1 00:00:15,808 --> 00:00:17,643 ทุกวัน ทั่วโลก 2 00:00:17,727 --> 00:00:20,396 คนหลายล้านคนมีปัญหาอยู่กับคำถามเดิม 3 00:00:20,480 --> 00:00:24,859 ต้องใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ หรือไม่ต้องใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ 4 00:00:26,861 --> 00:00:28,529 เครื่องหมายอัศเจรีย์เป็นมิตรครับ 5 00:00:29,155 --> 00:00:31,240 แต่มันก็อาจจะเป็นมิตรมากเกินไปได้ด้วย 6 00:00:32,450 --> 00:00:33,993 มันทำให้รู้ว่าคุณตื่นเต้น 7 00:00:34,077 --> 00:00:36,621 แต่ก็อาจทำให้ดูเหมือนคุณกำลังตะโกนอยู่ 8 00:00:38,372 --> 00:00:40,625 ในอีเมลเรื่องงาน มันทำให้น้ำเสียงเป็นกันเองขึ้น 9 00:00:40,708 --> 00:00:43,127 แต่ก็อาจทำให้คุณดูจริงจังน้อยลงเหมือนกัน 10 00:00:44,587 --> 00:00:46,798 และถ้าคุณไม่ใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ 11 00:00:47,340 --> 00:00:49,217 บางครั้งอาจเสี่ยงต่อการดูใจร้าย 12 00:00:49,300 --> 00:00:50,551 คุณเขียนว่า "ไมร่ามีลูกแล้ว" 13 00:00:50,635 --> 00:00:52,970 แต่คุณไม่ใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ 14 00:00:53,054 --> 00:00:55,223 อีเลนเคยโดนทิ้งเพราะเรื่องนี้ 15 00:00:55,306 --> 00:00:57,934 ฉันจะใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ ท้ายทุกประโยคพวกนี้เลย 16 00:00:58,017 --> 00:01:00,478 ท้ายประโยคนี้ และท้ายประโยคนั้น 17 00:01:00,561 --> 00:01:04,357 คุณใส่ในท้ายประโยคนี้ด้วยก็ได้ "ผมไปละ!" 18 00:01:04,440 --> 00:01:09,112 วิธีที่คนมองมันในส่วนของอาชีพการงาน อาจแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับเพศ 19 00:01:09,529 --> 00:01:11,781 เมื่อส่งโดยเพื่อนร่วมงานหญิง 20 00:01:11,864 --> 00:01:13,908 ผู้ตอบที่เป็นผู้ชายเกือบครึ่งพบว่า 21 00:01:13,991 --> 00:01:17,870 การใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ในอีเมลฉบับนี้ มีความเป็นมืออาชีพมาก 22 00:01:17,954 --> 00:01:21,666 แต่เมื่ออีเมลฉบับเดียวกันถูกส่งโดยผู้ชาย 23 00:01:21,749 --> 00:01:23,835 ตัวเลขนั้นลดลงอย่างมาก 24 00:01:24,627 --> 00:01:27,713 มนุษย์คือนักสื่อสารและนักบุกเบิก 25 00:01:28,297 --> 00:01:30,133 เราส่งคนไปดวงจันทร์มาแล้ว 26 00:01:30,216 --> 00:01:33,761 แต่เรากลับมีวิธีจบประโยคแค่สามวิธี 27 00:01:34,470 --> 00:01:37,682 เครื่องหมายอัศเจรีย์มีอยู่ทุกที่ ในวัฒนธรรมสมัยนิยม 28 00:01:37,765 --> 00:01:41,060 ถึงแม้จะไม่ชัดเจนนักว่ามันหมายถึงอะไร 29 00:01:41,644 --> 00:01:44,438 ทำไมเครื่องหมายอัศเจรีย์ถึงได้ชวนงงนัก 30 00:01:45,773 --> 00:01:47,275 แล้วมีอะไรดีกว่านี้หรือเปล่า 31 00:01:49,777 --> 00:01:53,489 (ภาพยนตร์สารคดีชุดของ NETFLIX) 32 00:01:53,573 --> 00:01:55,408 มันคือนก! มันคือเครื่องบิน!! 33 00:01:55,491 --> 00:01:57,535 - อย่าทำเพื่อผม ทำเพื่อนสพ. - ไปซะ สเวนกาลี! 34 00:01:57,618 --> 00:01:58,744 ผู้คนอยู่ไหนกัน! 35 00:01:59,954 --> 00:02:01,539 ผมเจ๋งสุด! 36 00:02:05,001 --> 00:02:07,420 นี่คือรายการเจ็ปพาร์ดี! 