1 00:00:09,510 --> 00:00:10,762 ‎911 แจ้งเหตุฉุกเฉินเรื่องอะไรคะ 2 00:00:11,679 --> 00:00:13,389 ‎911 แจ้งเหตุฉุกเฉินเรื่องอะไรคะ 3 00:00:13,473 --> 00:00:14,932 ‎911 แจ้งเหตุฉุกเฉินเรื่องอะไรครับ 4 00:00:15,058 --> 00:00:16,392 ‎911 แจ้ง... 5 00:00:19,854 --> 00:00:24,400 ‎ในวันที่ 9 เมษายน ปี 2014 ‎จู่ๆ 911 ก็หยุดให้บริการ 6 00:00:24,484 --> 00:00:27,111 ‎คนหลายล้านทั่วสหรัฐอเมริกา 7 00:00:27,779 --> 00:00:30,031 ‎ระบบล่มไปกว่าหกชั่วโมง 8 00:00:30,364 --> 00:00:33,367 ‎ไม่สามารถรับ ‎สายแจ้งเหตุฉุกเฉินกว่า 6,000 สาย 9 00:00:33,910 --> 00:00:35,912 ‎รัฐบาลตามปัญหาไป ‎ถึงคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง 10 00:00:35,995 --> 00:00:38,706 ‎ในอาคารโอนสายที่เองเกิลวูด รัฐโคโลราโด 11 00:00:39,082 --> 00:00:41,209 ‎เกิดจากการเขียนโค้ดพลาดนิดเดียว 12 00:00:41,918 --> 00:00:43,961 ‎คนที่คุมการเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น 13 00:00:44,045 --> 00:00:47,507 ‎เลือกกำหนดตัวเลขสูงสุดในการรับสายโทรเข้า 14 00:00:47,840 --> 00:00:51,010 ‎ซึ่งเป็นตัวเลขที่คนเขียนโค้ดคิดว่า ‎คอมพิวเตอร์ไม่มีทางต้องเจอ 15 00:00:51,427 --> 00:00:54,222 ‎แต่ในคืนนั้นของปี 2014 มันเกิดขึ้น 16 00:00:54,680 --> 00:00:56,933 ‎คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งอย่างไร้ข้อบกพร่อง 17 00:00:57,016 --> 00:00:59,310 ‎มันรับสายจนถึงจำนวนที่กำหนด ‎จากนั้นก็หยุดโอนสาย 18 00:01:00,061 --> 00:01:01,979 ‎ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คอมพิวเตอร์ 19 00:01:02,105 --> 00:01:03,940 ‎และไม่ได้อยู่ที่บั๊กในโค้ด 20 00:01:04,482 --> 00:01:06,067 ‎แต่อยู่ที่การเขียนโค้ด 21 00:01:06,275 --> 00:01:09,362 ‎ขั้นตอนการตัดสินใจซึ่งคนจะสื่อสาร 22 00:01:09,445 --> 00:01:10,488 ‎กับคอมพิวเตอร์ 23 00:01:10,571 --> 00:01:14,659 ‎พลังประเภทนี้มาพร้อมกับความรับผิดชอบ ‎ทางจริยธรรมที่ใหญ่ยิ่ง 24 00:01:14,742 --> 00:01:15,910 ‎ไม่เหมือนการทำอย่างอื่น 25 00:01:15,993 --> 00:01:18,204 ‎ไม่มีอะไรทดแทนกันได้ 26 00:01:18,329 --> 00:01:19,747 ‎ในหลายๆ แง่ก็ไม่ต่างจาก 27 00:01:19,831 --> 00:01:20,915 ‎ช่างก่อสร้างตึก 28 00:01:21,541 --> 00:01:23,751 ‎ที่ตัดสินว่าเราจะใช้ชีวิตยังไงในเมืองนี้ 29 00:01:23,835 --> 00:01:28,840 ‎ผมว่าโค้ดควบคุมชีวิตออนไลน์ของเรา ‎ซึ่งหลักๆ ก็คือวิถีชีวิตของเรา 30 00:01:29,507 --> 00:01:31,300 ‎ไม่ใช่แค่ตอนที่เราเข้าอินเทอร์เน็ต 31 00:01:31,384 --> 00:01:33,594 ‎แต่ยังเป็นตอนที่เราติดต่อกับหน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน 32 00:01:34,554 --> 00:01:35,596 ‎หรือไปพบแพทย์ 33 00:01:36,180 --> 00:01:37,598 ‎หรือขึ้นรถ 34 00:01:37,890 --> 00:01:40,643 ‎เราทุกคนใกล้ชิดกับโค้ดอยู่ทุกวัน 35 00:01:41,602 --> 00:01:47,024 ‎แต่มีคนเพียงหนึ่งในสาม ‎ของหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รู้วิธีเขียนโค้ด 36 00:01:47,233 --> 00:01:49,986 ‎สำหรับผู้คนจำนวนล้นหลามที่เหลือ ‎โค้ดคือกล่องดำ 37 00:01:50,695 --> 00:01:51,988 ‎แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น 38 00:01:52,446 --> 00:01:55,199 ‎แล้วการเขียนโค้ดจริงๆ ทำยังไงกันแน่ 39 00:01:55,658 --> 00:01:58,286 ‎โลกใหม่ที่เรากำลังใช้โค้ดสร้างขึ้นมา ‎มันเป็นยังไงกันแน่ 40 00:01:59,287 --> 00:02:01,122 ‎(ผลงานซีรีส์สารคดีจาก NETFLIX) 41 00:02:01,205 --> 00:02:02,540 ‎คอมพิวเตอร์ 42 00:02:03,082 --> 00:02:05,835 ‎ชุดฮาร์ดแวร์ไฟฟ้าที่ชาญฉลาด 43 00:02:05,918 --> 00:02:07,879 ‎ถูกสร้างโดยมนุษย์ 44 00:02:08,087 --> 00:02:11,382 ‎ไม่ใช่ว่าเราไม่มีเครื่องจักรที่น่าพอใจ ‎เพื่อช่วยเราแก้ปัญหา 45 00:02:11,465 --> 00:02:14,177 ‎แต่เราขาดคำอธิบายที่น่าพอใจ ‎ว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร 46 00:02:14,260 --> 00:02:17,972 ‎เวลามีคนพูดว่าเขียนโค้ด เราคิดว่ามันยากมาก 47 00:02:18,556 --> 00:02:22,685 ‎แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างที่เราใช้กับคอมพิวเตอร์นั้น 48 00:02:22,768 --> 00:02:25,271 ‎มีมนุษย์เป็นคนสร้าง 49 00:02:26,230 --> 00:02:27,648 ‎(การเขียนโค้ด) 50 00:02:31,944 --> 00:02:34,947 ‎สมมติว่ามนุษย์ต่างดาวบุกมาแล้วคุณก็ ‎"โอเค เขียนโค้ดสำคัญตรงไหน 51 00:02:35,031 --> 00:02:35,907 ‎มันคืออะไร" 52 00:02:35,990 --> 00:02:37,283 ‎ผมก็จะบอกว่า "คืองี้ครับ 53 00:02:37,533 --> 00:02:41,412 ‎เราอยู่บนโลกนี้ซึ่งประมาณ 50 ปีก่อน 54 00:02:41,495 --> 00:02:44,582 ‎มีคนกลุ่มเล็กๆ เริ่มสร้างดาวเคราะห์ขึ้นอีกดวง 55 00:02:44,665 --> 00:02:46,876 ‎แต่มันไม่ใช่โลกที่อยู่ได้จริง ‎มันเป็นโลกเสมือน 56 00:02:47,001 --> 00:02:50,213 ‎มองไปตามถนนสิ คุณเห็นทุกคนเดินบนถนน 57 00:02:50,296 --> 00:02:52,548 ‎ก้มหน้าจ้องโทรศัพท์ใช่ไหมครับ 58 00:02:52,632 --> 00:02:54,091 ‎ที่จริงพวกเขาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง 59 00:02:54,383 --> 00:02:56,093 ‎นั่นแหละครับ โค้ดโปรแกรม 60 00:02:56,219 --> 