1 00:00:07,675 --> 00:00:08,968 ‎ใครอยู่ในกระจกน่ะ 2 00:00:11,012 --> 00:00:13,848 ‎สิ่งนี้เรียกว่า ‎การทดสอบการรู้จักตัวเองในกระจก 3 00:00:15,391 --> 00:00:18,352 ‎การทดสอบเช่นนี้ บางครั้งก็ใช้รอยสีแดง ‎คุณจะผ่านการทดสอบก็ต่อเมื่อคุณรู้ว่า 4 00:00:18,436 --> 00:00:19,812 ‎มันอยู่บนหน้าของคุณเอง 5 00:00:20,938 --> 00:00:23,441 ‎เด็กๆ เริ่มผ่านการทดสอบนี้ ‎เมื่ออายุราว 18 เดือน 6 00:00:23,566 --> 00:00:26,486 ‎ซึ่งเป็นสัญญาณของช่วงพัฒนาการที่สำคัญ 7 00:00:27,278 --> 00:00:28,112 ‎ไง 8 00:00:28,279 --> 00:00:32,617 ‎การวิจัยด้วยกระจกน่าสนใจมาก ‎เพราะในระดับสัญชาตญาณแล้ว 9 00:00:32,700 --> 00:00:33,910 ‎เราเชื่อมโยงกับกระจกได้ 10 00:00:33,993 --> 00:00:36,079 ‎การมองเข้าไปในกระจก ‎แล้วจำตัวเองได้ 11 00:00:36,162 --> 00:00:37,747 ‎เกี่ยวข้องกับ ‎ความตระหนักถึงตัวเอง 12 00:00:38,331 --> 00:00:41,417 ‎มนุษย์ไม่ใช่สัตว์จำพวกเดียว ‎ที่ตระหนักถึงตัวเอง 13 00:00:41,876 --> 00:00:44,045 ‎ชิมแปนซีเป็นพวกแรก ‎ที่ผ่านการทดสอบด้วยกระจก 14 00:00:44,170 --> 00:00:45,463 ‎แล้วสัตว์อื่นๆ ก็ตามมา 15 00:00:45,880 --> 00:00:46,839 ‎โลมา 16 00:00:47,507 --> 00:00:48,424 ‎ช้าง 17 00:00:49,258 --> 00:00:50,134 ‎และนกกางเขน 18 00:00:50,843 --> 00:00:53,054 ‎และเมื่อไม่นานมานี้ ก็มีงานวิจัยเรื่องปลา 19 00:00:53,387 --> 00:00:55,431 ‎ผมไม่ได้เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ‎กับงานวิจัยเรื่องปลา 20 00:00:56,265 --> 00:00:57,934 ‎การที่ปลาผ่านการทดสอบ 21 00:00:58,017 --> 00:00:59,060 ‎เป็นที่ถกเถียงกัน 22 00:00:59,685 --> 00:01:02,438 ‎และการทดสอบก็มีผลอื่นๆ ‎ที่น่าแปลกใจ 23 00:01:02,730 --> 00:01:05,775 ‎ลิงบางจำพวกไม่ผ่านการทดสอบ ‎แม้เราจะมองว่าลิงโดยภาพรวม 24 00:01:05,858 --> 00:01:07,151 ‎เป็นสัตว์ที่มีความคิด 25 00:01:07,276 --> 00:01:09,821 ‎และถ้าคุณเลี้ยงสุนัข ‎คุณอาจสังเกตว่าสัตว์เลี้ยงของคุณ 26 00:01:09,904 --> 00:01:11,572 ‎มีปฏิกิริยากับเงาสะท้อนตัวเองอย่างไร 27 00:01:13,866 --> 00:01:16,828 ‎การวิจัยเรื่องความคิดของสัตว์ ‎ในหลายสิบปีที่ผ่านมา 28 00:01:16,911 --> 00:01:18,871 ‎บางครั้งก็ชวนสับสน 29 00:01:18,955 --> 00:01:23,209 ‎แต่มันก็ยังให้มุมมองที่ลึกซึ้ง ‎ว่าเรายืนอยู่จุดไหน 30 00:01:23,292 --> 00:01:24,335 ‎ในโลกนี้ 31 00:01:24,418 --> 00:01:27,880 ‎เพื่อที่จะทำความเข้าใจ ‎จิตใจของมนุษย์ได้ลึกซึ้งขึ้น 32 00:01:27,964 --> 00:01:29,757 ‎ว่าพวกเรามาจากไหน 33 00:01:30,591 --> 00:01:31,717 ‎บรรพบุรุษของเรามาจากไหน 34 00:01:32,093 --> 00:01:33,553 ‎เราต้องรู้เรื่องสัตว์ให้มากขึ้น 35 00:01:34,387 --> 00:01:36,264 ‎กระบวนการคิดของสัตว์ชนิดอื่นๆ เป็นอย่างไร 36 00:01:37,390 --> 00:01:41,144 ‎และการศึกษาจิตใจของสัตว์ต่างๆ ‎จะเปิดเผยว่าการเป็นมนุษย์ 37 00:01:41,769 --> 00:01:42,854 ‎นั้นคืออะไร 38 00:01:43,896 --> 00:01:46,607 ‎(ผลงานซีรีส์สารคดีจาก NETFLIX) 39 00:01:46,691 --> 00:01:48,276 ‎นกแก้วเป็นนกที่ค่อนข้างฉลาด 40 00:01:48,359 --> 00:01:50,153 ‎มันสามารถออกเสียงเป็นคำๆ ได้ 41 00:01:50,486 --> 00:01:52,822 ‎มันไม่รู้หรอกว่าคำเหล่านั้นหมายถึงอะไร 42 00:01:53,072 --> 00:01:54,866 ‎ฉันเป็นม้า ไม่ใช่หนูตะเภา 43 00:01:56,075 --> 00:01:59,787 ‎เกือบทุกคนชอบที่จะดูสัตว์ ‎ที่สัญชาตญาณและความคิด 44 00:01:59,912 --> 00:02:01,205 ‎บางครั้งก็น่าทึ่ง 45 00:02:01,289 --> 00:02:04,000 ‎ช่วงชีวิตของมวลมนุษยชาติ ‎เป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ 46 00:02:04,083 --> 00:02:06,085 ‎ในประวัติศาสตร์ของโลกเรา 47 00:02:06,210 --> 00:02:08,838 ‎ไม่เพียงเราจะสามารถ ‎ควบคุมตัวแปรสำคัญๆ ได้หลายอย่าง 48 00:02:09,088 --> 00:02:11,591 ‎แต่สิ่งที่เป็นหัวข้อการวิจัยของเรา ‎มีพร้อมเมื่อเราต้องการ 49 00:02:11,966 --> 00:02:13,968 ‎(ความคิดของสัตว์) 50 00:02:17,180 --> 00:02:19,390 ‎ฉันจินตนาการว่าเกิดอะไรขึ้น ‎ในหัวน้อยๆ ของเธอ 51 00:02:19,891 --> 00:02:20,975 ‎เธอมองไปรอบๆ ตลอด 52 00:02:21,517 --> 00:02:23,019 ‎เธอคิดอยู่ตลอดเวลา 53 00:02:23,269 --> 00:02:24,729 ‎เขาฉลาดมากๆ 54 00:02:25,021 --> 00:02:29,567 ‎เขาหัดพูดคำพูดหรือประโยค ‎ได้สักโหลแล้ว 55 00:02:29,650 --> 00:02:32,612 ‎เขามีความคิดเห็นเยอะ ‎และเขาต้องได้สิ่งที่เขาต้องการ 56 00:02:32,987 --> 00:02:35,740 ‎อัตตาของเอลเลียตบอบบางมาก 57 00:02:35,823 --> 00:02:38,492 ‎เมื่อเอลเลียตไปพบกระต่ายตัวอื่น ‎เรามักจะคิด "โอ้พระเจ้า 58 00:02:38,576 --> 00:02:40,161 ‎เขาคิดว่าเขาดีกว่าตัวอื่นๆ" 59 00:02:40,661 --> 00:02:42,538 ‎บางทีเขาก็... ‎ฉันไม่อยากพูดงี้เลย 60 00:02:42,622 --> 00:02:43,497 ‎บางทีเขาก็ชอบงับ 61 00:02:43,581 --> 00:02:46,792 ‎พวกเราหลายคนที่มีสุนัขหรือแมว ‎หรือสัตว์เลี้ยง มักสงสัยว่า 62 00:02:46,876 --> 00:02:49,420 ‎"พวกมันคิดอะไรอยู่นะ ‎มันรักฉันหรือเปล่านะ 63 00:02:49,503 --> 00:02:50,963 ‎พวกมันเขาเข้าใจสิ่งนี้ไหม" 64 00:02:51,047 --> 00:02:52,632 ‎มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ชอบทำ 65 00:02:52,715 --> 00:02:55,134 ‎การสงสัยว่าในหัวสัตว์อื่นๆ มีอะไรเกิดขึ้น 66 00:02:56,260 --> 00:02:58,012 ‎และเราจะไปถามตรงๆ ก็ไม่ได้ 67 00:02:58,221 --> 00:03:01,349 ‎ชัดเจนว่าพวกสัตว์มีวิธีต่างๆ ‎ที่ใช้สื่อสารกับตัวอื่นๆ 68 00:03:01,432 --> 00:03:02,642 ‎ผึ้งใช้วิธีเต้น 69 00:03:02,975 --> 00:03:04,143 ‎ปลาวาฬร้อง 70 00:03:05,061 --> 00:03:07,647 ‎และชิมแปนซีออกท่าทาง ‎และกรีดร้อง 71 00:03:07,730 --> 00:03:11,442 ‎แต่มนุษย์มีคำไว้ใช้เป็นหมื่นๆ คำ 72 00:03:11,525 --> 00:03:15,780 ‎ซึ่งพอเอามาต่อกันแล้ว ‎ก็ใช้สื่อแนวคิดได้ไม่จำกัด 73 00:03:16,864 --> 00:03:20,826 ‎การหาคำตอบว่าสัตว์จะสื่อสารกับเรา ‎ด้วยภาษามนุษย์ได้หรือไม่ 74 00:03:20,910 --> 00:03:24,121 ‎นับเป็นหนึ่งในหัวข้อแรกเริ่ม ‎ในการวิจัยความคิดของสัตว์ 75 00:03:24,413 --> 00:03:29,543 ‎และนี่คือการทดลองครั้งแรกๆ ‎ด้วยชิมแปนซีชื่อวิกิ ในท้ายช่วงทศวรรษ 1940 76 00:03:30,127 --> 00:03:31,295 ‎ฉันเป็นใคร 77 00:03:32,380 --> 00:03:33,381 ‎ป๊ะป๋าเหรอ 78 00:03:33,923 --> 00:03:34,757 ‎ป๊ะป๋าเหรอ 79 00:03:35,132 --> 00:03:37,802 ‎จะเห็นได้ว่าผลออกมาไม่ดีนัก 80 00:03:37,885 --> 00:03:40,888 ‎กลายเป็นว่าเส้นเสียงของชิมแปนซี ‎ไม่ได้สร้างมาเพื่อพูด 81 00:03:41,472 --> 00:03:45,434 ‎แต่แล้วในปี 1966 คู่รักนักจิตวิทยาคู่หนึ่ง ‎ก็เกิดความคิดใหม่ 82 00:03:45,518 --> 00:03:49,063 ‎พวกเขาพาชิมแปนซีป่าแรกเกิด ‎ชื่อวาโชกลับบ้านมาด้วย 83 00:03:49,146 --> 00:03:52,984 ‎ทั้งสองเลี้ยงดูเธอเหมือนลูกมนุษย์ ‎และพยายามสอนภาษามือแบบอเมริกันให้ 84 00:03:53,401 --> 00:03:58,155 ‎ผลคือ วาโชเรียนรู้ภาษามือได้ราว 150 คำ ‎ดังตัวอย่างต่อไปนี้ 85 00:03:58,614 --> 00:03:59,490 ‎แปรงสีฟัน 86 00:03:59,573 --> 00:04:00,533 ‎กอด 87 00:04:00,908 --> 00:04:01,784 ‎เปิด 88 00:04:02,243 --> 00:04:03,077 ‎ออก 89 00:04:03,160 --> 00:04:06,330 ‎นักภาษาศาสตร์ให้นิยามภาษา ‎ว่าเป็นการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ 90 00:04:06,747 --> 00:04:10,293 ‎แล้วพอมีวาโชเข้ามา แล้วเธอก็ ‎ใช้การสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ 91 00:04:10,376 --> 00:04:13,212 ‎เธอใช้สัญญาณภาษามือ ‎เพื่ออ้างอิงถึงสิ่งต่างๆ 92 00:04:13,296 --> 00:04:17,091 ‎การศึกษาภาษาวานรที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ‎ก็ตามมา ซึ่งเหมือนจะแสดงให้เห็นว่า 93 00:04:17,174 --> 00:04:21,804 ‎จิตใจมนุษย์และความสามารถในการสื่อสารนั้น ‎ไม่ได้มีเฉพาะในมนุษย์ 94 00:04:22,388 --> 00:04:26,642 ‎งั้นคำถามก็คือ พวกวานรเหล่านี้ใช้ ‎ภาษาอยู่จริงๆ หรือเปล่า 95 00:04:29,395 --> 00:04:30,813 ‎นี่เป็นคำถามที่สุดโต่ง 96 00:04:31,522 --> 00:04:35,609 ‎จวบจนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ‎วัฒนธรรมตะวันตกส่วนมากมีสมมติฐานว่า 97 00:04:35,693 --> 00:04:38,654 ‎สัตว์ต่างๆ ไม่มีความนึกคิดเยี่ยงมนุษย์ 98 00:04:39,280 --> 00:04:42,616 ‎แต่บางศาสนาจากโลกตะวันออก ‎เช่น ศาสนาพุทธ กลับไม่คิดแบบนั้น 99 00:04:42,950 --> 00:04:45,119 ‎มุมมองจักรวาลของศาสนาพุทธ เป็นแบบนี้ 100 00:04:45,453 --> 00:04:48,205 ‎มนุษย์และสัตว์ ‎มีแก่นธรรมชาติที่เหมือนกัน 101 00:04:48,289 --> 00:04:50,207 ‎และมีความผูกพันผ่านการเกิดใหม่ 102 00:04:50,708 --> 00:04:53,502 ‎แต่มุมมองโลกของศาสนาคริสต์ เป็นแบบนี้ 103 00:04:53,878 --> 00:04:56,922 ‎มนุษย์สูงส่งกว่า ‎เพราะว่ามีวิญญาณ 104 00:04:57,006 --> 00:04:59,383 ‎และสัตว์มีระดับที่ต่ำกว่า 105 00:04:59,467 --> 00:05:03,721 ‎มีพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ‎ถัดลงไปก็เป็นหนอน มอลลัสก์ และอื่นๆ 106 00:05:03,971 --> 00:05:07,892 ‎และแน่นอน มนุษย์นั้นอยู่ใกล้พระเจ้าที่สุด ‎เพราะว่าเหล่าเทวทูตและพระเจ้านั้น 107 00:05:08,017 --> 00:05:09,018 ‎อยู่ข้างบนเราเลย 108 00:05:09,268 --> 00:05:13,105 ‎แต่ชาลส์ ดาร์วินเปลี่ยนแนวคิดทั้งหมดนั่น ‎ด้วยภาพร่างต้นตอของชีวิต 109 00:05:13,189 --> 00:05:14,023 ‎ในบันทึกของเขา 110 00:05:14,398 --> 00:05:17,735 ‎แม้จะดูเป็นแผนภาพเล็กๆ ‎แต่มันก็ได้ทำลายแนวคิดลำดับขั้นสิ่งมีชีวิต 