37 00:02:07,503 --> 00:02:11,424 ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ต่อไป เครื่องหมายอัศเจรีย์! 38 00:02:11,841 --> 00:02:13,301 พวกเขาส่งข้อความหากัน 39 00:02:13,384 --> 00:02:15,469 พวกเขาไม่ต้องสะกดเป็น ไม่ต้องรู้ไวยากรณ์ 40 00:02:15,761 --> 00:02:18,264 คุณเท่านั้นที่ป้องกันไฟป่าได้! 41 00:02:18,347 --> 00:02:20,349 มันคือเครื่องหมายอัศเจรีย์! 42 00:02:20,433 --> 00:02:22,602 มันคือเส้นหนึ่งเส้นที่มีจุดอยู่ข้างใต้ 43 00:02:22,685 --> 00:02:25,271 (ไขประเด็น !) 44 00:02:25,771 --> 00:02:29,066 ใครจะช่วยให้เราเข้าใจ การใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ 45 00:02:29,442 --> 00:02:32,445 ได้ดีไปกว่าเจ้าพ่อแห่งเครื่องหมายวรรคตอน 46 00:02:32,528 --> 00:02:33,905 "บรรณาธิการต้นฉบับ" 47 00:02:34,280 --> 00:02:36,949 แล้วจะมีวิธีไหนที่จะได้ความจริงที่เที่ยงแท้ 48 00:02:37,033 --> 00:02:40,411 มากไปว่าการไปที่การประชุมบรรณาธิการต้นฉบับ ช่วงพักดื่มได้อีก 49 00:02:40,494 --> 00:02:42,788 เฮ้! ทีมคุณชนะการแข่งขัน วิเศษสุดๆ เลย! 50 00:02:42,872 --> 00:02:44,123 คุณพระช่วย! 51 00:02:44,207 --> 00:02:45,291 โอ้แม่เช็ด! 52 00:02:45,374 --> 00:02:49,295 หรือ... ฉันท้อง! หรือ... ฉันหย่าแล้ว! 53 00:02:49,378 --> 00:02:51,214 ไม่ตรงกับฉันเลยสักอย่าง ตายจริง 54 00:02:51,297 --> 00:02:55,259 คุณใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ ในอาชีพคุณได้แค่ครั้งเดียว ใช้ให้ดีนะคะ 55 00:02:55,343 --> 00:02:58,554 ที่โรงเรียนบรรณาธิการ พวกเขาบอกให้ใช้มันให้น้อยเข้าไว้ 56 00:02:59,555 --> 00:03:00,890 แต่ฉันไม่เชื่อค่ะ... 57 00:03:00,973 --> 00:03:02,433 เพราะฉันคิดว่ามันเจ๋งดีออก 58 00:03:02,516 --> 00:03:05,019 ถ้าคุณใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์เยอะๆ 59 00:03:05,102 --> 00:03:07,563 คุณจะดูเหมือนเด็กอายุ 14 ตื่นเต้นเกินจริง 60 00:03:07,647 --> 00:03:11,025 ถ้าเป็นจดหมายเกี่ยวกับงาน ผมจะไม่ใช่มันเกินสองครั้ง 61 00:03:11,108 --> 00:03:15,738 ฉันใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ โดยส่วนตัวนะคะ... ตลอดเวลาค่ะ 62 00:03:16,656 --> 00:03:20,034 เหมือนมันเป็นเรื่องใหญ่โตมโหระทึก และฉันต้องการความช่วยเหลือจริงๆ 63 00:03:20,117 --> 00:03:23,955 แต่คำถามที่ว่าต้องใช้ เครื่องหมายอัศเจรีย์ยังไงนั้นเคยตอบได้ง่ายมาก 64 00:03:24,872 --> 00:03:26,624 ใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ 65 00:03:27,333 --> 00:03:29,001 หลังคำอุทานไงล่ะ 66 00:03:29,585 --> 00:03:31,545 คำเช่น "ดูสิ" 67 00:03:31,629 --> 00:03:32,588 "ฟังนะ" 68 00:03:32,672 --> 00:03:33,673 "ดูนี่" 69 00:03:33,756 --> 00:03:35,883 เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้อ่าน 70 00:03:35,967 --> 00:03:39,887 กวีชาวอิตาเลียน ยาโคโป อัลโปเลโอ ดา อูร์บิไซยา 71 00:03:39,971 --> 00:03:41,389 อ้างว่าเป็นผู้คิดค้นมัน 72 00:03:41,472 --> 00:03:44,558 ในยุคเรอเนสซองซ์ มีความรู้สึกว่าวัฒนธรรมร่วมสมัย... 73 00:03:44,642 --> 00:03:46,727 (เอริก ไวส์กอตต์ อาจารย์วรรณคดีอังกฤษยุคกลาง) 74 00:03:46,811 --> 00:03:51,357 ...ถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมถอย และต้องย้อนกลับไปและค้นหารากฐานที่ดีกว่า 75 00:03:51,440 --> 00:03:54,235 เพื่อศิลปะ และวัฒนธรรม และสังคม 76 00:03:54,819 --> 00:03:58,739 และพวกเขาหันไปหาช่วงโบราณกาล หันไปหาเอเธนส์และโรมโบราณ 77 00:03:58,823 --> 00:04:00,574 และหันไปหาคำสั่ง เช่น ซิเซโร 78 00:04:01,784 --> 00:04:04,495 ดา อูร์บิไซยาตัดสินใจทำเครื่องหมายอัศเจรีย์ 79 00:04:04,578 --> 00:04:07,832 เพื่อบ่งชี้วิธีการอ่านออกเสียง ที่พวกเขาควรอ่านให้มีชีวิตชีวามากขึ้น 80 00:04:07,915 --> 00:04:11,127 เขาเรียกสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ว่าจุดชื่นชม 81 00:04:11,210 --> 00:04:13,671 หรือจุดอุทาน 82 00:04:13,754 --> 00:04:16,299 "ผมเริ่มทำเครื่องหมายท้ายข้อความแบบนั้น 83 00:04:16,382 --> 00:04:20,720 ด้วยจุดเรียบๆ และเครื่องหมายจุลภาค วางไว้ตามยาวข้างบนจุด 84 00:04:20,803 --> 00:04:25,224 จุดแบบใหม่กลายเป็นที่นิยม และถูกใช้แบบนี้มาหลายศตวรรษ 85 00:04:26,058 --> 00:04:30,313 ในยุค 1700 ชาวสเปนได้กำหนดมาตรฐาน ด้วยการกลับหัวมัน 86 00:04:30,396 --> 00:04:32,606 และยังวางไว้หน้าประโยคอีกด้วย 87 00:04:33,482 --> 00:04:36,027 มิชชันนารีและประเทศมหาอำนาจในยุโรป 88 00:04:36,110 --> 00:04:39,822 เผยแพร่การใช้มันไปทั่วโลก และใช้กับหลายสิบภาษา 89 00:04:42,158 --> 00:04:43,909 แต่การประยุกต์ใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ 90 00:04:43,993 --> 00:04:47,621 ในประเพณีที่ถ่ายทอดผ่านงานเขียน ซึ่งไม่ได้ใช้มันตั้งแต่แรกก็จะค่อนข้างยาก 91 00:04:48,164 --> 00:04:51,876 เมื่อหนึ่งในวรรณกรรมชิ้นเอก ในภาษาอังกฤษเก่าเรื่องเบวูล์ฟ 92 00:04:51,959 --> 00:04:54,545 ถูกค้นพบอีกครั้งในต้นยุค 1800 93 00:04:54,628 --> 00:04:58,215 บรรณาธิการหลายคนถกเถียงกันว่า ควรใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ 94 00:04:58,299 --> 00:04:59,925 กับคำแรกของบทกวีหรือไม่ 95 00:05:01,677 --> 00:05:02,511 อะไรนะ 96 00:05:02,595 --> 00:05:04,889 "ฮวัต!" ซึ่งแปลว่า ฟังนะ 97 00:05:04,972 --> 00:05:07,600 หรือในเพลงแร็ป ก็จะเหมือนกับว่า "โย่!" หรือ "เอโย!" 98 00:05:13,689 --> 00:05:18,319 และเบวูล์ฟก็จะกลายเป็นคนละเรื่องเลย ขึ้นอยู่กับว่าคุณใส่เครื่องหมายวรรคตอนยังไง 99 00:05:18,402 --> 00:05:20,571 ฟังนะ! เราได้ยินเรื่องชัยชนะของสเปียร์ เดนส์ 100 00:05:20,654 --> 00:05:24,825 ราชาแห่งเผ่า ในอดีตกาล ว่าเหล่าขุนนาง กระทำสิ่งที่กล้าหาญเพียงใด! 101 00:05:26,911 --> 00:05:28,579 ถ้ามีเครื่องหมายอัศเจรีย์ในนั้น 102 00:05:28,662 --> 00:05:30,748 ผู้บรรยายคงตื่นเต้นกับอดีตนี้มาก 103 00:05:31,332 --> 00:05:36,962 ไม่มีเครื่องหมายวรรคตอนอะไร ที่มีพลังในการบ่งบอกความรู้สึก 104 00:05:37,046 --> 00:05:39,173 เหมือนเครื่องหมายอัศเจรีย์อีกแล้ว 