1 00:00:08,048 --> 00:00:11,678 ‎เรื่องราวของมนุษย์ ‎คือเรื่องราวของการสกัดโดยแท้ 2 00:00:13,430 --> 00:00:18,184 ‎อย่างทองแดงที่เราเรียนรู้ที่จะขุดเหมือง ‎และนำมาขึ้นรูปเป็นคันไถและเครื่องมือ 3 00:00:18,268 --> 00:00:20,478 ‎จากนั้นนำมาผสมกับดีบุกจนได้เป็นสัมฤทธิ์ 4 00:00:21,855 --> 00:00:23,648 ‎หรือถ่านหินและปิโตรเลียม 5 00:00:23,732 --> 00:00:26,067 ‎ซึ่งทำให้เราควบคุมไฟได้ 6 00:00:26,985 --> 00:00:29,237 ‎แต่การที่เราจะควบคุมโลกนี้ 7 00:00:29,320 --> 00:00:31,573 ‎เราต้องอยู่รอดเสียก่อน 8 00:00:31,656 --> 00:00:35,452 ‎และเพื่อการนั้น แหล่งพลังงานที่ล้ำค่าที่สุดคือสิ่งนี้ 9 00:00:36,453 --> 00:00:37,620 ‎น้ำตาล 10 00:00:37,704 --> 00:00:40,540 ‎เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับพลังงานบริสุทธิ์มากที่สุด 11 00:00:40,623 --> 00:00:43,877 ‎ลองคิดถึงบรรพบุรุษของเรา ‎ที่เป็นนักล่าและเก็บของป่า 12 00:00:43,960 --> 00:00:47,422 ‎และสำหรับพวกเขา น้ำตาล ‎เป็นหนึ่งในแหล่งให้พลังงานที่เร็วที่สุด 13 00:00:47,505 --> 00:00:51,134 ‎เราจึงวิวัฒนาการมาเพื่อให้ ‎โหยหาน้ำตาลและเห็นเมื่อไหร่ก็กิน 14 00:00:52,052 --> 00:00:54,679 ‎แต่พวกเขาไม่ได้กินน้ำตาลแบบนี้ 15 00:00:54,763 --> 00:00:56,973 ‎มันอยู่ในอาหารอื่นๆ 16 00:00:57,057 --> 00:01:00,143 ‎ผักและผลไม้ และในอ้อยเปลือกหนา 17 00:01:00,226 --> 00:01:02,479 ‎มันคือเรื่องเมื่อหลายพันปีมาแล้ว 18 00:01:02,562 --> 00:01:05,315 ‎มนุษย์ผู้มีใจเปิดกว้างชอบลองของใหม่ 19 00:01:05,397 --> 00:01:09,819 ‎ได้เรียนรู้ที่จะสกัดน้ำตาลออกมาจากอ้อย 20 00:01:09,903 --> 00:01:12,530 ‎ทำให้ระเหยและตกผลึก 21 00:01:13,156 --> 00:01:16,367 ‎และเปลี่ยนมันเป็นส่วนผสม ‎ที่คุณสามารถใส่ลงไปในทุกอย่างได้ 22 00:01:16,993 --> 00:01:17,869 ‎และเราก็ทำเช่นนั้น 23 00:01:18,328 --> 00:01:22,040 ‎ตอนนี้เราสามารถหาเจ้าของสีขาวนี้ ‎ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ 24 00:01:22,123 --> 00:01:23,458 ‎ปัญหาก็คือ 25 00:01:23,541 --> 00:01:27,295 ‎เรายังมีสมองและร่างกาย ‎ของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลอยู่ 26 00:01:27,378 --> 00:01:31,299 ‎ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกของเทคโนโลยี 2.0 ‎กับน้ำตาลเวอร์ชัน 5.0 27 00:01:31,382 --> 00:01:33,676 ‎ทำให้ร่างกายและสมองของเราตามมันไม่ทัน 28 00:01:34,260 --> 00:01:37,222 ‎แคลอรีที่เคยสำคัญต่อการอยู่รอด 29 00:01:37,305 --> 00:01:39,265 ‎ได้กลายมาเป็นภัยคุกคามทางสาธารณสุข 30 00:01:39,349 --> 00:01:42,060 ‎น้ำตาลเป็นสาเหตุของโรคอ้วน 31 00:01:42,143 --> 00:01:45,563 ‎เบาหวาน หัวใจ และมะเร็งที่พุ่งสูงขึ้น ‎ซึ่งสมควรได้รับการควบคุม 32 00:01:45,647 --> 00:01:47,398 ‎การบริโภคน้ำหวาน 33 00:01:47,482 --> 00:01:50,902 ‎เป็นตัวการหลักทำให้ ‎โรคอ้วนระบาดในสหรัฐอเมริกา 34 00:01:50,985 --> 00:01:51,945 ‎น้ำตาลคือสารเสพติด 35 00:01:52,028 --> 00:01:54,697 ‎เรากำลังวางยาตัวเองด้วยน้ำตาล 36 00:01:54,781 --> 00:01:57,325 ‎นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามสร้างสรรค์ 37 00:01:57,408 --> 00:02:00,203 ‎สิ่งที่ทำแบบเดียวกันกับน้ำตาลได้ 38 00:02:00,286 --> 00:02:02,580 ‎มอบความหวานและความสุขให้กับเรา 39 00:02:02,664 --> 00:02:05,500 ‎แต่ไม่มีแคลอรีซึ่งเราไม่ต้องการแล้ว 40 00:02:05,583 --> 00:02:09,963 ‎บางครั้งเราก็ลืมไปว่าน้ำตาลไม่ใช่แค่ความหวาน 41 00:02:10,045 --> 00:02:12,423 ‎น้ำตาลคือพลังงาน 42 00:02:12,507 --> 00:02:15,260 ‎น้ำตาลคือความสุข 43 00:02:15,343 --> 00:02:17,345 ‎น้ำตาลคือความสุขภายในปาก 44 00:02:17,428 --> 00:02:20,765 ‎น้ำตาลคือหลายสิ่งอย่างในอาหาร 45 00:02:20,849 --> 00:02:22,934 ‎และการจะแทนที่มันนั้น… 46 00:02:23,017 --> 00:02:25,436 ‎คือว่า คุณหาอะไรมาแทนที่หัวใจได้ไหมล่ะ 47 00:02:26,521 --> 00:02:30,400 ‎เราจะตอบสนองความโหยหาน้ำตาล ‎ตั้งแต่ครั้งโบราณที่ฝังรากลึกมา 48 00:02:30,483 --> 00:02:31,985 ‎โดยไม่ทำร้ายตัวเองได้ไหม 49 00:02:32,652 --> 00:02:35,738 ‎เราจะกินเค้กโดยที่ไม่มีอันตรายได้ไหม 50 00:02:37,657 --> 00:02:39,576 ‎(ภาพยนตร์สารคดีชุดของ NETFLIX) 51 00:02:40,076 --> 00:02:41,786 ‎เคลือบด้วยน้ำตาลสีทอง 52 00:02:41,870 --> 00:02:43,788 ‎ดีเกินไปสำหรับพวกภูตจิ๋ว 53 00:02:43,872 --> 00:02:45,623 ‎เจ้ากระต่ายโง่ ทริกซ์มีไว้สำหรับเด็กนะ 54 00:02:45,707 --> 00:02:48,251 ‎น้ำตาลไม่มีคุณค่าทางอาหาร 55 00:02:48,334 --> 00:02:50,712 ‎ผมขอเถียงเลยว่า ‎เราเรียกมันว่าสารอาหารไม่ได้ 56 00:02:50,795 --> 00:02:52,630 ‎น้ำตาลบางส่วนจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน 57 00:02:53,214 --> 00:02:57,385 ‎เขาไม่ควรกินลูกกวาด ‎และขนมหวานแทนอาหารอื่นเลย 58 00:02:57,927 --> 00:02:59,429 ‎ท้องฉันอยากกินของอร่อย 59 00:03:04,475 --> 00:03:08,938 ‎(น้ำตาล) 60 