00:02:58,054 ‎มันคือตัวอาคารของอีกโลกหนึ่ง 61 00:03:00,056 --> 00:03:03,476 ‎เครื่องทอผ้านี้คือบรรพบุรุษของคอมพิวเตอร์ ‎และสมาร์ทโฟนทุกเครื่อง 62 00:03:03,559 --> 00:03:04,393 ‎บนโลกนี้ 63 00:03:04,852 --> 00:03:06,854 ‎มันถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี 1804 64 00:03:06,938 --> 00:03:09,232 ‎และนวัตกรรมใหญ่ในตอนนั้นคือบัตรข้อมูลเหล่านี้ 65 00:03:10,107 --> 00:03:13,194 ‎รูในบัตรแต่ละใบ ‎ทำให้เข็มบางอันทะลุไปได้ 66 00:03:14,237 --> 00:03:16,405 ‎ด้วยรูนับหมื่นบนบัตร 67 00:03:16,489 --> 00:03:19,492 ‎นักทอผ้าสามารถ ‎ทำลวดลายที่ซับซ้อนได้มากกว่าที่เคย 68 00:03:20,243 --> 00:03:22,620 ‎ผ้าคลุมไหล่ลายวิจิตรกลายเป็นที่นิยมมากในยุโรป 69 00:03:23,037 --> 00:03:26,666 ‎ลวดลายถักทอซับซ้อนละเอียดลออ ‎จนดูราวกับภาพเขียน 70 00:03:26,916 --> 00:03:29,168 ‎เช่น หนึ่งในผู้คิดค้นเครื่องทอผ้าคนนี้ 71 00:03:30,169 --> 00:03:33,422 ‎ก่อนจะมีเครื่องทอผ้า ‎ด้ายแต่ละเส้นต้องใช้มือเลือก 72 00:03:33,547 --> 00:03:34,423 ‎โดย "เด็กดึงด้าย" 73 00:03:34,966 --> 00:03:36,801 ‎สมัยนั้นก็คำนวณตัวเลขกันเองเช่นกัน 74 00:03:36,884 --> 00:03:38,886 ‎ใช้คนที่เรียกกันว่า "คอมพิวเตอร์" 75 00:03:39,095 --> 00:03:40,972 ‎คอมพิวเตอร์สมัยแรกๆ คือคนเหล่านี้ 76 00:03:41,681 --> 00:03:43,557 ‎และเครื่องจักรที่ดีที่สุดที่ใช้เป็นเครื่องมือ 77 00:03:43,641 --> 00:03:45,518 ‎ก็คิดเลขได้ประเภทเดียวเท่านั้น 78 00:03:46,227 --> 00:03:48,229 ‎เช่น ลูกคิดที่ใช้บวกและลบ 79 00:03:49,480 --> 00:03:51,857 ‎นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ‎ชาลส์ แบบเบจอยากได้เครื่อง 80 00:03:51,941 --> 00:03:54,610 ‎ที่ช่วยคิดเลขทุกแบบที่เราเลือกได้ 81 00:03:54,777 --> 00:03:57,029 ‎หรือเรียกว่าตั้งโปรแกรมให้มันทำได้ 82 00:03:57,780 --> 00:04:00,908 ‎เขาจึงนำเสนอเครื่องจักรที่เขาเรียกว่า ‎"เครื่องวิเคราะห์คำนวณ" 83 00:04:01,242 --> 00:04:04,662 ‎ไอเดียของแบบเบจจะทำให้ ‎ประวัติศาสตร์จารึกชื่อของเขาไว้ 84 00:04:05,037 --> 00:04:10,167 ‎แบบเบจประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ตัวแรกๆ 85 00:04:10,710 --> 00:04:13,879 ‎เขาเป็นนักประดิษฐ์ชาวอังกฤษสุดเพี้ยน 86 00:04:14,046 --> 00:04:16,382 ‎แบบเบจมีความคิดว่าอยากให้มันทำงานยังไง 87 00:04:16,966 --> 00:04:19,593 ‎เขาเก็บสำเนาภาพนี้โดยแขวนไว้ในบ้านตัวเอง 88 00:04:20,219 --> 00:04:23,347 ‎เครื่องวิเคราะห์คำนวณของแบบเบจ ‎ก็เหมือนกับเครื่องทอผ้าของแจคการ์ด 89 00:04:23,431 --> 00:04:25,391 ‎ตรงที่มีส่วนที่จับต้องได้เป็น "ฮาร์ดแวร์" 90 00:04:25,599 --> 00:04:27,101 ‎และเช่นเดียวกับเครื่องทอผ้า 91 00:04:27,184 --> 00:04:31,272 ‎เราใส่คำสั่งลงไปในฮาร์ดแวร์ได้ ‎ในรูปของบัตรข้อมูลเจาะรู 92 00:04:31,689 --> 00:04:33,065 ‎รูซึ่งให้เข็มตอกเข้าไป 93 00:04:33,149 --> 00:04:36,193 ‎ส่วนที่ไม่มีรูจะดันเข็มตัวอื่นๆ ไปด้านหลัง 94 00:04:36,652 --> 00:04:38,988 ‎เกิดวงจรการคำนวณโดยเครื่องจักร 95 00:04:39,864 --> 00:04:41,324 ‎บัตรที่มีรูแตกต่างกันนี้ 96 00:04:41,615 --> 00:04:42,825 ‎คือซอฟต์แวร์ 97 00:04:43,701 --> 00:04:46,203 ‎แบบเบจไม่เคยทำ ‎เครื่องวิเคราะห์คำนวณจนแล้วเสร็จ 98 00:04:46,579 --> 00:04:50,416 ‎แต่หญิงสาวที่ทำงานร่วมกับเขา ‎เห็นศักยภาพของมันที่จะเปลี่ยนโลกได้ 99 00:04:50,666 --> 00:04:52,126 ‎ไปไกลเกินกว่าแค่คิดเลข 100 00:04:52,668 --> 00:04:55,671 ‎เอด้า ไบรอน เคาท์เตสแห่งเลิฟเลสบันทึกไว้ 101 00:04:56,005 --> 00:04:59,675 ‎"มันล่วงเลยขอบเขตของเลขคณิตไปแล้ว 102 00:04:59,759 --> 00:05:02,011 ‎เมื่อเกิดแนวคิดของการใช้บัตรข้อมูล" 103 00:05:02,261 --> 00:05:04,221 ‎เอด้าเห็นสิ่งเดียวกับแจคการ์ด 104 00:05:04,347 --> 00:05:06,891 ‎รูอาจแทนได้มากกว่าแค่ตัวเลข 105 00:05:07,058 --> 00:05:08,267 ‎มันอาจเป็นลวดลาย 106 00:05:08,392 --> 00:05:09,310 ‎ดนตรี 107 00:05:10,644 --> 00:05:12,271 ‎หรือข้อความทั้งประโยค 108 00:05:12,772 --> 00:05:14,982 ‎คิดว่ามันเหมือนกับรหัสมอร์สก็ได้ 109 00:05:15,274 --> 00:05:19,987 ‎รหัสมอร์สแต่ละตัวอักษร ‎แทนชุดสัญญาณเพียงสองชุดเท่านั้น 110 00:05:20,071 --> 00:05:21,739 ‎... หรือ --- 111 00:05:21,906 --> 00:05:22,865 ‎เป็นทวิภาค 112 00:05:23,324 --> 00:05:26,452 ‎เราใช้เสียงปี๊บๆ นั้นพูดอะไรกันก็ได้ 113 00:05:26,952 --> 00:05:30,790 ‎เช่น สัญญาณขอความช่วยเหลือ ‎ที่เรือไททานิคส่งออกไปในปี 1912 114 00:05:31,457 --> 00:05:34,502 ‎"เอสโอเอส" ไม่ได้ย่อมาจากอะไรทั้งนั้น 115 00:05:34,710 --> 00:05:37,880 ‎ก็แค่วิธีส่งรหัสมอร์สที่ง่ายมากจนน่าทึ่ง 116 00:05:38,089 --> 00:05:42,885 ‎ลองคิดว่าเราสามารถแทนตัวอักษรทุกตัว ‎เท่าๆ กันด้วยส่วนผสมคู่หนึ่ง 117 00:05:42,968 --> 00:05:44,512 ‎แทนด้วยศูนย์กับหนึ่ง 118 00:05:44,637 --> 00:05:45,930 ‎ดูคุ้นๆ ไหมคะ 119 00:05:46,138 --> 00:05:47,640 ‎นี่คือรหัสไบนารี 120 00:05:47,848 --> 00:05:51,769 ‎เราใช้วิธีนี้เชื่อมโยงภาษาเครื่องจักร ‎กับมนุษย์เข้าด้วยกัน 121 00:05:51,894 --> 00:05:55,773 ‎หนึ่งและศูนย์แต่ละตัวคือ ‎เลขฐานสอง หรือ "บิท" 122 00:05:55,940 --> 00:05:58,359 ‎พวกมันคืออะตอมของคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ 123 00:05:58,484 --> 00:06:00,236 ‎คุณอาจรู้จักมันในอีกชื่อ 124 00:06:00,653 --> 00:06:02,613 ‎แปดบิทเป็นหนึ่งไบต์ 125 00:06:03,239 --> 00:06:07,576 ‎แล้วรู้ไหมว่าภาพบนคอมพิวเตอร์ ‎ที่มีขนาด 1.1 เมกะไบต์น่ะ 126 00:06:08,160 --> 00:06:11,956 ‎นั่นเท่ากับศูนย์และหนึ่ง ‎จำนวนแปดล้านแปดแสนตัว 127 00:06:12,373 --> 00:06:16,919 ‎เหมือนที่รหัสมอร์สใช้จุดกับขีด ‎แทนวิธีเขียน --- และ ... 