105 00:05:39,757 --> 00:05:41,967 ในสมัยศตวรรษที่ 18 106 00:05:42,051 --> 00:05:44,303 คนเริ่มใช้มัน ไม่ใช่เพื่อไวยากรณ์เท่านั้น 107 00:05:44,387 --> 00:05:45,679 แต่เพื่อน้ำเสียงด้วย 108 00:05:45,763 --> 00:05:48,682 "เพื่อนยาก! การจัดการนี้ทำให้ฉันทึ่งมาก!" 109 00:05:48,766 --> 00:05:51,769 นักเขียนชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ อย่างเฮอร์แมน เมลวิลล์ 110 00:05:51,852 --> 00:05:55,314 นำเครื่องหมายอัศเจรีย์มาใช้ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึก 111 00:05:55,981 --> 00:06:00,986 ผลงานคลาสสิกของเขา "โมบิดิก" ใช้อัศเจรีย์ 1,683 ตัว 112 00:06:01,070 --> 00:06:03,197 "ฉันเห็นรูปร่างนั้นแล้ว... 113 00:06:03,280 --> 00:06:06,033 สะอาดอย่างซีดเผือด น่านับถืออย่างน่าเวทนา 114 00:06:06,117 --> 00:06:07,993 สิ้นหวังอย่างไร้ทางเยียวยา!" 115 00:06:08,077 --> 00:06:13,207 แต่แล้ว หลังปี 1920 เครื่องหมายอัศเจรีย์ก็กลายเป็นเรื่องไม่เท่ 116 00:06:13,290 --> 00:06:15,626 นักเขียนเริ่มเชื่อมโยงเครื่องหมายอัศเจรีย์... 117 00:06:15,709 --> 00:06:17,002 (เจฟฟ์ นันเบิร์ก นักภาษาศาสตร์) 118 00:06:17,086 --> 00:06:20,256 ในแง่หนึ่ง กับพาดหัวข่าวที่น่าตื่นเต้น ของหนังสือพิมพ์เดอะเยลโลว์เพรส 119 00:06:20,339 --> 00:06:25,177 และในอีกแง่หนึ่ง กับนิยายสะเทือนอารมณ์ที่ผู้หญิงเขียน 120 00:06:25,261 --> 00:06:26,887 เช่น คุณนายเซาธ์เวิร์ธ 121 00:06:26,971 --> 00:06:29,140 ทั้งสองกรณี เครื่องหมายอัศเจรีย์ 122 00:06:29,223 --> 00:06:30,349 ไม่มีความเป็นชาย 123 00:06:30,433 --> 00:06:31,767 มันน่ารังเกียจ 124 00:06:31,851 --> 00:06:34,562 และนักเขียนที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในยุคนั้นคนหนึ่ง 125 00:06:34,645 --> 00:06:36,522 ก็มีความเป็นชายมากที่สุดคนหนึ่งซะด้วย 126 00:06:36,772 --> 00:06:38,232 เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ 127 00:06:38,315 --> 00:06:41,694 เฒ่าทะเลผู้ยิ่งใหญ่มีอัศเจรีย์หนึ่งตัว 128 00:06:41,777 --> 00:06:43,737 ("เดี๋ยวนี้!") 129 00:06:43,821 --> 00:06:46,991 ในยุคเดียวกับเฮมิงเวย์ เอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ 130 00:06:47,074 --> 00:06:49,493 ต้องยอมจำนนตามแรงกดดัน 131 00:06:50,369 --> 00:06:52,037 ในบันทึกความทรงจำความสัมพันธ์ 132 00:06:52,121 --> 00:06:55,040 ชีลา เกรแฮมอ้างว่าฟิตซ์เจอรัลด์เคยบอกเธอว่า 133 00:06:55,124 --> 00:06:57,293 "เอาเครื่องหมายอัศเจรีย์พวกนี้ออกไปให้หมด 134 00:06:57,376 --> 00:07:00,880 เครื่องหมายอัศเจรีย์เหมือนการหัวเราะ มุกตลกของตัวเอง" 135 00:07:01,755 --> 00:07:05,301 มันคือทัศนคติที่ยังคงมีอยู่ ในบรรดานักเขียน แม้กระทั่งปัจจุบัน 136 00:07:05,384 --> 00:07:07,595 ผมคิดว่าอัศเจรีย์ค่อนข้างไร้ประโยชน์ 137 00:07:07,678 --> 00:07:11,307 มันเพิ่มน้ำหนักของการจบประโยคโดยไม่จำเป็น 138 00:07:11,390 --> 00:07:12,766 ผมเลยหลีกเลี่ยงมัน 139 00:07:12,850 --> 00:07:15,060 