00:03:12,734 --> 00:03:14,944 ‎นี่คือรูปปั้นน้ำตาล 61 00:03:15,695 --> 00:03:19,199 ‎ฉากอันละเมียดละไมที่สร้างจากน้ำตาลทั้งหมด 62 00:03:19,282 --> 00:03:21,492 ‎บางครั้งมีความความสูงกว่าหกเมตร 63 00:03:21,576 --> 00:03:23,870 ‎จัดแสดงในงานเลี้ยงราชวงศ์ในยุคกลาง 64 00:03:25,413 --> 00:03:27,165 ‎ซึ่งเรียกกันว่าซัทเทิลทีส์ 65 00:03:27,248 --> 00:03:30,627 ‎เพราะมันคือการประกาศอย่างเนียนๆ ‎ถึงความร่ำรวยและอำนาจ 66 00:03:31,711 --> 00:03:33,171 ‎แต่ก็อาจจะไม่ได้แนบเนียนนัก 67 00:03:34,255 --> 00:03:37,091 ‎น้ำตาลเคยเป็นของราคาแพงและหายากมาก 68 00:03:38,551 --> 00:03:41,304 ‎ทุกอย่างเปลี่ยนไป ‎เมื่อประมาณ 100 ถึง 150 ปีก่อน 69 00:03:41,387 --> 00:03:44,933 ‎ตอนที่เราเริ่มกลั่นน้ำตาล ‎จากหัวบีตและอ้อยออกมาเป็น 70 00:03:45,016 --> 00:03:47,518 ‎น้ำตาลสกัดเข้มข้นมาก ‎และผ่านกระบวนการซับซ้อนได้ 71 00:03:48,436 --> 00:03:50,605 ‎มันจึงไม่ใช่สัญลักษณ์ของอำนาจอีกต่อไป 72 00:03:51,189 --> 00:03:54,943 ‎น้ำตาลเคยเป็นอาหารให้พลังงาน ‎เพื่อสุขภาพและความแข็งแรง 73 00:03:56,236 --> 00:04:01,157 ‎วงการแพทย์รายงานอย่างตื่นเต้นว่า ‎มันมีคุณสมบัติกระตุ้นร่างกายอย่างคาดไม่ถึง 74 00:04:01,241 --> 00:04:05,078 ‎มีการส่งเสริมหญิงสาวที่ทันสมัยให้จิบเหล้าหวาน 75 00:04:05,161 --> 00:04:09,040 ‎ซึ่งถือเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเพียงอย่างเดียว ‎ที่จิบได้อย่างปลอดภัยหลังปั่นจักรยาน 76 00:04:09,666 --> 00:04:12,710 ‎และเหล่าทหารก็ประหลาดใจ ‎ที่มันมีประสิทธิภาพราวกับเวทมนตร์ 77 00:04:12,794 --> 00:04:15,296 ‎ในการช่วยคลายความเหนื่อยล้า ‎และดับกระหาย 78 00:04:16,047 --> 00:04:19,007 ‎ไม่มีใครคิดหาอะไรมาทดแทนน้ำตาล 79 00:04:19,091 --> 00:04:21,552 ‎มันเกิดขึ้นโดยบังเอิญล้วนๆ 80 00:04:24,138 --> 00:04:26,391 ‎เย็นวันหนึ่งในปี 1878 81 00:04:26,474 --> 00:04:28,810 ‎นักเคมีวิจัยกำลังนั่งกินมื้อเย็น 82 00:04:28,893 --> 00:04:32,397 ‎เขากัดขนมปังก้อนและได้รสชาติหวาน 83 00:04:32,480 --> 00:04:34,190 ‎ไม่ใช่ขนมปัง 84 00:04:34,274 --> 00:04:35,942 ‎แต่เป็นนิ้วของเขาเอง 85 00:04:36,025 --> 00:04:39,279 ‎ก่อนหน้านั้นเขาทำสารละลายหกรดมือ 86 00:04:40,571 --> 00:04:44,701 ‎มันคือสารที่ได้มาจากน้ำมันดิน ‎ซึ่งตอนนี้เรารู้จักกันในชื่อขัณฑสกร 87 00:04:44,784 --> 00:04:48,621 ‎มันมีความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่า ‎และไม่มีแคลอรี 88 00:04:48,705 --> 00:04:52,208 ‎ซึ่งกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ซองสีชมพู ‎ยี่ห้อสวีตแอนด์โลว์ในที่สุด 89 00:04:52,292 --> 00:04:55,003 ‎แต่ตอนนั้น ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดคือ 90 00:04:55,086 --> 00:04:58,798 ‎ผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ผลิต ‎อาหารกระป๋องที่ต้องการสารกันบูดราคาถูก 91 00:04:59,924 --> 00:05:04,095 ‎แต่แล้ว การบริโภคน้ำตาล ‎ของคนอเมริกันก็เริ่มพุ่งสูงขึ้น 92 00:05:04,178 --> 00:05:07,307 ‎มันลดลงในช่วงสงครามโลก ‎ซึ่งมีการจัดสรรปันส่วนน้ำตาล 93 00:05:07,390 --> 00:05:09,058 ‎แต่มันก็พุ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว 94 00:05:09,642 --> 00:05:12,562 ‎และรอบเอวของคนอเมริกันก็ขยายขึ้นเช่นกัน 95 00:05:12,645 --> 00:05:14,230 ‎เช่นเดียวกับจำนวนผู้ป่วยหัวใจวาย 96 00:05:15,106 --> 00:05:16,649 ‎ในช่วงยุค 1960 97 00:05:16,733 --> 00:05:21,029 ‎โรคหัวใจเป็นหนึ่งในสาม ‎สาเหตุการตายหลักของชาวอเมริกัน 98 00:05:22,322 --> 00:05:25,908 ‎หมอเริ่มสงสัยว่าน้ำตาลอาจมีส่วนในเรื่องนี้ 99 00:05:25,992 --> 00:05:28,578 ‎และคนอเมริกันจำนวนมาก ‎ก็อยากกินน้ำตาลน้อยลง 100 00:05:29,370 --> 00:05:32,957 ‎และโชคดีที่สมัยนั้น ‎ความปลอดภัยในห้องแล็บยังไม่ดีเท่าที่ควร 101 00:05:33,041 --> 00:05:37,295 ‎นักวิทยาศาสตร์จึงยังคงพบสสารใหม่ ‎ที่สามารถแทนที่น้ำตาลได้ 102 00:05:37,795 --> 00:05:40,715 ‎ในยุค 1930 นักวิจัยยาที่กำลังพักสูบบุหรี่ 103 00:05:40,798 --> 00:05:44,719 ‎บังเอิญได้ลิ้มรสนิ้วของตัวเอง ‎และค้นพบไซคลาเมต 104 00:05:45,345 --> 00:05:48,598 ‎ซึ่งหวานน้อยกว่าขัณฑสกร ‎ แต่ก็ยังหวานกว่าน้ำตาล 105 00:05:48,681 --> 00:05:51,726 ‎ซึ่งทำให้เรามีน้ำอัดลมศูนย์แคลอรีเป็นครั้งแรก 106 00:05:51,809 --> 00:05:54,896 ‎ใช่แล้ว ในโนแคลทุกขวดกำลังมีงานปาร์ตี้ 107 00:05:54,979 --> 00:05:58,232 ‎น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลรายแรกและดีที่สุด 108 00:05:59,192 --> 00:06:01,027 ‎จากนั้น ในช่วงยุค 1960  109 00:06:01,110 --> 00:06:05,531 ‎นิักวิจัยยาอีกคน ‎ก็เลียนิ้วตัวเองและได้รสชาติหวาน 110 00:06:05,615 --> 00:06:07,492 ‎มันเกิดขึ้นบ่อยไหมคะ 111 00:06:07,575 --> 00:06:10,995 ‎ที่นักวิทยาศาสตร์ลืมล้างมือ ‎และเลียนิ้วตัวเองน่ะค่ะ 112 00:06:11,621 --> 00:06:12,747 ‎ไม่อีกแล้วค่ะ 113 00:06:12,830 --> 00:06:14,415 ‎แต่ต้องขอบคุณนักวิทย์คนนั้น 114 00:06:14,499 --> 00:06:17,835 ‎เราจึงได้มีแอสปาร์แตม ‎ที่มีแคลอรีพอๆ กับน้ำตาล 115 00:06:17,919 --> 00:06:20,755 ‎แต่หวานกว่าถึง 200 เท่า ‎คุณจึงใส่น้อยกว่าน้ำตาลมาก 116 00:06:21,923 --> 00:06:23,925 ‎จากนั้น ในช่วงยุค 1970 117 00:06:24,008 --> 00:06:27,345 ‎นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ‎กำลังทำสารประกอบน้ำตาลและคลอรีน 118 00:06:27,428 --> 00:06:30,223 ‎และได้รับแจ้งว่าให้ทำการทดสอบ 119 00:06:30,306 --> 00:06:33,226 ‎เขาได้ยินผิดแล้วชิมรสมันแทน 120 00:06:33,851 --> 00:06:37,480 ‎นักวิจัยคนนั้นรอดมาได้และเราก็ได้ซูคราโลส 121 00:06:37,563 --> 00:06:39,816 ‎ศูนย์แคลอรี หวานอย่างไม่น่าเชื่อ 122 00:06:39,899 --> 00:06:42,527 ‎และตีตลาดในฐานะสารทดแทนชั้นยอด 123 00:06:42,610 --> 00:06:44,362 ‎สารให้ความหวานยี่ห้อสเปลนด้า 124 00:06:44,445 --> 00:06:47,323 ‎จะเรียกว่า "น้ำตาล" หรือ "สเปลนด้า" ก็ได้ 125 00:06:48,449 --> 00:06:51,327 ‎สารให้ความหวานเทียมดูเหมือนเป็นมายากล 126 00:06:51,953 --> 00:06:53,704 ‎ต้องขอบคุณความมหัศจรรย์ของเคมี… 127 00:06:53,788 --> 00:06:57,625 ‎คุณจะเพลิดเพลินกับรสหวานเหล่านี้ได้ ‎โดยไม่มีแคลอรี 128 00:06:57,708 --> 00:06:59,419 ‎ความสุขที่ไม่ต้องรู้สึกผิด 129 00:06:59,502 --> 00:07:01,796 ‎ฟังดูดีเกินจะเป็นเรื่องจริง 130 00:07:03,464 --> 00:07:06,968 ‎สำหรับหลายๆ คนแล้ว ‎นั่นก็ฟังดูดีเกินจะเป็นเรื่องจริงจริงๆ 131 00:07:07,635 --> 00:07:10,430 ‎ในงานวิจัยบางชิ้นช่วงปี 60 และ 70 พบว่า 132 00:07:10,513 --> 00:07:12,473 ‎มันทำให้หนูเป็นเนื้องอกที่กระเพาะปัสสาวะ 133 00:07:12,557 --> 00:07:16,018 ‎ซึ่งนั่นทำให้เกิดความตื่นตระหนก ‎ว่าสารให้ความหวานเหล่านี้ก่อมะเร็งได้ 134 00:07:16,102 --> 00:07:18,604 ‎สหรัฐอเมริกาสั่งห้ามใช้ไซคลาเมต 135 00:07:18,688 --> 00:07:20,690 ‎และชะลอการอนุมัติแอสปาร์แตม 136 00:07:20,773 --> 00:07:23,359 ‎และกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ขัณฑสกรเพิ่มป้ายเตือน 137 00:07:23,443 --> 00:07:25,987 ‎ระบุว่ามันอาจมีอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ 138 00:07:26,654 --> 00:07:29,574 ‎สำหรับหลายคนแล้ว ‎น้ำตาลดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า 139 00:07:30,366 --> 00:07:33,327 ‎และอุตสาหกรรมน้ำตาล ‎ก็โหมประชาสัมพันธ์ฟื้นฟูชื่อเสียง 140 