111 00:05:17,818 --> 00:05:19,278 ‎ด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ 112 00:05:19,570 --> 00:05:26,410 ‎สิ่งที่ดาร์วินทำได้ดีใน "กำเนิดสปีชีส์" ‎คือการนำเสนอแนวคิดใหม่ให้เห็นภาพชัดเจน 113 00:05:26,494 --> 00:05:30,873 ‎เขานำเสนอมันผ่านแผนภาพต้นไม้ ‎ไม่ใช่ลำดับขั้นสิ่งมีชีวิต 114 00:05:31,082 --> 00:05:33,876 ‎ที่ซึ่งสัตว์ทุกชนิดวิวัฒนาการ ‎มาจากสิ่งมีชีวิตก่อนหน้า 115 00:05:33,959 --> 00:05:37,004 ‎และทุกชีวิตมีความเกี่ยวโยงกัน ‎ถึงแม้จะห่างๆ ก็ตาม 116 00:05:37,421 --> 00:05:39,215 ‎โฮโมเซเปียนส์อยู่ตรงนี้ 117 00:05:39,507 --> 00:05:40,341 ‎นั่นแหละพวกเรา 118 00:05:40,925 --> 00:05:45,179 ‎ดาร์วินยังบอกด้วยว่าความนึกคิด ‎ต้องอธิบายได้ด้วยแผนภาพต้นไม้นี้ โดยเขียนว่า 119 00:05:45,388 --> 00:05:49,141 ‎"แม้ว่าจิตใจมนุษย์และสัตว์ชั้นสูงอื่นๆ ‎จะแตกต่างกันมากก็ตาม 120 00:05:49,225 --> 00:05:52,019 ‎มันก็เป็นเพราะระดับวิวัฒนาการ ‎มิใช่เป็นสิ่งมีชีวิตต่างประเภทกัน" 121 00:05:54,980 --> 00:05:57,650 ‎แต่จิตใจก็เป็นสิ่งที่ศึกษา ‎ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ยาก 122 00:05:57,942 --> 00:06:00,694 ‎ในเกือบทั้งศตวรรษที่ 20 ‎จิตวิทยากระแสหลักจึง 123 00:06:00,778 --> 00:06:02,738 ‎วัดจากพฤติกรรมแทน 124 00:06:03,197 --> 00:06:06,117 ‎แนวคิดนี้เรียกว่า ‎พฤติกรรมนิยม 125 00:06:06,325 --> 00:06:08,869 ‎พฤติกรรมนิยมกลายเป็นศาสนากลายๆ 126 00:06:08,994 --> 00:06:11,956 ‎ตอนแรกผมคิดว่า ‎เป้าหมายของพวกเขาก็ดี 127 00:06:12,123 --> 00:06:14,875 ‎พวกเขาเสนอให้เลิกสนใจ ‎สถานะภายในอย่างความรู้สึก 128 00:06:14,959 --> 00:06:17,920 ‎ความคิด อะไรพวกนั้น ‎และหันมาสังเกตพฤติกรรมแทน 129 00:06:18,003 --> 00:06:21,132 ‎แต่พฤติกรรมนิยมก็ไปไกลกว่านั้น ‎โดยแย้งว่าจิตใจนั้น 130 00:06:21,215 --> 00:06:22,842 ‎ไม่มีความสำคัญเลยแม้แต่น้อย 131 00:06:22,967 --> 00:06:27,054 ‎ที่สัตว์ต่างๆ ดูเหมือนมีความนึกคิดนั้น แท้จริงแล้ว ‎เป็นการเรียนรู้ผ่านระบบการให้รางวัล 132 00:06:27,138 --> 00:06:28,097 ‎และการลงโทษ 133 00:06:28,347 --> 00:06:31,559 ‎และนั่นคือคำอธิบายหนึ่ง ‎ว่าวานรเรียนรู้ภาษาอย่างไร 134 00:06:32,309 --> 00:06:36,063 ‎นักจิตวิทยาบีเอฟ สกินเนอร์ ‎เป็นผู้นำด้านพฤติกรรมนิยม 135 00:06:36,147 --> 00:06:38,816 ‎ผลงานของเขาได้รับทั้งคำสรรเสริญ ‎และคำโจมตี 136 00:06:38,899 --> 00:06:43,195 ‎เพราะงานวิจัยของเขามีวิธีการศึกษา ‎ที่สร้างและควบคุมพฤติกรรมของสัตว์ชนิดอื่น 137 00:06:43,737 --> 00:06:46,490 ‎สกินเนอร์มองว่าสัตว์ ‎เป็นเครื่องจักรที่ตอบสนองต่อการกระตุ้น 138 00:06:46,574 --> 00:06:50,453 ‎และคุณสามารถสอนพวกมันได้เกือบทุกอย่าง ‎หากมีรางวัลและการลงโทษที่ถูกต้อง 139 00:06:50,828 --> 00:06:52,663 ‎เช่นการสอนให้นกพิราบอ่านหนังสือ 140 00:06:52,788 --> 00:06:56,876 ‎เขาเรียนรู้การตอบสนองที่ต่างกันไปในแต่ละป้าย ‎โดยการได้รับรางวัลเป็นอาหาร 141 00:06:57,042 --> 00:06:58,794 ‎หรือการเล่นปิงปอง 142 00:06:58,919 --> 00:07:05,050 ‎หรือการบังคับขีปนาวุธจากสงครามโลกครั้งที่สอง ‎ซึ่งก็ทำได้จริง แต่ไม่ได้มีการนำไปใช้จริง 143 00:07:05,301 --> 00:07:09,555 ‎สกินเนอร์มองว่ามนุษย์ก็เรียนรู้ด้วยวิธีเดียวกัน ‎แม้ว่าเราจะล้ำหน้ากว่าก็ตาม 144 00:07:09,805 --> 00:07:14,185 ‎ในบทสัมภาษณ์ในปี 1977 เขาเสนอว่า ‎ทั้งความคิดของมนุษย์และสัตว์ 145 00:07:14,310 --> 00:07:15,436 ‎เป็นเพียงการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข 146 00:07:15,853 --> 00:07:18,105 ‎แน่นอน พฤติกรรมมนุษย์นั้นแตกต่างอย่างยิ่ง 147 00:07:18,189 --> 00:07:21,358 ‎มีความซับซ้อนกว่า ‎พฤติกรรมของสัตว์มาก 148 00:07:21,442 --> 00:07:23,444 ‎แต่ก็น่าจะยังอยู่บนหลักการพื้นฐานเดียวกัน 149 00:07:25,029 --> 00:07:27,781 ‎แต่นักภาษาศาสตร์อย่างโนม ชอมสกี้ ‎ไม่เห็นด้วยกับสกินเนอร์ 150 00:07:28,032 --> 00:07:31,452 ‎ในการสัมภาษณ์ในปีเดียวกัน ‎ชอมสกี้แย้งว่ามนุษย์ 151 00:07:31,535 --> 00:07:34,497 ‎ไม่จำเป็นต้องวางเงื่อนไข ‎เพื่อเรียนรู้ภาษา 152 00:07:34,580 --> 00:07:37,750 ‎เราถูกสร้างมาเพื่อสิ่งนี้ ‎ซึ่งเห็นได้ชัดในกลุ่มเด็กอายุยังน้อย 153 00:07:37,833 --> 00:07:41,212 ‎พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่ต้อง ‎ออกคำสั่งอย่างเป็นระบบ 154 00:07:41,295 --> 00:07:43,589 ‎แก่ลูกๆ ด้วยซ้ำ ‎แต่ลูกๆ ก็ยังเรียนรู้ภาษาได้ 155 00:07:43,672 --> 00:07:46,842 ‎ในแง่หนึ่ง เราอาจกล่าวได้ว่า ‎ภาษาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ 156 00:07:46,967 --> 00:07:49,762 ‎และเขาคิดว่าสัตว์ถูกสร้าง ‎มาเพื่อการอื่น 157 00:07:49,845 --> 00:07:54,183 ‎เมื่อถูกถามว่าวานรอย่างวาโช ‎สามารถเรียนรู้ภาษาได้ไหม เขาตอบว่า 158 00:07:54,266 --> 00:07:57,728 ‎"มนุษย์บินได้ราวๆ 30 ฟุต ‎ตอนแข่งกระโดดไกลในโอลิมปิก 159 00:07:57,811 --> 00:07:58,979 ‎นั่นถือเป็นการบินหรือเปล่า 160 00:07:59,438 --> 00:08:01,190 ‎คำถามนั้นมันไร้ประโยชน์สุดๆ" 161 00:08:02,274 --> 00:08:06,028 ‎ถัดจากวาโช นักวิจัยได้สอนภาษามือ ‎ให้แก่ชิมแปนซีอีกตัว 162 00:08:06,111 --> 00:08:07,279 ‎นิม ชิมสกี้ 163 00:08:08,072 --> 00:08:11,033 ‎และทบทวนภาพบันทึก ‎การศึกษาภาษาของวานรก่อนหน้า 164 00:08:11,492 --> 00:08:15,246 ‎และสรุปว่าชิมแปนซี ‎ลอกเลียนคำเป็นรายคำได้ 165 00:08:15,329 --> 00:08:19,166 ‎แต่ไม่สามารถพูดเป็นประโยค ‎หรือใช้ไวยากรณ์ 166 00:08:19,375 --> 00:08:20,793 ‎อย่างที่มนุษย์ทำได้ 167 00:08:21,126 --> 00:08:25,756 ‎สุดท้ายแล้ว ประโยคที่ยาวที่สุด ‎ของนิม ชิมสกี้คือ 16 คำนี้ 168 00:08:25,839 --> 00:08:31,637 ‎"ให้ส้มฉัน ให้กินส้ม ‎ฉันกินส้ม ให้ฉันกิน 169 00:08:31,720 --> 00:08:33,764 ‎ส้มให้ฉันคุณ" 170 00:08:34,932 --> 00:08:37,059 ‎พฤติกรรมนิยมก็เสื่อมความนิยมไป 171 00:08:38,352 --> 00:08:41,730 ‎ถึงแม้ตอนนี้เราไม่ค่อยเชื่อกันแล้ว ‎ว่าพวกมันมีภาษา 172 00:08:41,814 --> 00:08:45,859 ‎แต่การแสดงให้เห็นว่าวานรทำอะไร ‎ได้มากกว่าที่เราคิด ก็ทำให้เกิดสาขาวิชา 173 00:08:45,943 --> 00:08:47,403 ‎การศึกษาว่าด้วยการรู้คิดของสัตว์ 174 00:08:49,280 --> 00:08:53,409 ‎แนวคิดของดาร์วินทำให้นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ‎เห็นตรงกันว่าความคิดของมนุษย์วิวัฒนาการ 175 00:08:53,492 --> 00:08:57,621 ‎มาจากวานรในยุคก่อนหน้า ‎โดยมีการแยกครั้งใหญ่เมื่อเจ็ดล้านปีก่อน 176 00:08:57,705 --> 00:09:00,374 ‎และอีกครั้งเมื่อราวๆ สองแสนปีก่อน 177 00:09:00,457 --> 00:09:02,376 ‎นั่นคือตอนที่โฮโมเซเปียนส์ปรากฏตัวขึ้น 178 00:09:02,960 --> 00:09:07,840 ‎และในตอนนั้น ภายในชั่วพริบตาของวิวัฒนาการ ‎มนุษย์ก็พัฒนาสมองที่ใหญ่กว่า 179 00:09:07,923 --> 00:09:13,887 ‎ภาษาที่ซับซ้อน วัฒนธรรม เทคโนโลยี ‎อารยธรรม และย้ายถิ่นฐานไปทั่วโลก 180 00:09:15,180 --> 00:09:18,225 ‎ทฤษฎีหนึ่งที่อธิบายว่าทำไมมนุษย์ ‎จึงมีสมองที่เหนือกว่าสัตว์ชนิดอื่น 181 00:09:18,434 --> 00:09:20,144 ‎คือมันมีเซลล์ประสาทเยอะกว่า 182 00:09:20,477 --> 00:09:24,523 ‎สมองมนุษย์มีเซลล์ประสาท ‎อยู่ประมาณหนึ่งแสนล้านเซลล์ 183 00:09:24,607 --> 00:09:27,443 ‎ซึ่งเยอะกว่าของชิมแปนซีถึงสามเท่า 184 00:09:27,568 --> 00:09:29,945 ‎และมากกว่าของหนูเกินหนึ่งพันเท่า 185 00:09:30,029 --> 00:09:35,951 ‎แต่การศึกษาเมื่อไม่นานนี้พบว่าช้างมี ‎เซลล์ประสาทเกือบๆ สองแสนหกหมื่นล้านเซลล์ 186 00:09:36,243 --> 00:09:38,245 ‎เยอะกว่าพวกเราเกือบสามเท่า 187 00:09:38,829 --> 00:09:42,082 ‎นักวิทยาศาสตร์จึงพยายาม ‎หาคำตอบว่าเซลล์ประสาทที่เรามีนั้น 188 00:09:42,166 --> 00:09:43,292 ‎พิเศษกว่าสัตว์ชนิดอื่นหรือไม่ 189 00:09:44,084 --> 00:09:45,336 ‎พวกมันดูไม่แตกต่างกันเลย 190 00:09:45,586 --> 00:09:49,715 ‎เซลล์ประสาทดูเหมือนกัน ‎ถึงขนาดที่ว่าถ้าคุณเอาภาพสมองมนุษย์ 191 00:09:49,798 --> 00:09:54,219 ‎กับสมองหนู แล้วเอาเซลล์ประสาท ‎จากภาพนั้นให้นักประสาทวิทยาดู 192 00:09:54,386 --> 00:09:58,766 ‎นักประสาทวิทยาก็ตอบได้ยากมาก ‎ว่าเซลล์ประสาทนั้นมาจากสมองมนุษย์ 193 00:09:58,849 --> 00:10:00,267 ‎หรือจากสมองหนู 194 00:10:00,601 --> 00:10:03,145 ‎แต่เซลล์ประสาทก็ไม่ได้ ‎มีหน้าที่เหมือนกันทั้งหมด 195 00:10:03,520 --> 00:10:07,483 ‎สมองมนุษย์มีเซลล์ประสาท ‎บางเซลล์ที่จะเปิดใช้เมื่อเราเรียนรู้ 196 00:10:07,566 --> 00:10:08,901 ‎จากพฤติกรรมของคนอื่น 197 00:10:09,193 --> 00:10:11,904 ‎พวกมันเรียกว่า "เซลล์ประสาทกระจก" 198 00:10:11,987 --> 00:10:16,116 ‎แต่นักวิทยาศาสตร์ได้พบเซลล์ประสาทที่ ‎คล้ายคลึงกันในสมองของวานรอื่นๆ 199 00:10:16,200 --> 00:10:19,787 ‎มีงานศึกษาชิ้นหนึ่งที่พบเซลล์ดังกล่าว ‎ในนกกระจอกหนองด้วยเช่นกัน 200 00:10:20,579 --> 00:10:24,333 ‎พวกมันจะถูกเปิดใช้ตอนที่นกเลียนแบบ ‎เพลงของนกตัวอื่นๆ 201 00:10:24,625 --> 00:10:27,670 ‎เรายังไม่พบเซลล์ประสาทพิเศษในมนุษย์ 202 00:10:28,045 --> 00:10:31,882 ‎แต่มีเซลล์ประสาทอยู่หนึ่งแสนล้านเซลล์ ‎ก็เลยยังมีให้ค้นหาอีกมาก 203 00:10:32,299 --> 00:10:33,676 ‎(อัตราส่วนขนาดสมองต่อขนาดตัว) 204 00:10:33,884 --> 00:10:36,261 ‎มนุษย์มีอันดับสูงที่สุด ‎ในการคำนวณมาตรฐาน 205 00:10:36,345 --> 00:10:37,680 ‎อัตราส่วนขนาดสมองต่อขนาดตัว 206 00:10:38,180 --> 00:10:41,600 ‎สัตว์อื่นๆ ที่เรามองว่ามีความคิด ‎ก็มีอันดับที่สูงเช่นกัน 207 00:10:42,351 --> 00:10:45,562 ‎และสัตว์ที่มีสมองขนาดใหญ่ ‎ก็มักจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่า 208 00:10:45,854 --> 00:10:48,524 ‎บ่อยครั้งเวลาเราคิดเรื่อง ‎ความคิดในสัตว์อื่นๆ 209 00:10:48,607 --> 00:10:51,026 ‎เรามักมุ่งเน้นไปที่ ‎ความสามารถในการรับรู้ 210 00:10:51,110 --> 00:10:52,528 ‎ที่มนุษย์เราภาคภูมิใจกันมาก 211 00:10:53,195 --> 00:10:57,157 ‎อย่างการมีความฉลาดทางสังคม ‎เพราะเราพัฒนาความสามารถในอาศัย 212 00:10:57,241 --> 00:10:59,576 ‎อยู่ในโครงสร้างสังคมที่ซับซ้อน 213 00:10:59,660 --> 00:11:04,373 ‎แต่ชิมแปนซีก็ทำได้เช่นกัน ในระดับที่เล็กกว่า ‎ซึ่งต้องใช้ความคิด 214 00:11:04,456 --> 00:11:07,501 ‎ในการตัดสินความรู้สึกของผู้อื่นอย่างระมัดระวัง 215 00:11:07,584 --> 00:11:09,753 ‎ฉันจะคาดการณ์พฤติกรรมของผู้อื่นได้ไหม 216 00:11:09,837 --> 00:11:13,424 ‎ฉันจะท้าทายเจ้าตัวนี้ได้ไหม ‎จะมีใครมาช่วยฉันไหมถ้าฉันทำแบบนั้น 217 00:11:13,674 --> 00:11:17,219 ‎ฉันจะไปคืนดียังไง ‎และคืนดีกับใครหลังทะเลาะกัน 218 00:11:17,386 --> 00:11:19,805 ‎พวกนั้นมักจะต้องทำการตัดสินใจที่ซับซ้อนบ่อยๆ 219 00:11:20,723 --> 00:11:25,018 ‎นักวิจัยคิดว่าชิมแปนซีเข้าใจอารมณ์ ‎ของกันและกันได้ เนื่องจากพวกมันหาวตามๆ กัน 220 00:11:25,102 --> 00:11:27,980 ‎การศึกษาในปี 2009 ค้นพบว่า ‎ชิมแปนซีจะหาว 221 00:11:28,063 --> 00:11:30,441 ‎เมื่อเห็นตัวการ์ตูนชิมแปนซีหาว 222 00:11:31,358 --> 00:11:35,612 ‎เราเคยเชื่อว่าเราไม่เหมือนใคร ‎ในการใช้เครื่องมือในการแก้ปัญหา 223 00:11:35,738 --> 00:11:38,991 ‎เราเจอปัญหาที่เราไม่คิดว่าจะเจอ 224 00:11:39,074 --> 00:11:41,034 ‎เพราะจักรวาลค่อนข้างไร้แบบแผน 225 00:11:41,118 --> 00:11:44,288 ‎เราคาดการณ์สิ่งต่างๆ ได้ยาก ‎ซึ่งผมคิดว่านิยามหนึ่งสำหรับความคิด 226 00:11:44,371 --> 00:11:48,625 ‎คือการที่สัตว์สามารถแก้ไขปัญหา เพื่อบรรลุ 227 00:11:48,709 --> 00:11:51,128 ‎เป้าหมายใดๆ ที่มันต้องการ 228 00:11:51,295 --> 00:11:57,134 ‎แต่ในทศวรรษ 1960 เจน กู้ดดอลล์ ‎ค้นพบการใช้เครื่องมืออย่างแพร่หลายในชิมแปนซี 229 00:11:57,259 --> 00:12:00,220 ‎แล้วนักวิจัยก็ค้นพบเรื่องที่น่าแปลกใจ 230 00:12:00,304 --> 00:12:01,930 ‎พวกนกก็ทำแบบนี้ได้ด้วย 231 00:12:02,014 --> 00:12:05,684 ‎เช่น นกกานิวคาเลโดเนียน ‎เป็นผู้ใช้เครื่องมือที่เก่งมาก 232 00:12:05,768 --> 00:12:06,769 ‎ตอนนี้เรารู้แล้ว 233 00:12:06,977 --> 00:12:11,231 ‎พวกมันสร้างและดัดแปลงเครื่องมือได้ ‎พวกมันนำเครื่องมือมาประยุกต์ใช้ร่วมกันได้ 234 00:12:11,774 --> 00:12:15,486 ‎แต่ในขณะที่สัตว์อื่นๆ คิดแก้ปัญหา ‎ในตอนที่เกิดปัญหา 235 00:12:15,569 --> 00:12:19,239 ‎มนุษย์คิดว่าตัวเองพิเศษกว่า ‎ตรงที่ว่าเราเรียนรู้จากความทรงจำของเรา 236 00:12:19,323 --> 00:12:21,116 ‎และวางแผนแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 237 00:12:21,325 --> 00:12:24,453 ‎เราเคยคิดว่าพวกสัตว์ ‎ติดอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น 238 00:12:24,536 --> 00:12:27,956 ‎มนุษย์อย่างเราต่างไป ‎เพราะเราย้อนนึกถึง 239 00:12:28,040 --> 00:12:29,249 ‎เหตุการณ์ในอดีตได้ 240 00:12:29,374 --> 00:12:33,921 ‎เราคิดคาดการณ์ วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้ ‎หรืออนาคตที่ไกลกว่านั้นได้ 241 00:12:34,463 --> 00:12:35,881 ‎และนั่นทำให้เราต่างไป 242 00:12:36,381 --> 00:12:40,385 ‎แต่ในงานวิจัยนกคลากส์นัตแครกเกอร์ ‎ซึ่งเป็นนกในวงศ์กา 243 00:12:40,469 --> 00:12:46,850 ‎ประมาณไว้ว่าพวกมันซ่อนเมล็ดกว่าสามหมื่นเมล็ด ‎ไว้ในที่ซ่อนหกพันแห่ง ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง 244 00:12:47,351 --> 00:12:50,687 ‎แล้วค่อยกลับมาเก็บเมล็ดคืน ‎ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อีกหลายเดือนให้หลัง 245 00:12:51,271 --> 00:12:53,649 ‎ส่วนผมน่ะ แค่จอดรถไว้ที่ไหนยังจำไม่ได้เลย 246 00:12:53,732 --> 00:12:56,819 ‎ผมก็เลยคิดว่าสิ่งที่พวกมันทำ ค่อนข้างน่าทึ่ง 247 00:12:57,027 --> 00:12:59,863 ‎แต่มนุษย์ไม่เพียงวางแผน ‎สำหรับอนาคตของตัวเองเท่านั้น 248 00:13:00,072 --> 00:13:02,366 ‎เราวางแผนให้อนาคตของเผ่าพันธุ์เรา 249 00:13:02,449 --> 00:13:05,619 ‎เราสร้างโรงเรียน ‎ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์ 250 00:13:05,702 --> 00:13:06,662 ‎เรามีวัฒนธรรม 251 00:13:06,745 --> 00:13:11,041 ‎วัฒนธรรมคือการมีความรับผิดชอบร่วมกัน ‎ต่อลูกหลานของเรา 252 00:13:11,124 --> 00:13:15,587 ‎ผมคิดว่าเราพบรูปแบบดังกล่าว ‎ได้จากการที่พวกสัตว์ 253 00:13:15,671 --> 00:13:17,214 ‎ดูแลลูกๆ ของตัวเอง 254 00:13:18,131 --> 00:13:22,219 ‎ในโกตดิวัวร์ มีการศึกษาชิมแปนซี ‎สามกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกันทางพันธุกรรม 255 00:13:22,302 --> 00:13:25,013 ‎พบว่าแต่ละกลุ่ม ‎ใช้เครื่องมือที่ต่างประเภทกัน 256 00:13:25,097 --> 00:13:27,599 ‎ในการกะเทาะเปลือกวอลนัทแอฟริกัน ‎ประเภทเดียวกัน 257 00:13:28,058 --> 00:13:30,978 ‎พบหลักฐานว่าแต่ละกลุ่ม ‎สอนลูกหลานของตัวเองต่างกันไป 258 00:13:31,186 --> 00:13:33,146 ‎และวาฬก็มีวัฒนธรรมเช่นกัน 259 00:13:37,276 --> 00:13:40,153 ‎นี่เป็นเพลงซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วาฬหลังค่อม 260 00:13:40,696 --> 00:13:44,241 ‎ในปี 2009 มีเพียงวาฬกลุ่มนี้ที่ร้องเพลงดังกล่าว 261 00:13:45,033 --> 00:13:49,830 ‎แล้วในปี 2010 วาฬกลุ่มนี้ก็พบ ‎วาฬอีกกลุ่มที่หากินในพื้นที่เดียวกัน 262 00:13:49,913 --> 00:13:52,791 ‎มีวาฬตัวหนึ่งในกลุ่มที่สอง ‎ละทิ้งเพลงของตัวเอง 263 00:13:52,875 --> 00:13:55,711 ‎แล้วกลับบ้านไปโดยร้องเพลงใหม่นี้ 264 00:13:55,794 --> 00:13:58,297 ‎นักวิจัยเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‎การปฏิวัติวัฒนธรรม 265 00:14:00,591 --> 00:14:03,135 ‎การค้นพบแบบนี้เป็นการฉีกความเข้าใจของเรา 266 00:14:03,218 --> 00:14:04,720 ‎ว่าความคิดวิวัฒนาการมาอย่างไร 267 00:14:05,220 --> 00:14:09,266 ‎นกและวาฬไม่ได้เกี่ยวข้องกันใกล้เท่า ‎มนุษย์และวานรอื่นๆ 268 00:14:10,142 --> 00:14:13,270 ‎วาฬและมนุษย์ ทั้งคู่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ‎มีบรรพบุรุษร่วมกัน 269 00:14:13,353 --> 00:14:16,899 ‎ต้องย้อนไปราวหนึ่งร้อยล้านปีก่อน ‎ส่วนบรรพบุรุษร่วมกันของเรา 270 00:14:16,982 --> 00:14:18,233 ‎กับวงศ์นกกา 271 00:14:18,775 --> 00:14:22,154 ‎ก็ต้องย้อนไปสามร้อยล้านปีก่อน ‎ก่อนยุคไดโนเสาร์ 272 00:14:23,488 --> 00:14:25,407 ‎เรามาลงเอยมีความสามารถแบบเดียวกัน 273 00:14:25,490 --> 00:14:27,075 ‎ไม่ใช่เพราะเราสายพันธุ์ใกล้เคียงกัน 274 00:14:27,409 --> 00:14:29,578 ‎แต่เพราะเราประสบปัญหาแบบเดียวกัน 275 00:14:29,661 --> 00:14:31,830 ‎ทำให้เรามีโครงสร้างการรู้คิดแบบเดียวกัน 276 00:14:31,914 --> 00:14:35,250 ‎คุณสมบัติทางกายภาพ ‎ของสัตว์ชนิดต่างๆ เองก็เช่นกัน 277 00:14:35,375 --> 00:14:39,880 ‎สปีชีส์ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ต่างก็พัฒนาคุณสมบัติ ‎คล้ายๆ กัน เพื่อตอบสนองความต้องการของตน 278 00:14:39,963 --> 00:14:42,841 ‎เช่น ปีก ครีบหลัง และพิษ 279 00:14:43,091 --> 00:14:45,636 ‎สมองและการรับรู้ก็เช่นกัน 280 00:14:47,262 --> 00:14:50,891 ‎นั่นคือเหตุผลที่สัตว์ชนิดต่างๆ ‎ทั่วทั้งต้นไม้วิวัฒนาการ 281 00:14:50,974 --> 00:14:53,060 ‎ก็อาจมีคุณสมบัติการรู้จักตัวเอง 282 00:14:53,936 --> 00:14:56,271 ‎ยกเว้นกรณีของปลา ‎ที่เราแยกแยะได้ยาก 283 00:14:56,563 --> 00:14:59,316 ‎เหตุผลหนึ่งที่มันอาจ ‎พยายามถูรอยแดงทิ้ง 284 00:14:59,399 --> 00:15:02,319 ‎อาจเพราะมันรู้สึก ‎ตอนที่นักวิจัยแทงเกล็ดมันเบาๆ 285 00:15:02,402 --> 00:15:05,197 ‎เพื่อแต้มหมึก ‎ไม่ใช่เพราะมันรับรู้ตัวเอง 286 00:15:06,657 --> 00:15:09,326 ‎และการทดสอบด้วยกระจก ‎ก็มีข้อจำกัดอื่นๆ 287 00:15:09,576 --> 00:15:15,165 ‎ส่วนหนึ่งของปัญหาคือการทดสอบ ‎ที่ผมให้ไปเป็นการทดสอบทางการมองเห็น 288 00:15:15,248 --> 00:15:19,670 ‎และอาจมีสัตว์อีกหลายชนิด ‎ที่ไม่ได้ใช้การมองเห็น อย่างที่เราใช้ 289 00:15:19,753 --> 00:15:22,631 ‎ในการรู้จำมนุษย์คนอื่น 290 00:15:22,714 --> 00:15:27,260 ‎ซึ่งนั่นก็ยิ่งเน้นให้เห็นจุดบอด ‎ของวิธีการที่เราใช้ศึกษาการรู้คิดของสัตว์ 291 00:15:27,344 --> 00:15:30,639 ‎ในแง่หนึ่ง การทดสอบของเราหลายอย่าง ‎ก็เป็นเหมือนกระจก 292 00:15:30,889 --> 00:15:34,309 ‎มองหาคุณสมบัติของมนุษย์ ‎ใช้วิธีการวัดผลแบบมนุษย์ 293 00:15:34,393 --> 00:15:36,937 ‎อิงจากมุมมองที่มนุษย์มีต่อโลก 294 00:15:38,146 --> 00:15:41,233 ‎นี่คือการมองเห็นของสุนัข ‎เมื่อเทียบกับของมนุษย์ 295 00:15:41,692 --> 00:15:44,403 ‎สุนัขตาบอดสีแดง-เขียว 296 00:15:44,486 --> 00:15:48,365 ‎และการมองเห็นของมันแม่นยำน้อยกว่ามนุษย์ ‎สี่ถึงแปดเท่า 297 00:15:48,699 --> 00:15:52,119 ‎แต่พวกมันรับรู้สิ่งต่างๆ ในโลก ‎ด้วยประสาทสัมผัสรับกลิ่น 298 00:15:52,202 --> 00:15:55,372 ‎ซึ่งดีกว่าของมนุษย์ถึงหนึ่งหมื่นเท่า 299 00:15:55,956 --> 00:15:59,751 ‎นักวิจัยจึงออกแบบการทดสอบ ‎โดยใช้ตลับที่มีกลิ่นปัสสาวะเพื่อดูว่าสุนัข 300 00:15:59,835 --> 00:16:03,422 ‎จะแยกแยะกลิ่นของตัวเอง ‎ออกจากกลิ่นผสมอื่นๆ ได้หรือไม่ 301 00:16:03,922 --> 00:16:06,591 ‎พวกมันดมกลิ่นผสม ‎นานกว่าดมกลิ่นของตัวเอง 302 00:16:06,717 --> 00:16:12,180 ‎ชี้ว่าสุนัขอาจรับรู้ถึงตัวเอง ‎แต่ใช้การดมกลิ่นเป็นหลัก ไม่ใช่การมองเห็น 303 00:16:12,597 --> 00:16:17,811 ‎ซึ่งก็อาจอธิบายสาเหตุว่าทำไม ในปี 2011 ‎นักวิจัยพบว่าช้าง 304 00:16:17,978 --> 00:16:23,608 ‎ซึ่งเป็นสัตว์ที่ฉลาดเมื่อวัดจากหลายๆ เกณฑ์ ‎ไม่ผ่านการทดสอบในการใช้กิ่งไม้ 305 00:16:23,692 --> 00:16:26,028 ‎เพื่อเข้าถึงอาหารที่อยู่เกินระยะเอื้อมถึง 306 00:16:26,194 --> 00:16:29,156 ‎ในการที่จะทำความเข้าใจช้าง ‎มีหลายปัจจัยที่เราต้องเข้าใจก่อน เช่น 307 00:16:29,322 --> 00:16:32,409 ‎ช้างมีการดมที่ดีกว่าสุนัขเป็นร้อยเท่า 308 00:16:32,784 --> 00:16:35,328 ‎แต่แล้วนักวิจัยก็แก้ไขการทดสอบ 309 00:16:35,787 --> 00:16:39,332 ‎แทนที่จะทิ้งกิ่งไม้ไว้ ‎พวกเขาทิ้งกล่องและยางรถไว้ 310 00:16:39,791 --> 00:16:42,919 ‎เพื่อดูว่าช้างจะขึ้นไปยืนบนสิ่งเหล่านั้น ‎เพื่อให้เอื้อมถึงอาหารหรือไม่ 311 00:16:43,587 --> 00:16:45,464 ‎ซึ่งช้างก็ผ่านการทดสอบ 312 00:16:45,964 --> 00:16:48,967 ‎เราคิดว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ‎เพราะการที่ช้าง 313 00:16:49,051 --> 00:16:50,052 ‎จะหยิบกิ่งไม้ 314 00:16:50,761 --> 00:16:52,304 ‎มันต้องปิดอวัยวะการดม 315 00:16:52,637 --> 00:16:56,141 ‎คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ‎สำหรับช้างแล้ว งวงนั้น 316 00:16:56,224 --> 00:16:57,434 ‎ไม่เหมือนมือ 317 00:16:57,517 --> 00:16:59,269 ‎งวงมีหน้าที่ต่างจากมือมาก 318 00:17:00,020 --> 00:17:02,689 ‎สัตว์ทุกชนิดมีมุมมองโลกของตัวเอง 319 00:17:03,065 --> 00:17:05,442 ‎และความสามารถในการรับรู้ของตัวเอง 320 00:17:05,525 --> 00:17:09,446 ‎สัตว์บางชนิดได้ยินและเห็น ‎สิ่งที่เราไม่อาจรับรู้ได้ 321 00:17:10,864 --> 00:17:14,451 ‎เช่น ค้างคาว ‎สปีชีส์ที่พัฒนาความสามารถ 322 00:17:14,534 --> 00:17:17,245 ‎ในการรับรู้สิ่งรอบตัว ‎ด้วยเสียงสะท้อน 323 00:17:17,496 --> 00:17:20,791 ‎แปลว่าพวกมันนำทาง ‎โดยการใช้เสียงความถี่สูง 324 00:17:20,957 --> 00:17:25,712 ‎ที่อยู่นอกพิสัยการได้ยินของมนุษย์ ‎ให้สะท้อนกลับจากวัตถุใกล้ๆ 325 00:17:25,879 --> 00:17:29,424 ‎และแซลมอนใช้สนามแม่เหล็กของโลก ‎เป็นเหมือนเข็มทิศ 326 00:17:29,508 --> 00:17:32,427 ‎เพื่อนำทางหลายพันไมล์ในมหาสมุทร 327 00:17:32,511 --> 00:17:34,179 ‎กลับไปยังแหล่งวางไข่ของตัวเอง 328 00:17:34,513 --> 00:17:38,308 ‎การที่เราไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี่ ‎อาจทำให้เราดูค่อนข้างทึ่ม‎เมื่อเทียบกับ 329 00:17:38,391 --> 00:17:39,559 ‎ค้างคาวหรือแซลมอน 330 00:17:40,060 --> 00:17:44,064 ‎เราพลาดหลายสิ่งที่สัตว์ ‎ทำที่ฉลาดอย่างเหลือเชื่อ 331 00:17:44,147 --> 00:17:48,693 ‎เพราะเราใช้ความคิดของมนุษย์เป็นมาตรฐาน 332 00:17:48,777 --> 00:17:53,490 ‎ยิ่งเราขยายแนวคิดว่าด้วยความคิด ‎ให้ครอบคลุมสัตว์ชนิดอื่นมากขึ้นเท่าไร 333 00:17:53,865 --> 00:17:55,325 ‎ก็ยิ่งช่วยปกป้องพวกมันมากขึ้นเท่านั้น 334 00:17:55,575 --> 00:17:59,955 ‎รัฐบาลสเปนผ่านญัตติที่ให้สิทธิกับวานรใหญ่ 335 00:18:00,038 --> 00:18:03,500 ‎เพื่อคุ้มครองพวกมันจากการกักขัง ‎หรือการทดลอง 336 00:18:03,708 --> 00:18:08,296 ‎มีกรณีคล้ายๆ กันเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ‎ในเรื่องสิทธิทางกฎหมายของช้างตัวแรก 337 00:18:08,380 --> 00:18:10,715 ‎ที่ผ่านการทดสอบ ‎การรับรู้ตัวเองด้วยกระจก 338 00:18:11,466 --> 00:18:14,302 ‎และรัฐบาลอินเดียก็สั่งห้าม ‎การแสดงโลมา 339 00:18:14,427 --> 00:18:16,847 ‎เพราะมีหลักฐานเพิ่มขึ้น ‎ว่าโลมา 340 00:18:16,930 --> 00:18:19,391 ‎เป็นสปีชีส์ที่ "มีความคิดสูงมาก" 341 00:18:20,058 --> 00:18:23,937 ‎เราต้องวางหลักของการมีอยู่ของเรา ‎ในธรรมชาติ 342 00:18:24,187 --> 00:18:27,649 ‎เรามีแนวโน้มที่จะแยกตัวเองออกไป ‎แยกตัวออกจากธรรมชาติ 343 00:18:27,858 --> 00:18:30,569 ‎แต่ไม่ใช่เลย ‎เราผูกพันกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง 344 00:18:30,777 --> 00:18:34,739 ‎เราไม่อาจจัดการกับธรรมชาติ ‎ได้ตามที่ใจอยาก เพราะเราต้องระวัง 345 00:18:34,823 --> 00:18:38,869 ‎จนถึงไม่นานนี้ การวิจัยส่วนมากก็มุ่งเน้น ‎กับสัตว์ที่ทำให้พวกเรา 346 00:18:38,952 --> 00:18:39,953 ‎นึกถึงพวกเราเอง 347 00:18:42,372 --> 00:18:45,125 ‎เราเพิ่งเริ่มมองออกไปให้ไกลกว่านั้น 348 00:18:47,169 --> 00:18:51,464 ‎ไม่ว่าคุณจะคิดยังไงกับหมึกยักษ์ ‎อาจจะคิดว่ามันห่างไกล 349 00:18:51,548 --> 00:18:55,218 ‎จากมนุษย์ ไม่ต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ บนโลกใบนี้ 350 00:18:55,385 --> 00:19:00,849 ‎หมึกยักษ์ หรือหมึกสาย เรียกได้ทั้งสองอย่าง ‎เป็นส่วนหนึ่งของชั้นเซฟาโลพอด 351 00:19:00,932 --> 00:19:03,185 ‎มันมีสัญญาณบางอย่าง ‎ที่แสดงถึงการมีความคิด 352 00:19:03,268 --> 00:19:07,689 ‎เช่นเดียวกับมนุษย์ วานรอื่นๆ และนก ‎พวกมันใช้เครื่องมือ 353 00:19:07,772 --> 00:19:10,025 ‎เช่น ใช้กะลามะพร้าวเป็นเกราะป้องกันตัว 354 00:19:10,108 --> 00:19:14,529 ‎และพวกมันก็ยังขนเครื่องมือไป ‎ใช้ในอนาคตด้วย แปลว่าพวกมันเป็นนักวางแผน 355 00:19:14,696 --> 00:19:16,239 ‎เช่นเดียวกับนกคลากส์นัตแครกเกอร์ 356 00:19:16,656 --> 00:19:19,117 ‎พวกมันรับรู้บุคคลที่ต่างกันได้ 357 00:19:19,201 --> 00:19:23,079 ‎และพวกมันก็มีความสนใจในสิ่งใหม่ๆ ‎อย่างเช่นกล้องตัวนี้ 358 00:19:23,163 --> 00:19:27,292 ‎หากคุณนำวัตถุที่ไม่คุ้นเคย ‎ไปหาสัตว์ป่า 359 00:19:27,375 --> 00:19:30,003 ‎พวกมันจะกลัว ‎หรือไม่ก็ไม่อยากยุ่งด้วยเลย 360 00:19:30,086 --> 00:19:33,131 ‎ในขณะที่หมึกยักษ์มักจะมองชิ้นพลาสติก 361 00:19:33,215 --> 00:19:37,010 ‎วัตถุที่สีสันสดใส ‎ว่าน่าสนใจมากๆ อยู่กลายๆ 362 00:19:38,345 --> 00:19:43,391 ‎หมึกยักษ์และญาติๆ เซฟาโลพอด ‎หมึกกระดอง สามารถเปลี่ยนแปลงสีของตัวเอง 363 00:19:43,516 --> 00:19:45,936 ‎โดยสมบูรณ์ในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที 364 00:19:46,019 --> 00:19:47,729 ‎เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์โดยดั้งเดิม 365 00:19:47,812 --> 00:19:49,773 ‎ไม่ถือว่าเป็นสัญญาณของความคิด 366 00:19:50,315 --> 00:19:52,567 ‎อาจเป็นเพราะมนุษย์ทำไม่ได้ 367 00:19:52,651 --> 00:19:54,903 ‎นั่นคือตอนที่คุณรู้ว่าพวกมันจะยึดครองโลก 368 00:19:54,986 --> 00:19:56,613 ‎พวกมันมีแปดแขนแล้วทำแบบนี้ได้ 369 00:19:56,696 --> 00:20:01,451 ‎ชัดเจนว่า ณ จุดหนึ่งจะมีเรื่องเลวร้าย ‎เกิดขึ้นระหว่างเราและหมึกยักษ์ 370 00:20:03,578 --> 00:20:07,415 ‎แต่หมึกยักษ์ก็ได้ท้าทายความสัมพันธ์ดั้งเดิม ‎ระหว่างสัตว์กับความนึกคิด 371 00:20:07,582 --> 00:20:10,460 ‎พวกมันมีช่วงชีวิตที่สั้น ประมาณสองปี 372 00:20:10,543 --> 00:20:13,546 ‎พวกมันมักอาศัยอยู่ตัวเดียว ‎ไม่อยู่เป็นกลุ่ม 373 00:20:13,964 --> 00:20:18,260 ‎การคำนวนอัตราส่วนขนาดสมองต่อขนาดตัว ‎ก็ทำได้ยาก เพราะสมองและตัว 374 00:20:18,343 --> 00:20:20,553 ‎ของหมึกยักษ์นั้นแยกออกจากกันได้ยาก 375 00:20:20,637 --> 00:20:24,432 ‎จากเซลล์ประสาทห้าร้อยล้านเซลล์ของพวกมัน ‎สองในสามนั้นกระจายตัว 376 00:20:24,516 --> 00:20:25,934 ‎ไปทั่วหนวดของพวกมัน 377 00:20:26,017 --> 00:20:29,604 ‎อาจเพราะหมึกยักษ์อยู่ห่างจากมนุษย์ ‎มากกว่าวานรต่างๆ 378 00:20:29,688 --> 00:20:33,358 ‎สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ‎แม้กระทั่งนก เมื่อดูจากต้นไม้วิวัฒนาการ 379 00:20:33,483 --> 00:20:35,986 ‎บรรพบุรุษร่วมของมนุษย์กับหมึกยักษ์นั้น ‎ไม่ฉลาดเลย 380 00:20:36,194 --> 00:20:40,156 ‎มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายหนอน ‎มีชีวิตอยู่เมื่อราวเจ็ดร้อยล้านปีก่อน 381 00:20:40,240 --> 00:20:42,575 ‎สำหรับช่วงเวลาที่สัตว์ต่างๆ ‎มีวิวัฒนาการ 382 00:20:42,659 --> 00:20:44,869 ‎เราก็อยู่บนเส้นทางที่แยกจากพวกมัน 383 00:20:44,953 --> 00:20:46,496 ‎เราอยู่บนเส้นทางที่เป็นอิสระต่อกัน 384 00:20:46,705 --> 00:20:50,625 ‎แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็เชื่อว่า ‎หมึกยักษ์วิวัฒนาการจนมีความนึกคิด 385 00:20:50,709 --> 00:20:51,876 ‎ที่เรารับรู้ได้ 386 00:20:51,960 --> 00:20:57,090 ‎นั่นแปลว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมี ‎สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิดอยู่ทั่วไป 387 00:20:57,173 --> 00:21:00,343 ‎ในหลายล้านสปีชีส์ที่อยู่ร่วมโลกกับเรา 388 00:21:00,427 --> 00:21:04,389 ‎เราอยากจะเข้าใจว่าจักรวาลนี้ ‎เป็นสถานที่แบบไหน 389 00:21:04,556 --> 00:21:09,269 ‎แง่มุมหนึ่งที่สำคัญของคำถามนั้นคือ ‎ส่วนไหนของจักรวาล 390 00:21:09,352 --> 00:21:13,189 ‎ที่มีประสบการณ์ มีความคิด ‎และมีจิตใจ 391 00:21:13,273 --> 00:21:14,399 ‎มีแค่เราหรือเปล่า 392 00:21:15,066 --> 00:21:16,234 ‎หรือทุกชีวิตก็เหมือนกัน 393 00:21:16,318 --> 00:21:17,694 ‎หรือมีแค่ในสัตว์บางชนิด 394 00:21:18,111 --> 00:21:21,239 ‎ผมคิดว่านี่เป็นคำถามสำคัญ ‎ที่เราต้องหาคำตอบ 395 00:21:21,323 --> 00:21:24,743 ‎หากเราต้องการทำความเข้าใจ ‎ว่าเราอาศัยอยู่ในโลกแบบไหนกัน 396 00:21:57,233 --> 00:21:59,235 ‎คำบรรยายโดย ธัญ รัษฎานุกูล