ในงานเขียนส่วนตัวและการเขียนเรื่องงาน 140 00:07:16,061 --> 00:07:18,230 นักเขียนอาจหลบเลี่ยงเครื่องหมายอัศเจรีย์ 141 00:07:18,314 --> 00:07:19,607 แต่ใช่ว่าทุกคนจะหลบเลี่ยง 142 00:07:20,483 --> 00:07:24,278 โฆษณานำเครื่องหมายอัศเจรีย์มาใช้ ให้เกิดประโยชน์ 143 00:07:24,361 --> 00:07:27,448 เพื่อให้คุณสนใจ เพื่อขายของให้คุณ 144 00:07:28,782 --> 00:07:32,077 ตั้งแต่ยุค 1930 ถึงยุค 1940 และยุค 1950 145 00:07:32,161 --> 00:07:36,290 จำนวนโฆษณาสิ่งพิมพ์ ที่ใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ เพิ่มขึ้นถึงสองเท่า 146 00:07:36,373 --> 00:07:40,836 และในขณะที่โฆษณารักเครื่องหมายอัศเจรีย์ 147 00:07:40,920 --> 00:07:44,965 หนึ่งในการสร้างสรรค์ครื่องหมายวรรคตอนใหม่ ที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็เกิดขึ้น 148 00:07:45,257 --> 00:07:47,510 มันคืออินเทอร์โรแบง 149 00:07:49,470 --> 00:07:52,264 ไม่เคยมีเครื่องหมายที่ใช้ 150 00:07:52,348 --> 00:07:54,141 สองเครื่องหมายในเครื่องหมายเดียว... 151 00:07:54,225 --> 00:07:56,352 (เพนนี สเป็กเตอร์ ภรรยาผู้คิดค้นอินเทอร์โรแบง) 152 00:07:56,435 --> 00:07:58,145 ...มันมักจะเป็นสองสามตัวแยกกัน 153 00:07:58,229 --> 00:08:00,147 ซึ่งไม่โก้เลย 154 00:08:00,231 --> 00:08:02,858 เพนนีและสามีผู้จากไปของเธอ มาร์ติน สเป็กเตอร์ 155 00:08:02,942 --> 00:08:06,904 เป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาที่ประสบความสำเร็จ ในช่วงยุคทองของการโฆษณา 156 00:08:07,363 --> 00:08:10,074 เราพบกันในเดือนกันยายน แต่งงานกันเดือนธันวาคม 157 00:08:10,157 --> 00:08:13,035 เมื่อก่อนฉันชอบไปดื่มและเต้นรำ 158 00:08:13,118 --> 00:08:15,913 แต่เขาไม่ดื่มและเขาไม่เต้นรำ 159 00:08:17,498 --> 00:08:20,042 ฉันเลยต้องหางานอดิเรกใหม่ 160 00:08:20,709 --> 00:08:21,794 หนึ่งในงานอดิเรกนั้น 161 00:08:21,877 --> 00:08:25,673 คือการทำนิตยสารออกแบบตัวอักษรเล็กๆ ชื่อไทป์ทอล์กส์ 162 00:08:25,756 --> 00:08:29,260 เรากินมื้อค่ำกันในคืนหนึ่งและเขายังขาดอยู่สี่หน้า 163 00:08:29,343 --> 00:08:33,055 แล้วอยู่ๆ เขาก็นึกถึงอินเทอร์โรแบงขึ้นมา 164 00:08:33,722 --> 00:08:36,392 เขาเลยโทรไปหาสตูดิโอศิลปะที่เราใช้อยู่ 165 00:08:36,475 --> 00:08:40,396 และเขาถามว่า "แถวนั้นมีใคร ที่วาดรูปเป็นบ้างไหม" 166 00:08:40,479 --> 00:08:41,855 แล้วเราก็แวะไป 167 00:08:41,939 --> 00:08:43,941 เราอยู่ที่นั่นกันถึงประมาณตีสาม 168 00:08:44,024 --> 00:08:47,486 แล้วเขาก็คิดค้นอินเทอร์โรแบง มากมายหลายรูปแบบ 169 00:08:47,987 --> 00:08:50,990 ชื่อนี้เป็นการรวมกันของ "อินเทอร์โร" ที่หมายถึงการซักถาม 170 00:08:51,073 --> 00:08:53,576 และแบงที่หมายถึงเครื่องหมายอัศเจรีย์ 171 00:08:53,659 --> 00:08:57,288 เป็นคำแสลงที่ว่ากันว่าเกิดจากหนังสือการ์ตูน 172 00:08:58,330 --> 00:09:01,875 อินเทอร์โรแบงของมาร์ติน สเป็กเตอร์ เริ่มต้นอย่างมีความหวัง 173 00:09:02,459 --> 00:09:05,212 มันถูกรวมอยู่ในฟอนต์อเมริกานายอดนิยม 174 00:09:05,504 --> 