00:07:33,411 --> 00:07:35,705 ‎อ้างว่าที่จริงน้ำตาลเป็นอาหารลดน้ำหนัก 141 00:07:35,788 --> 00:07:38,207 ‎เป็นทางเลือกชาญฉลาดที่จะผอมเพรียว 142 00:07:38,916 --> 00:07:41,419 ‎ทุกครั้งที่คุณอยากกินมากเกินไป 143 00:07:41,502 --> 00:07:44,046 ‎น้ำตาลจะช่วยลดความอยากอาหารได้ในทันที 144 00:07:44,130 --> 00:07:46,799 ‎เพราะมันมีพลังงานแค่ 18 แคลอรีต่อช้อนชา 145 00:07:46,883 --> 00:07:48,468 ‎และเป็นพลังงานล้วนๆ 146 00:07:49,093 --> 00:07:52,972 ‎โฆษณาโดมิโนชิ้นนี้อ้างว่าน้ำตาลสามช้อนชา 147 00:07:53,055 --> 00:07:55,558 ‎ทำให้อ้วนน้อยกว่าแอปเปิลหนึ่งผล 148 00:07:55,641 --> 00:08:00,354 ‎แต่ถึงแม้มันจะมีแคลอรีน้อยกว่าจริง ‎แต่ไม่ใช่ว่าแคลอรีทุกชนิดจะเท่ากัน 149 00:08:01,772 --> 00:08:05,776 ‎เมื่อคุณกินแอปเปิล ‎ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 150 00:08:05,860 --> 00:08:08,070 ‎คุณจะได้น้ำตาล แต่ก็ยังได้รับ 151 00:08:08,154 --> 00:08:11,491 ‎ไฟเบอร์และน้ำ และสารอาหารหลักๆ ทั้งหมด 152 00:08:12,325 --> 00:08:14,619 ‎ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อย 153 00:08:14,702 --> 00:08:18,998 ‎แต่น้ำตาลบริสุทธิ์จะเพิ่มพลังงานในทันที ‎และฮวบลงอย่างรวดเร็ว 154 00:08:19,081 --> 00:08:22,126 ‎เท่ากับว่าคุณจะรู้สึกหิวมากกว่าตอนก่อนกินน้ำตาล 155 00:08:22,210 --> 00:08:24,128 ‎และถ้าคุณกินมากขึ้นเรื่อยๆ 156 00:08:24,212 --> 00:08:27,131 ‎พลังงานพร้อมใช้ทั้งหมดนั้น ‎อาจเริ่มเป็นภาระให้ร่างกายคุณ 157 00:08:27,215 --> 00:08:30,885 ‎อินซูลินของคุณก็จะตอบสนอง ‎ด้วยการคงอยู่ในระดับสูงตลอดเวลาไปด้วย 158 00:08:31,636 --> 00:08:35,347 ‎อินซูลินคือฮอร์โมนที่คอยบอกร่างกาย ‎ว่าต้องนำน้ำตาลไปทำอะไร 159 00:08:35,431 --> 00:08:38,476 ‎ปลดล็อกเซลล์ในร่างกาย ‎ให้รับน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน 160 00:08:38,558 --> 00:08:43,272 ‎และถ้ามีมากพอแล้ว คุณจะเก็บพลังงานนั้น ‎ไว้ใช้ในภายหลังในฐานะไขมัน 161 00:08:43,356 --> 00:08:46,609 ‎แต่ถ้าอินซูลินถูกสูบฉีดทั่วร่างกายคุณอยู่ตลอด 162 00:08:46,692 --> 00:08:50,321 ‎เซลล์ของคุณจะเริ่มดื้ออินซูลินและในที่สุด… 163 00:08:50,404 --> 00:08:52,532 ‎ตับอ่อนจะผลิต 164 00:08:52,615 --> 00:08:55,034 ‎อินซูลินจำนวนมากออกมา 165 00:08:55,117 --> 00:08:57,787 ‎แต่อินซูลินนี้ทำงานไม่ได้ผลแล้ว 166 00:08:58,329 --> 00:09:01,082 ‎นั่นคือตอนที่คุณจะเป็นเบาหวานชนิดที่สอง 