลบั้มของเคนดริก ลามาร์ ‎นั่นคือสิ่งที่ "แดมน์" เป็น 285 00:15:04,695 --> 00:15:11,155 ‎การได้ขึ้นท็อปชาร์ต และได้รางวัลพูลิตเซอร์ 286 00:15:11,243 --> 00:15:14,293 ‎ด้วยอัลบั้มแรปสักอัลบั้ม... ‎มันเปลี่ยนทุกสิ่ง มันน่าเหลือเชื่อมากๆ 287 00:15:14,371 --> 00:15:17,791 ‎จากการต้องต่อสู้เพื่อให้ได้พูดคำว่า "แดมน์" ‎ในวิมานลอย 288 00:15:17,875 --> 00:15:22,045 ‎มาจนถึงเคนดิรก ลามาร์ แร็ปเปอร์มือทอง ‎เจ้าของอัลบั้ม "แดมน์" 289 00:15:22,129 --> 00:15:23,839 ‎อัลบั้มที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์ 290 00:15:23,923 --> 00:15:26,973 ‎นั่นแสดงว่า "แดมน์" เป็นคำที่ปราดเปรื่องที่สุด 291 00:15:27,051 --> 00:15:30,641 ‎"แดมน์" เดินทางมาไกลแล้วค่ะ ‎เดินทางมาแม่งโคตรไกล 292 00:15:30,721 --> 00:15:31,721 ‎(แดมน์) 293 00:15:31,847 --> 00:15:35,637 ‎ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ‎"แดมน์" ขึ้นไปอยู่กลางเวทีปราศรัย 294 00:15:35,726 --> 00:15:38,226 ‎ร่วมกับจิมมี แม็คมิลเลียนเครางาม 295 00:15:38,312 --> 00:15:42,442 ‎ผู้ก่อตั้งพรรคเดอะ เรนต์ อิส ทู แดมน์ ไฮ ‎ในปี 2005 296 00:15:42,524 --> 00:15:45,244 ‎ผมเป็นตัวแทนพรรค ‎เดอะ เรนต์ อิส ทู แดมน์ ไฮ 297 00:15:45,319 --> 00:15:47,909 ‎คุณใช้คำว่า "แดมน์ เพื่อจะเน้นย้ำและผลักดัน 298 00:15:48,989 --> 00:15:50,869 ‎และคุณไม่ได้คุกคามใคร 299 00:15:50,950 --> 00:15:52,870 ‎คุณแค่บอกว่า "ค่าเช่าแม่งแพงเกิน" 300 00:15:52,952 --> 00:15:56,332 ‎แล้ว "แดมน์" ก็ได้ทำหน้าที่อย่างที่คุณต้องการ 301 00:15:56,956 --> 00:15:58,956 ‎แถมมันยังจุดชนวนการโต้เถียงได้อีกด้วย 302 00:15:59,041 --> 00:16:03,501 ‎บารัค โอบามาต้องเผชิญปฏิกิริยาตอบโต้ ‎อย่างฉันพลัน เมื่อบาทหลวงเจอร์ไมห์ ไรท์ 303 00:16:03,587 --> 00:16:06,587 ‎กล่าวคำเทศนาว่า "พระเจ้าแช่งอเมริกา" 304 00:16:06,674 --> 00:16:09,474 ‎นั่นคือโบสถ์ในชิคาโกที่โอบามาไปเป็นประจำ 305 00:16:09,551 --> 00:16:12,471 ‎แล้ววิดีโอที่เจอร์ไมห์ ไรท์กำลังเทศน์ 306 00:16:12,554 --> 00:16:15,604 ‎ซึ่งมีคำว่า "ก้อดแดมน์" เยอะมาก ‎ก็กลายเป็นไวรัล 307 00:16:15,683 --> 00:16:19,193 ‎ผมเข้าใจที่บาทหลวงพูดว่า ‎"พระเจ้าแช่งอเมริกา" นะ 308 00:16:19,269 --> 00:16:22,559 ‎โดยเฉพาะในเรื่องวิธีปฏิบัติต่อคนดำ 309 00:16:22,648 --> 00:16:24,728 ‎ที่มีมาอย่างยาวนานในประเทศนี้ ‎เข้าใจได้เลย 310 00:16:25,317 --> 00:16:29,737 ‎แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าการพูดออกไปแบบนั้น ‎มันออกจะเกินไปหน่อย 311 00:16:29,822 --> 00:16:32,742 ‎เพราะการยืนสบถใส่ใครในโบสถ์ ‎มันประหลาด 312 00:16:32,825 --> 00:16:36,365 ‎เมื่อคุณเติมพระเจ้าลงไป ‎มันจะกลายเป็นคำที่มีพลังทันที 313 00:16:36,453 --> 00:16:40,213 ‎และถ้าคุณใช้มันในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ‎ซึ่งโดยปกติก็ไม่ควร... 314 00:16:40,708 --> 00:16:42,458 ‎จะเห็นได้เลยว่าผู้คนต่างเริ่มไม่พอใจ 315 00:16:42,543 --> 00:16:45,503 ‎แล้วอนาคตของ "แดมน์" จะเป็นอย่างไร 316 00:16:45,587 --> 00:16:47,627 ‎พอมีหวังที่จะรอดบ้างมั้ย 317 00:16:47,715 --> 00:16:51,255 ‎ในโลกของคำหยาบที่ฟัคชิตต่างพากันจ้ำอ้าว 318 00:16:51,343 --> 00:16:54,603 ‎มันจะแข่งขันกับ "พุซซี่" และ "ดิ๊ก" ได้อย่างไร 319 00:16:54,680 --> 00:16:59,100 ‎"แดมน์" จะต้องจำนน ‎ต่อกฎแห่งผลตอบแทนที่ถดถอย 320 00:16:59,184 --> 00:17:02,444 ‎ประสิทธิภาพของมันจะลดลงเรื่อยๆ 321 00:17:02,521 --> 00:17:06,281 ‎จนอาจกลายเป็นแค่คำคุณศัพท์ทั่วๆ ไป 322 00:17:06,358 --> 00:17:09,988 ‎ฉันว่า "แดมน์" ยังมีอนาคตอยู่นะ ‎เพราะคนยังใช้มันอยู่ตลอด 323 00:17:10,069 --> 00:17:14,949 ‎และ ณ จุดนี้ ‎ยังไม่มีเหตุผลที่จะมองว่า "แดมน์" 324 00:17:15,034 --> 00:17:18,914 ‎เป็นการจาบจ้วงอย่างรุนแรงจนมันควรต้องฟื้นฟู 325 00:17:18,996 --> 00:17:24,746 ‎ณ ตอนนี้ถ้าถามคนหนุ่มสาว ‎คำที่จาบจ้วงที่สุดก็คือคำปรามาส 326 00:17:24,835 --> 00:17:29,335 ‎และจำไว้ว่าคนที่อายุ 18 ปีในวันนี้ ‎จะอายุ 40 ในปี 2042 327 00:17:29,423 --> 00:17:32,553 ‎เขาเหล่านั้นคือคนที่จะสร้างกฎ 328 00:17:32,634 --> 00:17:37,264 ‎และสอนเด็กๆ ถึงคำต่างๆ ที่เกี่ยวกับเพศ ‎การทำงานของร่างกาย และศาสนา 329 00:17:37,347 --> 00:17:39,887 ‎พวกเขากำลังก้าวออกไปตามทางของพวกเขา 330 00:17:39,975 --> 00:17:42,805 ‎ถึงวันนี้ผมว่ามันโอเคนะ ถ้าเด็กสี่ขวบจะพูดมัน 331 00:17:42,895 --> 00:17:46,435 ‎คำถามคือ "จะมีมั้ยวันที่เด็กสี่ขวบพูดคำว่า 'ฟัค' 332 00:17:46,523 --> 00:17:47,823 ‎โดยไม่มีใครสะอึกเลย" 333 00:17:47,900 --> 00:17:51,650 ‎คนที่รังเกียจคำนั้นยังเป็นคนที่เสียงดังที่สุดอยู่ 334 00:17:51,737 --> 00:17:53,817 ‎ยังเป็นคนที่ส่งเสียงมากที่สุด 335 00:17:53,906 --> 00:17:55,946 ‎เป็นคนที่ออกไปลงคะแนนเสียง 336 00:17:56,033 --> 00:17:58,203 ‎ถ้าพวกเขายังไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ 337 00:17:58,285 --> 00:18:01,115 ‎ก็วางใจได้เลยว่าพวกเขา ‎จะโผล่ไปที่คูหาลงคะแนนแน่ๆ 338 00:18:01,205 --> 00:18:05,125 ‎และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงยังแข็งแกร่ง ‎เกินกว่าจะมองข้ามได้ 339 00:18:05,626 --> 00:18:08,666 ‎ฉันว่าก็มีแต่พวกป้าระเบียบนั่นแหละ 340 00:18:08,754 --> 00:18:10,804 ‎ที่ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตอนคนสบถน่ะ 341 00:18:10,881 --> 00:18:12,471 ‎ผมไม่ไว้ใจคนที่ไม่สบถหรอก 342 00:18:12,549 --> 00:18:15,679 ‎ฉันไม่เคืองนะ ถ้าคุณจะสบถต่อหน้าฉัน 343 00:18:15,761 --> 00:18:19,221 ‎ชอบเลยล่ะ เพราะนั่นแสดงว่า ‎คุณสบายใจที่อยู่กับฉัน ก็เลยโพล่งทุกอย่างออกมา 344 00:18:19,306 --> 00:18:21,676 ‎ฉันคิดว่าการสบถเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสื่อสาร 345 00:18:21,767 --> 00:18:24,977 ‎การสบถเป็นแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง ‎ในกล่องเครื่องมือของคุณ 346 00:18:25,062 --> 00:18:28,362 ‎ฉันคิดว่ามันช่วยบรรเทาความรู้สึกได้ 347 00:18:28,440 --> 00:18:31,610 ‎ถ้าคุณกำลังรู้สึกไม่ดี มันจะช่วยคุณบรรเทา 348 00:18:31,693 --> 00:18:36,163 ‎แต่ถ้าคุณรู้สึกดี ‎มันจะถ่ายทอดและแบ่งปันออกไป 349 00:18:36,240 --> 00:18:41,830 ‎มันช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ‎และหลายคนรู้สึกดีได้ก็เพราะมัน 350 00:18:42,454 --> 00:18:46,544 ‎ความเป็นมาของคำว่า "แดมน์" ‎คือความเป็นมาของคำสบถทั้งหมด 351 00:18:46,625 --> 00:18:50,335 ‎และด้วยเหตุนั้น ‎มันจึงเป็นความเป็นมาของวัฒนธรรมเราด้วย 352 00:18:50,420 --> 00:18:54,510 ‎ความเชื่อและความกลัวของเรา ‎แม้จะไม่หายไป แต่มันก็เปลี่ยนไป 353 00:18:55,217 --> 00:18:59,047 ‎คำสบถบอกให้รู้ว่าเราให้คุณค่ากับอะไร ‎ศีลธรรมของเราอยู่ตรงไหน 354 00:18:59,138 --> 00:19:03,978 ‎และเรานำความเครียดไปสู่การพูดในที่สาธารณะ ‎และชีวิตส่วนตัวของเราอย่างไร 355 00:19:04,518 --> 00:19:07,978 ‎มีบางสิ่งเกี่ยวกับคำสบถที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิด 356 00:19:08,522 --> 00:19:11,022 ‎ตรงทางแยกระหว่างความสวยงาม ‎และความอัปลักษณ์ 357 00:19:11,108 --> 00:19:14,398 ‎ระหว่างจิตสำนึกในสมอง ‎และเดรัจฉานในเนื้อหนัง 358 00:19:14,987 --> 00:19:15,857 ‎หรือสั้นๆ 359 00:19:16,530 --> 00:19:18,490 ‎คำสบถจะยังเป็นประโยชน์ 360 00:19:18,574 --> 00:19:22,374 ‎ตราบที่เรายังมีหัวใจ ความคิด และความเลว 361 00:19:28,959 --> 00:19:30,379 ‎ผม นิโคลัส เคจ 362 00:19:31,545 --> 00:19:33,165 ‎ขอให้มีค่ำคืนที่โคตรเยี่ยม 363 00:20:09,917 --> 00:20:12,837 ‎(คำบรรยายโดย ปาริชาติ ชัยพิกุล)