00:09:08,465 และเป็นตัวเลือกบนเครื่องพิมพ์ดีดหลายเครื่อง 175 00:09:09,133 --> 00:09:13,137 มันยังเคยเป็นชื่อภาพยนตร์ แนวอีโรติกเขย่าขวัญอิตาเลียนปี 1969 ด้วย 176 00:09:13,470 --> 00:09:15,723 เธออยากร่วมรักกับเขาหรือเปล่า 177 00:09:15,806 --> 00:09:18,309 คำถามที่ไม่มีวันจบสิ้นนี้คืออะไรกันแน่ 178 00:09:18,434 --> 00:09:22,146 ดูเหมือนว่าการออกแบบ เครื่องหมายอัศเจรีย์ใหม่อาจเป็นทางออก 179 00:09:22,229 --> 00:09:23,063 ("ถอนขนนกกัน") 180 00:09:23,147 --> 00:09:26,859 นักเขียนชาวฝรั่งเศสเอร์เว บาซิง นำเสนอเครื่องหมายสนับสนุน 181 00:09:26,942 --> 00:09:29,403 เป็นการแสดงถึงความเป็นมิตรหรือความยินดี 182 00:09:29,486 --> 00:09:30,946 เครื่องหมายเชื่อมั่น 183 00:09:31,030 --> 00:09:33,741 เมื่อคุณอยากพูดอะไรด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม 184 00:09:33,824 --> 00:09:38,621 และเครื่องหมายอำนาจ เพื่อใช้ประโยคของคุณ เป็นข้อความที่แสดงความเชี่ยวชาญ 185 00:09:39,622 --> 00:09:42,625 แต่ไม่มีเครื่องหมายใดในนี้ รวมทั้งอินเทอร์โรแบงได้รับความนิยมเลย 186 00:09:42,791 --> 00:09:44,460 เพราะพวกมันมาช้าเกินไป 187 00:09:45,377 --> 00:09:48,631 กระแสการออกแบบที่แตกต่าง ได้ฉวยความนิยมไปแล้ว 188 00:09:49,256 --> 00:09:52,384 โฆษณาดอยล์ เดนชื่อดังของโฟล์กสวาเกน 189 00:09:52,468 --> 00:09:55,679 ที่ทำให้รถเต่าแพร่หลายมากในต้นยุค 1960 190 00:09:55,763 --> 00:09:58,390 เป็นไปในอีกทิศทางโดยสิ้นเชิง 191 00:09:58,682 --> 00:10:02,603 โฟล์กสวาเกนส่งสารด้วยความเรียบง่าย ของฟอนต์เฮลเวตติกาและเครื่องหมายจุด 192 00:10:02,686 --> 00:10:06,231 ในทิศทางตรงกันข้ามกับคู่แข่งอย่างเชฟโรเลต 193 00:10:07,066 --> 00:10:09,943 ในโฆษณาสิ่งพิมพ์ การใช้อัศเจรีย์ของพวกเขาลดฮวบ 194 00:10:10,611 --> 00:10:15,032 แต่ในรายการทีวีที่สร้างจากหนังสือการ์ตูน กลับโดดเด่นขึ้น 195 00:10:15,115 --> 00:10:17,826 ถ้าคุณดูแบทแมนต้นฉบับทางทีวี 196 00:10:17,910 --> 00:10:20,788 เวลาพวกเขาพูดว่า "ตู้ม" จะมีลูกโป่งเล็กๆ โผล่ขึ้นมา 197 00:10:20,871 --> 00:10:23,791 เราจึงชื่นชมที่สิ่งเหล่านี้ทำได้โดยเข้าใจเสมอ 198 00:10:23,874 --> 00:10:25,793 ว่าเราไม่ได้จริงจังมากเกินไปนัก 199 00:10:25,876 --> 00:10:27,503 และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คนใช้มัน 200 00:10:27,586 --> 00:10:32,132 แต่ด้วยความรู้สึก "ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น" เสมอ 201 00:10:32,216 --> 00:10:36,220 เครื่องหมายอัศเจรีย์ปรากฏอยู่ใน ศิลปะประชานิยมของรอย ลิกเทนสไตน์ 202 00:10:36,303 --> 00:10:40,432 ในชื่อเพลงยอดนิยม และในสโลแกนหาเสียงเป็นครั้งแรก 203 00:10:40,516 --> 00:10:44,186 จนสุดท้าย ฟองสบู่แตกพร้อมการเสียดสี 204 00:10:44,269 --> 00:10:45,145 (เครื่องบิน!) 205 00:10:45,229 --> 00:10:48,023 วัฒนธรรมสมัยนิยมในยุคนั้นเกือบเป็น 206 00:10:48,107 --> 00:10:51,026 ความหมกมุ่นของวัฒนธรรมอเมริกัน 207 00:10:51,110 --> 00:10:54,154 แต่มาพร้อมกับการวางเฉย รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ 208 00:10:54,238 --> 00:10:56,281 มันย้อนแย้ง มันประหลาด 209 00:10:57,074 --> 00:10:59,952 และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมนี้ เกิดขึ้นพร้อมกับอีกสิ่งหนึ่ง 210 00:11:00,411 --> 00:11:02,663 การเติบโตของผู้หญิงในที่ทำงาน 211 00:11:03,247 --> 00:11:06,792 ในตำแหน่งผู้มีอำนาจ ผู้หญิงมีสองสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ 212 00:11:08,794 --> 00:11:11,505 ถ้าเธอทำความคาดหวังที่จะเป็นคนดีสำเร็จ 213 00:11:11,588 --> 00:11:14,883 เธอจะเป็นที่ชื่นชอบแต่เธอจะถูกประเมินค่าต่ำไป 214 00:11:14,967 --> 00:11:19,888 ถ้าเธอทำความต้องการที่จะเป็นผู้จัดการ หรือผู้นำสำเร็จ เธอจะได้รับความนับถือ... 215 00:11:20,389 --> 00:11:24,435 แต่เธออาจถูกเรียกด้วยชื่อที่เป็นคำหยาบ 216 00:11:25,018 --> 00:11:27,646 เครื่องหมายจุดนั้นตรงไปตรงมา และอาจดูเข้มงวด 217 00:11:27,730 --> 00:11:31,150 เครื่องหมายอัศเจรีย์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสุภาพ 218 00:11:31,233 --> 00:11:33,569 เช่น ฉันถามคุณว่า "คืนนี้อยากออกไปข้างนอกไหม" 219 00:11:33,652 --> 00:11:35,112 และคุณตอบว่า "อยาก" 220 00:11:36,196 --> 00:11:37,906 ฉันจะคิดว่าคุณไม่ได้อยากไปจริงๆ 221 00:11:37,990 --> 00:11:39,032 อยาก! 222 00:11:39,116 --> 00:11:43,162 คุณต้องกระตือรือร้น เพื่อให้หมายความอย่างนั้นจริงๆ ในการเขียน 223 00:11:43,245 --> 00:11:46,790 ถ้าคุณไม่ใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ มันเหมือนคุณไม่ได้หมายความอย่างนั้น 224 00:11:46,874 --> 00:11:49,376 และสำหรับผู้หญิงหลายๆ คน คุณต้องใช้หลายตัวเลยละ 225 00:11:50,127 --> 00:11:53,881 ในการวิจัยเมื่อปี 2006 ผลงานวิจัยชิ้นเดียวที่ศึกษาเรื่องนี้ 226 00:11:53,964 --> 00:11:58,177 เครื่องหมายอัศเจรีย์เกือบสามในสี่ของทั้งหมด ที่พบในการเขียนจดหมายออนไลน์ 227 00:11:58,260 --> 00:11:59,803 ผู้หญิงเป็นผู้ใช้ 228 00:12:00,387 --> 00:12:02,431 แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเครื่องหมายอัศเจรีย์ 229 00:12:02,514 --> 00:12:05,184 ไม่ได้หยุดการบ่งชี้ความรู้สึก หรือความย้อนแย้ง... 230 00:12:05,768 --> 00:12:09,605 หรือความดัง คำสั่ง การกระทำ คำเตือน ความแปลกใจ 231 00:12:09,688 --> 00:12:11,732 และแน่นอน คำอุทาน เช่นทวีตต่างๆ ของโดนัลด์ ทรัมป์ 232 00:12:13,942 --> 00:12:15,861 ในระหว่างวัน ถ้าผมอยู่ในออฟฟิศ 233 00:12:15,944 --> 00:12:18,447 มีคนเยอะมากที่ผมจะทวีตหา 234 00:12:18,530 --> 00:12:20,783 - คุณทวีต "เครื่องหมายอัศเจรีย์!" - ใช่ครับ 235 00:12:21,366 --> 00:12:24,244 เครื่องหมายอัศเจรีย์ไม่ได้พัฒนาตามกาลเวลา 236 00:12:24,328 --> 00:12:26,872 มากเท่ากับความหมายที่มันสะสมเอาไว้ 237 00:12:26,955 --> 00:12:29,625 เราใช้อัศเจรีย์ในหลายความหมายใช่ไหมครับ 238 00:12:29,708 --> 00:12:31,126 มันก็เลยเป็นอะไรก็ได้ 239 00:12:31,210 --> 00:12:33,253 และเพราะอย่างนั้น มันเลยไม่มีความหมายอะไร 