128 00:06:17,002 --> 00:06:20,297 ‎รหัสไบนารีที่ใช้เลขฐานสอง ‎ก็เป็นวิธีเขียน 129 00:06:20,423 --> 00:06:22,508 ‎สิ่งที่เกิดขึ้นในคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ 130 00:06:23,217 --> 00:06:24,802 ‎ชาร์จหรือไม่ชาร์จ 131 00:06:25,511 --> 00:06:27,346 ‎นี่คือวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายๆ 132 00:06:27,763 --> 00:06:30,599 ‎ลองนึกภาพวงจรเหล่านี้นับล้านๆ วงจร ‎ทำงานพร้อมกันหมด 133 00:06:31,016 --> 00:06:32,476 ‎นั่นแหละค่ะ คอมพิวเตอร์ปัจจุบัน 134 00:06:33,018 --> 00:06:35,271 ‎ในวงจรไฟฟ้าหนึ่งวงจร นี่คือหนึ่งบิท 135 00:06:35,604 --> 00:06:37,857 ‎ถ้าไฟดับ ศูนย์ 136 00:06:38,107 --> 00:06:39,567 ‎ไฟติด หนึ่ง 137 00:06:40,067 --> 00:06:42,069 ‎คอมพิวเตอร์เข้าใจแค่ไฟฟ้า 138 00:06:42,278 --> 00:06:44,947 ‎ดังนั้น สิ่งที่คนเขียนโค้ดทำกับคอมพิวเตอร์ 139 00:06:45,489 --> 00:06:46,323 ‎สุดท้ายแล้ว 140 00:06:46,449 --> 00:06:49,368 ‎ก็แค่การปิดหรือเปิดชาร์จหนึ่งชุด 141 00:06:49,702 --> 00:06:53,205 ‎ทั้งหมดนี้ใช้การได้เพราะถ้ารวมกันอย่างถูกวิธี 142 00:06:53,414 --> 00:06:56,041 ‎ชาร์จพวกนี้เป็นตัวแทนของตรรกะ 143 00:06:56,625 --> 00:07:00,754 ‎โดยหลักแล้ว ตรรกะคือชุดข้อเท็จจริง ‎หรือเหตุการณ์ที่คาดเดาได้หนึ่งชุด 144 00:07:01,255 --> 00:07:03,048 ‎เช่น การปิดสวิตช์นี้ 145 00:07:04,467 --> 00:07:07,052 ‎และทำให้กริ่งตัวนี้ดัง 146 00:07:09,054 --> 00:07:12,516 ‎ที่จริง ชาวคอมพิวเตอร์เรียกมันว่า ‎"วงจรตรรกะ" 147 00:07:13,476 --> 00:07:15,644 ‎หรือ ลอจิคเกท 148 00:07:15,769 --> 00:07:18,439 ‎มาดูกันว่าผมจะทำได้โดยที่ไม่ทำโต๊ะ ‎ไหม้เป็นรูหรือเปล่า 149 00:07:18,522 --> 00:07:21,567 ‎ในกรณีเกท "และ" วงจรต้องปิดทั้งสองวงจร 150 00:07:21,650 --> 00:07:22,818 ‎เพื่อให้ไฟติด 151 00:07:23,235 --> 00:07:24,695 ‎ส่วนนี่คือเกท "หรือ" 152 00:07:24,778 --> 00:07:28,199 ‎ซึ่งไฟจะติด ‎ถ้าหากวงจรใดวงจรหนึ่งครบรอบ 153 00:07:28,365 --> 00:07:29,700 ‎อธิบายแบบนี้ก็ได้ 154 00:07:29,909 --> 00:07:34,371 ‎ถ้าวงจรใดวงจรหนึ่งครบรอบ ‎ให้ไฟติด 155 00:07:34,497 --> 00:07:36,916 ‎คำสั่งในรูปแบบของ "ถ้า... ให้" 156 00:07:36,999 --> 00:07:38,083 ‎นั่นคืออัลกอริทึม 157 00:07:38,292 --> 00:07:42,505 ‎ในป๊อปคัลเจอร์ทุกวันนี้ คำว่าอัลกอริทึม ‎สร้างความสับสนอย่างมาก 158 00:07:42,755 --> 00:07:45,925 ‎เราเคยเจอเวลาที่อัลกอริทึมรวนมาแล้ว! 159 00:07:46,008 --> 00:07:49,094 ‎การทำงานของอัลกอริทึมเป็นเรื่องลึกลับ ‎สำหรับคนส่วนมาก 160 00:07:49,178 --> 00:07:51,847 ‎อัลกอริทึมคืออะไรกันแน่ 161 00:07:51,972 --> 00:07:54,892 ‎แต่อัลกอริทึมแท้จริงแล้วเป็นเพียง ‎ขั้นตอนวิธีชุดหนึ่ง 162 00:07:55,184 --> 00:07:56,644 ‎ลองนึกภาพเดินเข้าไปในร้าน 163 00:07:56,894 --> 00:07:59,522 ‎เราจะเลือกไปซ้ายแล้วค่อยไปขวา 164 00:07:59,647 --> 00:08:02,525 ‎หรือจะเลือกไปขวาแล้วค่อยเลี้ยวซ้าย 165 00:08:02,900 --> 00:08:04,985 ‎หรือเราจะเลี้ยวซ้ายสี่ครั้ง 166 00:08:05,069 --> 00:08:06,111 ‎วิ่งรอบสวน 167 00:08:06,195 --> 00:08:07,029 ‎ข้ามทางหลวง 168 00:08:07,112 --> 00:08:09,031 ‎แล้วค่อยเลี้ยวขวาอีกสี่ครั้ง 169 00:08:09,365 --> 00:08:12,076 ‎มีหลากหลายวิธีที่จะไปให้ถึงจุดหมายเดียวกัน 170 00:08:12,159 --> 00:08:14,578 ‎การเขียนโค้ดก็อาจมีอัลกอริทึม ‎มากมายหลายรูปแบบ 171 00:08:14,662 --> 00:08:15,996 ‎เพื่อแก้ปัญหาเดียวกัน 172 00:08:16,372 --> 00:08:20,042 ‎เป้าหมายคือการหาวิธีที่ลงตัว ‎และมีประสิทธิภาพที่สุด 173 00:08:20,459 --> 00:08:22,795 ‎โค้ดที่สวยงามจะไม่ซ้ำ 174 00:08:22,920 --> 00:08:24,922 ‎มันจะลงตัวงดงามมาก มันทรงพลัง 175 00:08:25,631 --> 00:08:28,926 ‎คอมพิวเตอร์ทำงานกับอัลกอริทึม ‎ตามที่เราสั่งให้มันทำ 176 00:08:29,134 --> 00:08:30,844 ‎แต่ทำได้ไวกว่ามาก 177 00:08:31,136 --> 00:08:33,764 ‎ซึ่งนั่นทำให้มนุษย์ทรงพลังขึ้นมาก 178 00:08:34,223 --> 00:08:37,601 ‎ตอนที่นักวิทยาศาสตร์เริ่มพัฒนาระเบิดฟิวชัน 179 00:08:38,018 --> 00:08:40,437 ‎พวกเขาใช้คอมพิวเตอร์มนุษย์เป็นหลัก 180 00:08:40,896 --> 00:08:42,815 ‎แต่แล้วก็เปลี่ยนมาใช้สิ่งนี้ 181 00:08:43,315 --> 00:08:47,152 ‎คอมพิวเตอร์อินิแอค ‎คำนวณการยิงและวิถีกระสุนอยู่ถึงหกสัปดาห์ 182 00:08:47,903 --> 00:08:50,197 ‎ผลของมันมีส่วนทำให้เกิดเรื่องนี้โดยตรง 183 00:08:51,323 --> 