240 00:12:34,463 --> 00:12:38,884 การเขียนถึงกันอยู่เรื่อยๆ ผ่านอีเมล ข้อความ และโซเชียลมีเดีย 241 00:12:38,967 --> 00:12:40,886 มันเปลี่ยนวิธีการที่เราสื่อสารกัน 242 00:12:40,969 --> 00:12:43,013 และในหลายๆ แง่มุม เครื่องหมายอัศเจรีย์ 243 00:12:43,096 --> 00:12:44,348 ก็กำลังอยู่ในยุครุ่งเรือง 244 00:12:44,431 --> 00:12:45,307 บนโลกอินเทอร์เน็ต 245 00:12:45,974 --> 00:12:49,436 "รายงาน คานเย เวสต์ถูกกดดัน ให้ย้ายเข้าไปอยู่กับคริส เจนเนอร์... 246 00:12:49,520 --> 00:12:51,271 โดยคิม คาร์เดเชียน!" 247 00:12:51,814 --> 00:12:53,482 ไร้สาระมาก 248 00:12:54,441 --> 00:12:57,694 คุณจะเห็นพวกพาดหัวข่าวของบอสสิป หรือของบล็อกมีเดียเทกเอาต์ 249 00:12:57,778 --> 00:12:59,613 ที่เกินจริงสุดๆ 250 00:12:59,696 --> 00:13:03,659 ซึ่งก็รับเอาภาษาอินเทอร์เน็ตแบบนี้มาใช้ 251 00:13:03,742 --> 00:13:05,369 ด้วยวิธีที่แตกต่างและน่าสนใจมากครับ 252 00:13:05,452 --> 00:13:08,497 แต่โลกออนไลน์ มันก็แค่สนุก ก็สนุกกับมันไปเถอะ 253 00:13:09,081 --> 00:13:12,000 ในทวิตเตอร์ ผมใส่อัศเจรีย์ห้าตัวในหนึ่งทวีตเลย 254 00:13:12,084 --> 00:13:14,503 เพราะมันออกแนวไร้สาระ 255 00:13:14,586 --> 00:13:17,756 นั่นก็ประเด็นหนึ่งด้วย คุณต้องพยายามเล่นกับความรู้สึก 256 00:13:19,758 --> 00:13:22,219 แต่ในโลกออนไลน์และในโทรศัพท์ของเรา 257 00:13:22,302 --> 00:13:24,638 เดี๋ยวนี้เรามีวิธีถ่ายทอดน้ำเสียงหลายวิธี 258 00:13:25,055 --> 00:13:28,934 อิโมติคอน อิโมจิ มีม จิฟ 259 00:13:29,017 --> 00:13:30,435 เป็นวิธีการพูดว่า 260 00:13:31,228 --> 00:13:35,983 "อย่าใส่ใจกับสิ่งที่ฉันพูดไปนะ และอย่าคิดไปในทางลบด้วย" 261 00:13:36,066 --> 00:13:38,110 ส่วนใหญ่มันจะแสดงถึงความเป็นมิตร 262 00:13:38,193 --> 00:13:41,572 แต่สมัยนี้มีบทสนทนาเกิดขึ้น บนโลกออนไลน์เยอะมาก 263 00:13:41,655 --> 00:13:46,368 ที่คนแก่โดยเฉพาะมักจะกังวล และมันมักจะเป็นแบบนี้เสมอ 264 00:13:46,451 --> 00:13:49,079 พวกเขารู้สึกว่านี่คือภาษาที่เป็นทางการ 265 00:13:49,162 --> 00:13:53,667 อย่างเช่น แอลโอแอล หรือ แอลเอ็มเอโอ ที่หมายถึงขำมาก 266 00:13:53,750 --> 00:13:55,544 ไอดีเค หมายถึงฉันไม่รู้ 267 00:13:55,627 --> 00:13:58,505 และนักภาษาศาสตร์อย่างพวกเราหลายคน ก็บอกว่าใช้มันเสมอ 268 00:13:58,589 --> 00:14:01,091 เช่น เอฟวายไอ เอเอสเอพี 269 00:14:01,174 --> 00:14:06,805 แต่ฉันคิดว่ามันก็เป็นแค่กระบวนการเดียวกัน ของการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของภาษา 270 00:14:06,889 --> 00:14:08,140 ให้ตรงความต้องการปัจจุบัน 271 00:14:08,223 --> 00:14:10,809 ภาษาและการเขียนควรจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย 272 00:14:10,893 --> 00:14:12,102 ควรจะบอบบาง 273 00:14:12,185 --> 00:14:13,520 คุณควรจะยืดมันได้ 274 00:14:13,604 --> 00:14:16,565 แต่ในหลายๆ แง่มุม อินเทอร์เน็ตยังใหม่และอ่อนเยาว์มาก 275 00:14:16,648 --> 00:14:20,277 และค่อนข้างจะดิบเถื่อน ผมคิดมันโอเคทุกอย่างแหละครับ