00:08:53,659 ‎การทดสอบที่เป็นผลสำเร็จครั้งแรกในปี 1952 184 00:08:54,076 --> 00:08:57,580 ‎ของระเบิดที่รุนแรง ‎กว่าระเบิดนิวเคลียร์ฟิชชันหลายร้อยเท่า 185 00:08:57,663 --> 00:09:00,708 ‎ซึ่งถูกทิ้งใส่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ‎ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 186 00:09:01,500 --> 00:09:04,920 ‎อำนาจของการเขียนโค้ด ‎เพิ่มพลังความสามารถของมนุษย์ 187 00:09:05,421 --> 00:09:06,672 ‎กับสิ่งที่พวกเราเลือกทำ 188 00:09:07,590 --> 00:09:11,135 ‎แต่ในยุค 1940 มันยังต้องพัฒนาอีกมาก 189 00:09:11,468 --> 00:09:16,056 ‎การเขียนโปรแกรม ‎ด้วยเลขศูนย์กับหนึ่งมันไม่ไปถึงไหน 190 00:09:16,223 --> 00:09:19,018 ‎คนต้องการอำนาจ ‎ที่ได้จากการเขียนโค้ดมากกว่านั้น 191 00:09:19,310 --> 00:09:21,520 ‎แต่ก็ต้องการวิธีเขียนโค้ดที่ง่ายขึ้นด้วย 192 00:09:22,438 --> 00:09:27,776 ‎นับแต่นั้นมา เรื่องราวการเขียนโค้ด ‎จึงเป็นเรื่องของการทำให้โค้ดใกล้เคียง 193 00:09:27,860 --> 00:09:29,069 ‎กับภาษามนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ 194 00:09:29,403 --> 00:09:32,990 ‎ด้วยการคิดค้นภาษาที่นักเขียนโค้ด ‎ใช้กันทุกวันนี้ 195 00:09:33,115 --> 00:09:34,617 ‎ภาษาโปรแกรม 196 00:09:35,200 --> 00:09:38,996 ‎เทียบกับศูนย์และหนึ่ง ‎ภาษาเหล่านี้ค่อนข้างแอ็บสแตรค 197 00:09:39,580 --> 00:09:41,457 ‎แอ็บสแตรคเป็นคำที่ยากสำหรับคนเรา 198 00:09:42,249 --> 00:09:45,669 ‎มีภาษาแอ็บสแตรคที่สุดท้ายก็เกิดจาก ‎เลขศูนย์กับหนึ่งมากขึ้น 199 00:09:45,794 --> 00:09:48,213 ‎เราก็แค่พบวิธีจัดระเบียบมันที่ดีกว่าเดิม 200 00:09:48,881 --> 00:09:50,966 ‎ลองคิดถึงมันในแง่ของชีววิทยา 201 00:09:51,550 --> 00:09:53,135 ‎มนุษย์นั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง 202 00:09:53,218 --> 00:09:56,972 ‎แต่ร้อยละ 99 ของร่างกายเราประกอบด้วย ‎องค์ประกอบหลักแค่หกอย่าง 203 00:09:57,348 --> 00:10:00,184 ‎เราค่อยหาทางต่อไป ‎จนถึงระดับโมเลกุลใหญ่ๆ ก็ได้ 204 00:10:00,267 --> 00:10:02,811 ‎แต่ระยะห่างระหว่างชั้นของระบบนั้น 205 00:10:02,895 --> 00:10:04,730 ‎กับสิ่งมีชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด 206 00:10:04,813 --> 00:10:06,023 ‎เป็นก้าวกระโดดที่ไกลมาก 207 00:10:06,357 --> 00:10:07,608 ‎และมนุษย์มีสมอง 208 00:10:07,691 --> 00:10:09,568 ‎ซึ่งทำเรื่องที่พัฒนาก้าวไกลมาก 209 00:10:09,652 --> 00:10:12,488 ‎จนยากจะเชื่อว่าทำมาจากองค์ประกอบเดียวกัน 210 00:10:12,946 --> 00:10:16,784 ‎คอมพิวเตอร์ก็คล้ายๆ อย่างนั้น แต่ง่ายกว่ามาก 211 00:10:17,951 --> 00:10:18,952 ‎เพราะงั้นจึงเป็นข่าวดี 212 00:10:19,578 --> 00:10:22,915 ‎เรื่องราวของการเขียนโค้ดคือ ‎การขยับขั้นนี้ 213 00:10:23,165 --> 00:10:25,250 ‎ให้ห่างจากเลขฐานสองเพื่อทำให้เรา 214 00:10:25,334 --> 00:10:28,837 ‎เขียนโค้ดได้ง่ายขึ้น ไวขึ้น และทรงพลังขึ้น 215 00:10:29,088 --> 00:10:32,049 ‎โดยไม่ต้องรับมือหรือแม้แต่ต้องเข้าใจ 216 00:10:32,466 --> 00:10:34,718 ‎เลขฐานสองหรือลอจิคเกทที่อยู่ภายใต้นั้น 217 00:10:35,344 --> 00:10:38,889 ‎นั่นทำให้นักเขียนโค้ดสร้างผลิตภัณฑ์ ‎ที่เราทุกคนคุ้นเคย 218 00:10:39,306 --> 00:10:41,308 ‎ขั้นแรกในการไปถึงจุดนั้นคือ... 219 00:10:41,850 --> 00:10:45,813 ‎"ภาษาแอสเซมบลี" ที่อ่านและเขียนง่ายขึ้น 220 00:10:46,188 --> 00:10:49,608 ‎แทนที่จะต้องเขียน 0-1-0-0-0-1-1-1 221 00:10:49,858 --> 00:10:51,318 ‎ก็เรียกมันว่า "แอด" แทน 222 00:10:51,694 --> 00:10:58,200 ‎แล้วก็ให้โปรแกรมที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์ ‎มาแปลงตัวอักษร 223 00:10:58,283 --> 00:11:03,455 ‎เอ-ดี-ดี เทียบเท่าศูนย์กับหนึ่งอย่างเหมาะสม 224 00:11:03,580 --> 00:11:07,292 ‎ในขั้นนี้ ไบนารีถูกจัดเข้าเป็นตัวอักษรและตัวเลข 225 00:11:07,626 --> 00:11:10,379 ‎เหมือนอะตอมที่ถูกจัดเข้าเป็นโมเลกุล 226 00:11:10,921 --> 00:11:15,217 ‎แต่การเขียนโค้ดในภาษาแอสเซมบลี ‎ก็ยังไม่ง่ายเสียทีเดียว 227 00:11:15,843 --> 00:11:19,513 ‎เพราะคอมพิวเตอร์ทั้งหมดนี้ ‎ใช้ภาษาแอสเซมบลีต่างกัน 228 00:11:20,097 --> 00:11:24,810 ‎ถ้าเขียนโปรแกรมสำหรับคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ‎เราจะใช้มันกับตัวอื่นๆ ไม่ได้ 229 00:11:25,102 --> 00:11:27,187 ‎ในไม่ช้า คนก็เริ่มคิดว่า 230 00:11:27,271 --> 00:11:29,440 ‎จริงๆ แล้วเราอยากให้คอมพิวเตอร์ 231 00:11:29,523 --> 00:11:32,818 ‎ใช้สิ่งเดียวกับที่เราใช้อยู่ทุกวัน 232 00:11:33,193 --> 00:11:35,863 ‎เรามีภาษาโปรแกรม 233 00:11:35,946 --> 00:11:39,825 ‎ซึ่งสร้างโดยใช้ภาษาแอสเซมบลี 234 00:11:39,950 --> 00:11:42,953 ‎แล้วเราก็สร้างภาษาโปรแกรม ‎จากภาษาโปรแกรมเพิ่มอีก 235 00:11:43,370 --> 00:11:44,955 ‎คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อพวกนี้ 236 00:11:45,038 --> 00:11:45,914 ‎- ภาษาลิสป์ ‎- เบสิค 237 00:11:45,998 --> 00:11:47,207 ‎- จาวา ‎- ซีพลัสพลัส 238 00:11:47,291 --> 00:11:49,042 ‎- ไพธอนสาม ‎- เอชทีเอ็มแอลห้า 239 00:11:49,126 --> 00:11:51,044 ‎เพิร์ล พีเอชพี ภาษาซีอีกนิดหน่อย 240 00:11:51,128 --> 00:11:53,756 ‎เหมือนที่ภาษาพูดเองก็มีวิธีต่างๆ 241 00:11:53,839 --> 00:11:56,717 ‎ในการสื่อสารความคิดให้คนอื่นเข้าใจ 242 00:11:57,050 --> 00:12:00,012 ‎ภาษาโปรแกรมก็เป็นวิธีต่างๆ ในการสื่อสาร 243 00:12:00,137 --> 00:12:01,972 ‎ความคิดเดียวกันให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ 244 00:12:02,347 --> 00:12:05,058 ‎เรามีภาษาโปรแกรมระดับสูงมากกว่าหนึ่งภาษา 245 00:12:05,142 --> 00:12:07,936 ‎ก่อนอื่นเลย เป็นเพราะแต่ละภาษา 246 00:12:08,020 --> 00:12:10,105 ‎มีไว้เพื่อความจำเป็นที่ต่างกัน 247 00:12:10,731 --> 00:12:12,024 ‎ดูจากสองภาษานี้ 248 00:12:12,191 --> 00:12:15,944 ‎นี่คือภาษาโคบอล ‎สร้างขึ้นช่วงปลายยุค 1950 249 00:12:16,028 --> 00:12:18,906 ‎เพื่อให้ง่ายต่อการใช้โค้ดทำธุรกิจ 250 00:12:19,239 --> 00:12:23,410 ‎หน้าตาเหมือนภาษาอังกฤษมาก ‎ยกเว้นแต่เพียงทุกบทสทนา 251 00:12:23,494 --> 00:12:25,579 ‎จบด้วย "สต็อป รัน" 252 00:12:26,497 --> 00:12:32,753 ‎นี่คือซีพีแอล พัฒนาขึ้นในยุค 1960 ‎และรวมวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เข้าไปมากขึ้น 253 00:12:33,212 --> 00:12:35,297 ‎ก็เหมือนวิวัฒนาการทางชีวภาพ 254 00:12:35,631 --> 00:12:38,425 ‎เมื่อสิ่งมีชีวิตซับซ้อนขึ้น ‎เราก็พัฒนาโครงสร้างหน้าตา 255 00:12:38,509 --> 00:12:41,637 ‎เพื่อปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเฉพาะถิ่นได้ดีขึ้น 256 00:12:42,012 --> 00:12:45,933 ‎พูดตรงๆ นะครับ มันเป็นเรื่องของรสนิยมด้วย 257 00:12:46,558 --> 00:12:50,521 ‎คนเรามีเครื่องมือในการแสดงออกที่ไม่เหมือนกัน 258 00:12:50,604 --> 00:12:53,774 ‎ตัวอย่างเช่น ภาษาซีพลัสพลัส 259 00:12:53,857 --> 00:12:56,068 ‎อีลอน มัสก์ไม่ปลื้ม 260 00:12:56,360 --> 00:12:57,611 ‎คุณก็สร้างภาษาเองได้ 261 00:12:58,028 --> 00:13:02,533 ‎นี่คือภาษาระดับสูงของจริง ‎ที่ทั้งหมดทำจากคำว่า "มู" 262 00:13:02,950 --> 00:13:04,910 ‎จริงจังนะ เรียกว่าคาว หรือภาษาวัว 263 00:13:05,285 --> 00:13:08,956 ‎ภาษานี้ทำจากคำพูดที่ ‎อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์เคยพูดในหนัง 264 00:13:09,164 --> 00:13:13,252 ‎ทุกครั้งที่ผมคิดว่า ‎"เอาละ ป่านนี้คงพอกันแล้วมั้ง" 265 00:13:13,335 --> 00:13:20,050 ‎ก็จะมีใครสักคนคิดภาษาใหม่ ‎จนเกิดมีกลุ่มแฟนๆ ที่ชื่นชอบใช้มัน 266 00:13:20,175 --> 00:13:24,888 ‎ผมจึงยังมองไม่เห็น ‎จุดสิ้นสุดของการประดิษฐ์ภาษาใหม่เลย 267 00:13:25,472 --> 00:13:29,017 ‎และภาษาทั้งหมดนี้ยังคงมีพื้นฐานจากตรรกศาสตร์ 268 00:13:29,393 --> 00:13:32,312 ‎ตัวอย่างเช่น ‎คนเขียนโค้ดของ NETFLIX อาจบอกว่า 269 00:13:32,396 --> 00:13:35,899 ‎"ถ้าดูติดต่อกันนานเกินสองชั่วโมง 270 00:13:36,024 --> 00:13:37,150 ‎ให้หน้าจอขึ้นภาพนี้" 271 00:13:37,609 --> 00:13:40,195 ‎แต่การจะให้โค้ดส่งผลต่อชีวิตคนส่วนใหญ่ 272 00:13:40,279 --> 00:13:42,531 ‎คนส่วนใหญ่ก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์ 273 00:13:42,739 --> 00:13:44,658 ‎ซึ่งแปลว่าคอมพิวเตอร์ต้องใช้ง่ายกว่านี้ 274 00:13:44,783 --> 00:13:46,076 ‎เป็นมิตรกว่านี้ 275 00:13:46,159 --> 00:13:48,370 ‎นั่นจำเป็นต้องพัฒนากันไปอีกก้าวใหญ่ 276 00:13:48,912 --> 00:13:50,497 ‎และมันเริ่มจากตรงนี้ 277 00:13:50,747 --> 00:13:54,334 ‎ในตัวอย่างที่จัดทำโดย ‎ดั๊ก เองเกิลบาร์ทในปี 1968 278 00:13:54,459 --> 00:13:56,587 ‎อีกสักครู่ เราจะได้เห็นหน้าจอที่เขาใช้ 279 00:13:56,712 --> 00:13:58,547 ‎และการเคลื่อนไหวของจุดไล่ตาม 280 00:13:58,630 --> 00:14:01,425 ‎ที่เกิดพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเมาส์ 281 00:14:02,050 --> 00:14:06,346 ‎คนสมัยนี้ไม่เขียนโปรแกรม ‎ด้วยการเขียนคำสั่ง 282 00:14:06,430 --> 00:14:10,309 ‎บนกระดาษแล้วส่งให้คนอื่น 283 00:14:10,392 --> 00:14:11,476 ‎พิมพ์ลงไป 284 00:14:11,560 --> 00:14:15,105 ‎เรานั่งหน้าจอ เรามีภาพประสานกับผู้ใช้ 285 00:14:15,355 --> 00:14:17,566 ‎ปัจจุบันเราเรียกว่าจียูไอ 286 00:14:18,025 --> 00:14:21,111 ‎เราสามารถเขียนโค้ดโดยใช้จียูไอ ‎และไม่ต้องพิมพ์เลย 287 00:14:22,487 --> 00:14:24,907 ‎หรือใช้โค้ดได้ง่ายขึ้นมาก 288 00:14:25,240 --> 00:14:29,661 ‎เราก็แค่ทำงานในสภาพแวดล้อมของโปรแกรม 289 00:14:30,287 --> 00:14:34,958 ‎แบบที่อลันและผองเพื่อน 290 00:14:35,042 --> 00:14:36,501 ‎สร้างไว้อย่างงดงาม 291 00:14:36,585 --> 00:14:40,464 ‎ที่ศูนย์วิจัยซีรอกซ์ พาโล อัลโต ‎ในช่วงต้นยุค 1970 292 00:14:40,714 --> 00:14:41,548 ‎"อลัน" 293 00:14:41,715 --> 00:14:42,633 ‎อลันคนนี้ 294 00:14:42,883 --> 00:14:46,053 ‎ผมมองว่าเขาเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล 295 00:14:46,136 --> 00:14:50,265 ‎เพราะเขาเป็นคนแรกที่ทำให้วิสัยทัศน์นั้นชัดเจน 296 00:14:50,515 --> 00:14:54,353 ‎ผมต้องขอสารภาพนะ ตอนนั้น ‎ผมนึกว่ามันเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ 297 00:14:54,436 --> 00:14:56,605 ‎เวลาเราทำเรื่องใหญ่โตได้สำเร็จจริงๆ 298 00:14:58,106 --> 00:14:59,608 ‎มักต้องอาศัยคนทั้งหมู่บ้านช่วยกัน 299 00:14:59,816 --> 00:15:02,110 ‎โอ้โห แล้วพาร์คก็เก่งกาจมาก 300 00:15:02,653 --> 00:15:04,196 ‎อย่างกับเวทมนตร์ 301 00:15:04,780 --> 00:15:08,450 ‎จียูไอทำให้คนหลายล้านคน 302 00:15:08,533 --> 00:15:12,871 ‎ใช้คอมพิวเตอร์ในแบบที่ ‎เป็นธรรมชาติสำหรับพวกเขา 303 00:15:13,580 --> 00:15:16,750 ‎ตอนที่ซีร็อกซ์โฆษณาจียูไอครั้งแรกในปี 1979 304 00:15:16,833 --> 00:15:20,170 ‎พวกเขาทำให้เห็นว่า ‎โค้ดอาจเปลี่ยนชีวิตประจำวันได้ยังไง 305 00:15:20,462 --> 00:15:22,923 ‎คุณเข้าไปยังที่ทำงาน แล้วเครื่องซีร็อกซ์ 306 00:15:23,006 --> 00:15:25,008 ‎แสดงจดหมายยามเช้าของคุณบนหน้าจอ 307 00:15:25,092 --> 00:15:27,344 ‎ในไม่ช้า ระบบซีร็อกซ์แบบนี้ 308 00:15:27,427 --> 00:15:29,721 ‎จะช่วยให้คุณจัดการทรัพยากรสุดล้ำค่าของคุณ 309 00:15:30,472 --> 00:15:31,431 ‎ข้อมูล 310 00:15:31,848 --> 00:15:34,893 ‎มีหลายคนที่เป็นอย่างผม และมีคนมากมาย 311 00:15:34,977 --> 00:15:36,603 ‎ในชุมชนวิจัยแห่งนี้ 312 00:15:36,687 --> 00:15:38,105 ‎ที่อยากทำให้โลกนี้ดีขึ้น 313 00:15:38,188 --> 00:15:41,733 ‎พวกเขามีความคิดที่ผูกพันลึกซึ้ง 314 00:15:41,858 --> 00:15:43,026 ‎ต่อการส่งเสริมมนุษย์ 315 00:15:43,610 --> 00:15:46,196 ‎สิ่งที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเรา 316 00:15:46,697 --> 00:15:47,864 ‎กับสาธารณชน 317 00:15:48,198 --> 00:15:50,784 ‎กับคนธรรมดา และทำให้เราสามารถ 318 00:15:50,867 --> 00:15:53,245 ‎ทำได้มากกว่าที่เคยทำในอดีต 319 00:15:53,662 --> 00:15:56,039 ‎มันทำให้เราทำได้มากขึ้นจริงๆ 320 00:15:56,331 --> 00:15:58,875 ‎จียูไอเป็นพัฒนาการก้าวใหญ่ของสเปคตรัม 321 00:15:59,501 --> 00:16:03,630 ‎แล้วก็ตามมาด้วยนวัตกรรมพลิกโลกชิ้นถัดไป 322 00:16:05,382 --> 00:16:07,467 ‎วิธีกระจายทุกอย่าง 323 00:16:07,551 --> 00:16:09,177 ‎ซึ่งเราทำได้ด้วยการใช้โค้ด 324 00:16:10,137 --> 00:16:12,848 ‎ทางโทรทัศน์ คนเริ่มคาดเดาว่า ‎การที่จู่ๆ ก็ได้เข้าถึง 325 00:16:12,931 --> 00:16:14,433 ‎โค้ดเหล่านี้ จะมีความหมายยังไง 326 00:16:14,808 --> 00:16:17,519 ‎ลองจินตนาการว่า ‎คุณนั่งลงพร้อมกาแฟยามเช้า 327 00:16:17,602 --> 00:16:20,439 ‎เปิดคอมพิวเตอร์บ้านเพื่ออ่านหนังสือพิมพ์รายวัน 328 00:16:20,522 --> 00:16:24,985 ‎จินตนาการโลกที่คำทุกคำที่เคยเขียน ‎ภาพวาดทุกภาพ 329 00:16:25,068 --> 00:16:28,697 ‎ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่มีมา ‎สามารถรับชมที่บ้านของคุณได้ทันที 330 00:16:28,780 --> 00:16:33,744 ‎ผมว่าเรากำลังอยู่ในจุดที่ ‎ทั้งน่าปลาบปลื้มยินดีและน่าสะพรึงกลัว 331 00:16:33,827 --> 00:16:35,287 ‎แต่มันเป็นแค่เครื่องมือไม่ใช่เหรอ 332 00:16:35,370 --> 00:16:36,204 ‎ไม่ใช่เลย 333 00:16:36,288 --> 00:16:40,667 ‎ซอฟต์แวร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในปัจจุบัน ‎ใช้นวัตกรรมเหล่านี้ทั้งหมด 334 00:16:40,751 --> 00:16:44,671 ‎นักศึกษารายหนึ่งใช้พีเอชพี ‎ภาษาโปรแกรมระดับสูง 335 00:16:44,755 --> 00:16:47,632 ‎เพื่อสร้างสิ่งที่แชร์กันได้ทางอินเทอร์เน็ต 336 00:16:47,716 --> 00:16:49,760 ‎เพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ที่มีจียูไอ 337 00:16:50,093 --> 00:16:53,680 ‎เขาอธิบายไว้ในการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ‎ครั้งแรกในปี 2004 338 00:16:53,972 --> 00:16:56,433 ‎มันเป็นสารบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงผู้คน 339 00:16:56,516 --> 00:16:57,976 ‎ผ่านมหาวิทยาลัยและโรงเรียน 340 00:16:58,060 --> 00:16:59,478 ‎ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กของพวกเขาที่นั่น 341 00:16:59,561 --> 00:17:02,731 ‎ตอนนี้เรามีผู้ใช้ 100,000 ราย ‎เพราะงั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง 342 00:17:02,814 --> 00:17:07,027 ‎ต่อมามีคนมากกว่าสองล้านคน 343 00:17:07,152 --> 00:17:08,361 ‎ใช้เฟซบุ๊กในแต่ละเดือน 344 00:17:08,695 --> 00:17:11,656 ‎ปัจจุบัน นักเขียนโค้ด ‎ปรับเปลี่ยนชีวิตคนนับพันล้านชีวิตจริงๆ 345 00:17:11,907 --> 00:17:15,869 ‎เปลี่ยนการทำงาน จับจ่ายใช้สอย กินอาหาร ‎หาคู่ และนอนดู NETFLIX ที่บ้าน 346 00:17:16,203 --> 00:17:17,537 ‎ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ครับ 347 00:17:17,621 --> 00:17:21,208 ‎คุณกำลังดูผมผ่านเว็บเบราเซอร์ที่เปิด NETFLIX 348 00:17:23,376 --> 00:17:27,255 ‎ดังนั้น NETFLIX เองก็เป็นโค้ด ‎และทำงานบนเว็บเบราเซอร์ 349 00:17:27,339 --> 00:17:28,215 ‎นั่นแหละครับโค้ด 350 00:17:28,507 --> 00:17:33,804 ‎ทำงานบนคอมพิวเตอร์ที่ใช้โค้ดออกแบบ 351 00:17:34,054 --> 00:17:35,680 ‎เหมือนซ้อนทับกันลงไปถึงราก 352 00:17:37,599 --> 00:17:40,519 ‎โค้ดที่ดีก็เหมือนสถาปนิกของพิพิธภัณฑ์ 353 00:17:41,311 --> 00:17:43,355 ‎ที่หลายล้านคนคิดถึง 354 00:17:43,480 --> 00:17:45,857 ‎และไปเดินเล่น และใช้งานทุกวัน 355 00:17:46,191 --> 00:17:49,569 ‎ผมว่าเขียนโค้ดนี่ไม่มีอะไรเทียบได้เลย ‎เพราะรู้สึกเหมือนเป็นการสร้างแท้ๆ 356 00:17:49,653 --> 00:17:51,863 ‎เรามีไอเดียว่ามันควรทำงานยังไง 357 00:17:52,364 --> 00:17:56,201 ‎แล้วก็นั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ 358 00:17:56,284 --> 00:17:58,078 ‎เพื่อทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา 359 00:17:58,161 --> 00:18:01,039 ‎ผมว่าหน้าที่นั้นต้องรับผิดชอบเยอะมาก 360 00:18:01,164 --> 00:18:04,000 ‎คือเราจำกัดความเร็ว 361 00:18:04,167 --> 00:18:05,669 ‎ห้ามเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 362 00:18:06,545 --> 00:18:07,420 ‎เอางั้นก็ได้ 363 00:18:07,712 --> 00:18:11,299 ‎แต่ถ้าเรามีรถ แล้วคอมพิวเตอร์บอกว่า 364 00:18:12,092 --> 00:18:15,053 ‎"รถคันนี้ขับได้ ‎ไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง" ล่ะ 365 00:18:15,846 --> 00:18:17,848 ‎นั่นเป็นวิธีควบคุมความประพฤติตัวเองอีกแบบ 366 00:18:18,056 --> 00:18:23,395 ‎บ่อยครั้งที่โค้ดมีอำนาจควบคุมทางเลือกของเรา 367 00:18:23,478 --> 00:18:27,941 ‎ในแบบที่ส่งผลบังคับลึกซึ้ง ‎ยิ่งกว่าที่กฎหมายหวังจะทำได้บ้าง 368 00:18:28,525 --> 00:18:30,819 ‎และนั่นอาจเป็นเรื่องที่ดี 369 00:18:30,944 --> 00:18:35,198 ‎ในสหรัฐอเมริกามีอุบัติเหตุทางถนน ‎ประมาณหกล้านครั้งทุกปี 370 00:18:35,282 --> 00:18:39,494 ‎และการวิเคราะห์ครั้งหนึ่งพบว่าร้อยละ 94 ‎เกิดจากผู้ขับขี่ 371 00:18:40,370 --> 00:18:43,165 ‎ความก้าวหน้าด้านการเขียนโค้ด ‎อาจช่วยได้หลายล้านชีวิต 372 00:18:43,665 --> 00:18:46,960 ‎แต่ก็อาจทำให้ชีวิต ‎ตกอยู่ในอันตรายรูปแบบใหม่เช่นกัน 373 00:18:47,460 --> 00:18:50,922 ‎ฉันเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ 374 00:18:51,006 --> 00:18:56,219 ‎เป็นศัพท์ทางการแพทย์ ‎เพราะฉันหัวใจโต 375 00:18:56,511 --> 00:18:58,096 ‎หัวใจฉันโตมากจริงๆ ค่ะ 376 00:18:58,180 --> 00:19:00,932 ‎ขนาดใหญ่กว่าหัวใจคนทั่วไปประมาณสามเท่า 377 00:19:01,016 --> 00:19:05,937 ‎ฉันมารู้เข้าตอนอายุเกือบ 30 ‎ดังนั้นความเสี่ยงที่จะตายกะทันหันตอนอายุ 40 378 00:19:06,021 --> 00:19:07,147 ‎ก็เป็นไปได้สูงมาก 379 00:19:07,439 --> 00:19:10,025 ‎นักสรีรวิทยาไฟฟ้าบอกว่า ‎"อ๋อ ไม่มีปัญหาเลย 380 00:19:10,108 --> 00:19:12,485 ‎เพราะคุณใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจก็ได้" 381 00:19:13,028 --> 00:19:15,030 ‎อุปกรณ์ชิ้นนี้ทำงานด้วยโค้ด 382 00:19:15,697 --> 00:19:20,243 ‎สองสามปีก่อนตอนฉันตั้งครรภ์ ‎หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ 383 00:19:20,744 --> 00:19:24,748 ‎ประมาณหนึ่งในสี่ของผู้หญิง ‎ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เป็นเรื่องปกติที่สุดค่ะ 384 00:19:25,207 --> 00:19:28,418 ‎แต่อุปกรณ์ของฉันคิดว่า ‎จังหวะที่หัวใจฉันเต้นอยู่เป็นอันตราย 385 00:19:28,501 --> 00:19:29,586 ‎แล้วมันก็ช็อตฉัน 386 00:19:29,669 --> 00:19:34,132 ‎โรงงานผลิตไม่สนใจว่าผู้หญิงท้องจะโดนไฟช็อต 387 00:19:34,216 --> 00:19:36,426 ‎พวกเขาไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นเลย 388 00:19:36,635 --> 00:19:39,262 ‎พวกเขาก็แค่ไม่ได้คิด 389 00:19:39,346 --> 00:19:42,474 ‎มีการตัดสินใจชุดใหญ่มาก 390 00:19:43,141 --> 00:19:47,395 ‎ที่คนเขียนโปรแกรมจะต้องเป็นผู้ตัดสิน 391 00:19:48,188 --> 00:19:50,690 ‎แล้วก็เลี่ยงไม่ได้ 392 00:19:51,066 --> 00:19:53,735 ‎ที่จะเกิดเหตุการณ์ปะปนหลายเรื่อง 393 00:19:53,818 --> 00:19:55,904 ‎ที่พวกเขาไม่คาดคิด 394 00:19:56,238 --> 00:19:58,198 ‎ดังนั้นสิ่งที่เราพยายามสอน 395 00:19:58,281 --> 00:20:00,450 ‎ขณะที่สอนศาสตร์ 396 00:20:00,533 --> 00:20:01,910 ‎ของการเขียนโปรแกรม 397 00:20:02,244 --> 00:20:04,496 ‎ก็คือเราต้องคิดถึง 398 00:20:04,621 --> 00:20:07,540 ‎เงื่อนไขต่างๆ ทั้งหมด 399 00:20:07,832 --> 00:20:10,168 ‎เราจะเขียนโค้ดให้ละเอียดถี่ถ้วนยังไง 400 00:20:10,293 --> 00:20:14,673 ‎โดยไม่ถูกปัจจัยจำนวนหนึ่งทำให้หยุดชะงัก 401 00:20:14,756 --> 00:20:16,091 ‎ปัจจัยซึ่งเราอาจต้องพิจารณา 402 00:20:16,174 --> 00:20:20,011 ‎เรื่องนั้นมีแต่จะเป็นจริงมากขึ้น ‎เพราะเราเริ่มเขียนโค้ด 403 00:20:20,136 --> 00:20:21,721 ‎ในรูปแบบใหม่โดยสิ้นเชิง 404 00:20:22,305 --> 00:20:25,517 ‎ในวิธีเขียนโค้ดดั้งเดิม ‎เราเขียนคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ 405 00:20:26,059 --> 00:20:28,895 ‎แต่ตอนนี้เราสามารถ ‎ใส่อินพุทมากมายลงในคอมพิวเตอร์ 406 00:20:28,979 --> 00:20:30,230 ‎รวมถึงเอาต์พุท 407 00:20:30,313 --> 00:20:33,525 ‎แล้วทำให้มันเขียนคำสั่งด้วยตัวเอง 408 00:20:33,817 --> 00:20:37,404 ‎วิธีการก็คือเราให้ตัวอย่างกับคอมพิวเตอร์ 409 00:20:38,280 --> 00:20:39,739 ‎ให้ตัวอย่างเยอะๆ เลย 410 00:20:40,073 --> 00:20:43,660 ‎แล้วกำหนดว่า "นี่งานปาร์ตี้" 411 00:20:43,785 --> 00:20:45,328 ‎แล้วเราก็ใส่เรื่องอื่นๆ ลงไป 412 00:20:45,412 --> 00:20:47,163 ‎นัดหมอฟัน ไม่ใช่ปาร์ตี้ 413 00:20:47,330 --> 00:20:48,915 ‎ห้องเรียน ไม่ใช่ปาร์ตี้ 414 00:20:49,374 --> 00:20:53,169 ‎ดังนั้นคอมพิวเตอร์ก็ดูตัวอย่างเหล่านี้ ‎และพยายามสร้าง 415 00:20:53,253 --> 00:20:55,005 ‎ระบบจัดหมวดหมู่ 416 00:20:55,255 --> 00:20:57,173 ‎นี่คือแมชชีนเลิร์นนิ่ง 417 00:20:57,257 --> 00:20:59,968 ‎ทุกวันนี้ ถ้ามีคนพูดว่าปัญญาประดิษฐ์ 418 00:21:00,552 --> 00:21:01,469 ‎เขาหมายถึงอย่างนี้เลยค่ะ 419 00:21:01,636 --> 00:21:05,390 ‎นั่นเป็นแอ็บสแตรคอีกรูปแบบหนึ่งเลย 420 00:21:05,473 --> 00:21:06,641 ‎เป็นการทำงานอีกรูปแบบ 421 00:21:06,725 --> 00:21:11,438 ‎เพราะมันไม่เข้ากับวิธีที่เราจัดเรียงสิ่งเหล่านี้ 422 00:21:11,646 --> 00:21:15,442 ‎เราเรียกมันว่าอัลกอริทึมสำหรับแมชชีนเลิร์นนิ่ง ‎เพราะคอมพิวเตอร์จะสร้าง 423 00:21:15,525 --> 00:21:17,736 ‎การหาวิธีของตัวเอง 424 00:21:18,069 --> 00:21:21,990 ‎แต่สุดท้าย แน่นอนว่ามันก็ต้องถูกแปลง 425 00:21:22,073 --> 00:21:24,451 ‎เป็นคำสั่งเล็กย่อย 426 00:21:25,201 --> 00:21:27,912 ‎กูเกิลทรานสเลทเคยใช้โค้ดมากกว่าหนึ่งล้านแถว 427 00:21:28,538 --> 00:21:32,751 ‎นั่นคือคนเขียนคำสั่งเล็กๆ นับล้านคำสั่ง 428 00:21:32,876 --> 00:21:38,256 ‎ตอนนี้กูเกิลทรานสเลทใช้โค้ด ‎ประมาณห้าร้อยแถว 429 00:21:38,465 --> 00:21:40,008 ‎ซึ่งอาศัยแมชชีนเลิร์นนิ่ง 430 00:21:40,091 --> 00:21:44,304 ‎สมมติว่าเกิดการเลินเล่อ ‎คุณก็เลยไม่ได้ใส่รูปปาร์ตี้ 431 00:21:44,387 --> 00:21:46,639 ‎ที่รวมคนผิวดำหรือฮิสปานิก 432 00:21:47,140 --> 00:21:49,434 ‎คอมพิวเตอร์อาจตัดสินใจว่ากฎของปาร์ตี้ 433 00:21:49,517 --> 00:21:52,562 ‎ให้เฉพาะคนขาว ‎และคนเอเชียเท่านั้นที่ได้รับเชิญ 434 00:21:52,812 --> 00:21:55,982 ‎คนเขียนโปรแกรม ‎เป็นผู้ชายผิวขาวกับผู้ชายเอเชียเยอะมาก 435 00:21:56,733 --> 00:22:01,321 ‎เราควรเปิดโอกาส ‎ให้มีคนอื่นได้เข้ามาอยู่ในวงการมากขึ้น 436 00:22:01,404 --> 00:22:02,447 ‎ด้วยเหตุผลนับล้าน 437 00:22:02,530 --> 00:22:05,325 ‎พวกเขาจะถามคำถามได้ดีกว่า ‎ถ้ามีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น 438 00:22:05,408 --> 00:22:09,037 ‎แต่สุดท้ายแล้ว ถ้าเราป้อนข้อมูล ‎ให้ระบบแมชชีนเลิร์นนิ่ง 439 00:22:09,120 --> 00:22:13,208 ‎เช่น ระบบไต่สวนอาชญากรรมซึ่งในข้อมูล ‎มีการเหยียดชาติพันธุ์อย่างเป็นระบบ 440 00:22:13,291 --> 00:22:15,668 ‎แล้วเอาเป็นว่า ‎ในกลุ่มคนเขียนโปรแกรมแมชชีนเลิร์นนิ่ง 441 00:22:15,752 --> 00:22:17,170 ‎มีความหลากหลายสารพัดสีผิว 442 00:22:17,253 --> 00:22:22,384 ‎ต่างชาติพันธุ์ ใบหน้าต่างกัน ‎พื้นเพทางสังคมก็ต่างกัน 443 00:22:22,634 --> 00:22:25,303 ‎ระบบแมชชีนเลิร์นนิ่งก็ยังจะเรียนรู้จากข้อมูลนั้น 444 00:22:25,387 --> 00:22:28,139 ‎ถ้าไม่มีคนแก้ไขเรื่องนั้นอย่างจริงจัง 445 00:22:28,223 --> 00:22:31,726 ‎ข้อมูลในอดีต ‎ก็จะทำให้เราทำผิดซ้ำรอยประวัติศาสตร์ 446 00:22:33,812 --> 00:22:36,481 ‎เรื่องราวของการเขียนโค้ด ‎เป็นความทะเยอทะยานของมนุษย์ 447 00:22:36,564 --> 00:22:38,358 ‎และความสร้างสรรค์ 448 00:22:38,566 --> 00:22:41,528 ‎การปล่อยจรวดฟัลคอนไนน์ 449 00:22:41,611 --> 00:22:44,030 ‎เราได้เห็นสิ่งที่เคยคิดว่าไม่มีวันจะได้เห็น 450 00:22:44,697 --> 00:22:45,740 ‎หลุมดำ 451 00:22:46,366 --> 00:22:47,742 ‎เรากำลังสร้างโลกใหม่ 452 00:22:48,284 --> 00:22:49,953 ‎ด้วยเครื่องมือที่คิดได้เองมากขึ้นเรื่อยๆ 453 00:22:50,286 --> 00:22:52,122 ‎ซึ่งคนจำนวนมากขึ้นสามารถใช้ได้ 454 00:22:52,664 --> 00:22:55,750 ‎เพื่อให้แน่ใจว่าโลกนั้นจะดีกว่าที่เป็นอยู่ 455 00:22:56,126 --> 00:22:59,546 ‎เราอยู่ระหว่างการทำให้คอมพิวเตอร์เข้าถึง 456 00:22:59,629 --> 00:23:02,382 ‎มนุษย์ง่ายขึ้น ‎และเข้าถึงมนุษย์จำนวนมากขึ้น 457 00:23:02,507 --> 00:23:07,053 ‎เรากำลังดูการปฏิวัตินี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ‎ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา 458 00:23:07,262 --> 00:23:09,139 ‎การมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยนี้จึงน่าตื่นเต้นมาก 459 00:23:09,973 --> 00:23:13,935 ‎อย่าลืมว่าทุกอย่างที่เราใช้กับคอมพิวเตอร์นั้น 460 00:23:14,227 --> 00:23:16,146 ‎มีมนุษย์สักคนสร้างขึ้นมา 461 00:23:17,147 --> 00:23:19,816 ‎เราเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นได้ ‎จริงๆ แล้วมันสำคัญมาก 462 00:23:19,899 --> 00:23:21,317 ‎ที่เราจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น 463 00:23:21,401 --> 00:23:24,154 ‎เราเปลี่ยนโลกด้วยการเปลี่ยนที่รากฐานได้จริงๆ 464 00:23:24,571 --> 00:23:28,616 ‎ในอนาคตจะมีโลกที่ดำเนินไป ‎โดยใช้แมชชีนเลิร์นนิ่ง 465 00:23:28,741 --> 00:23:32,162 ‎กับข้อมูลและการเขียนโค้ดแบบดั้งเดิม ‎ด้วยวิธีต่างๆ มากขึ้น 466 00:23:32,662 --> 00:23:35,123 ‎และสังคมเราต้องบอกว่า 467 00:23:35,206 --> 00:23:37,584 ‎"โอเค เรามีเทคโนโลยีใหม่ที่มีศักยภาพ 468 00:23:38,251 --> 00:23:43,089 ‎และในหลายๆ แง่มันอาจจะดีมากเลย ‎แต่มันดีด้วยตัวเองไม่ได้นะ" 469 00:24:08,990 --> 00:24:10,992 ‎คำบรรยายโดย ศันสนีย์ โอบอ้อม