167 00:09:01,165 --> 00:09:03,793 ‎เซลล์ของคุณหาเชื้อเพลิงที่ต้องการไม่ได้ 168 00:09:03,876 --> 00:09:07,672 ‎โชคร้ายที่อินซูลินสูงในระดับนี้ 169 00:09:07,755 --> 00:09:10,883 ‎ยังทำงานอื่นไปด้วย 170 00:09:10,967 --> 00:09:12,802 ‎ซึ่งเป็นหน้าที่ของอินซูลิน 171 00:09:12,885 --> 00:09:15,304 ‎และหนึ่งในนั้นคือการผลิตไขมัน 172 00:09:16,013 --> 00:09:19,183 ‎ดังนั้นเราจึงเพิ่มน้ำหนักได้ง่ายมาก ‎แต่ลดน้ำหนักยากขึ้น 173 00:09:19,267 --> 00:09:21,435 ‎และน้ำตาลในเลือดคุณก็จะสะสม 174 00:09:21,519 --> 00:09:24,564 ‎ซึ่งมันจะทำลายอวัยวะในร่างกาย ‎อย่างเช่นหัวใจ 175 00:09:26,983 --> 00:09:30,319 ‎ย้อนไปในยุค 60 และ 70 คนยังไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ 176 00:09:30,403 --> 00:09:33,698 ‎เราได้รับสารชวนสับสน ‎หลายอย่างเกี่ยวกับน้ำตาล 177 00:09:33,781 --> 00:09:36,659 ‎แต่สารหนึ่งที่เราได้รับชัดเจนมาก 178 00:09:37,410 --> 00:09:41,414 ‎ผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังโรคหัวใจก็คือไขมันอิ่มตัว 179 00:09:42,707 --> 00:09:44,792 ‎อุตสาหกรรมอาหารตอบสนองเรื่องนั้น 180 00:09:44,875 --> 00:09:48,337 ‎ด้วยสารพันสินค้าที่แปะป้ายไว้ว่า "ไม่มีไขมัน" 181 00:09:48,421 --> 00:09:49,964 ‎หรือ "ดีต่อหัวใจ" 182 00:09:50,047 --> 00:09:53,884 ‎แต่เมื่อคุณเอาไขมันออกไป รสชาติก็เสียไปด้วย 183 00:09:53,968 --> 00:09:55,595 ‎ดังนั้นในหลายๆ กรณี 184 00:09:55,678 --> 00:09:58,139 ‎บริษัทจึงใส่น้ำตาลเข้าไปแทนที่ 185 00:09:59,098 --> 00:10:02,685 ‎แต่สารให้ความหวานเทียม ‎ก็กำลังกู้ชื่อเสียงเช่นกัน 186 00:10:03,269 --> 00:10:05,563 ‎หลังจากการศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่า 187 00:10:05,646 --> 00:10:08,983 ‎ไม่พบหลักฐานว่ามันก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ 188 00:10:09,692 --> 00:10:11,944 ‎พวกหนูในการศึกษาก่อนหน้านี้น่ะเหรอ 189 00:10:12,028 --> 00:10:16,324 ‎พวกมันได้รับสารให้ความหวานเทียบเท่ากับ ‎น้ำอัดลมกระป๋องหลายร้อยกระป๋องต่อวัน 190 00:10:17,033 --> 00:10:18,034 ‎และอีกอย่าง… 191 00:10:18,117 --> 00:10:20,328 ‎พวกหนูมันไม่ใช่มนุษย์นะคะ 192 00:10:20,411 --> 00:10:25,416 ‎ตอนที่โคคาโคล่าเปิดตัวน้ำอัดลม ‎ใส่แอสปาร์แตมในปี 1983 193 00:10:25,499 --> 00:10:27,209 ‎มันเป็นปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ 194 00:10:27,293 --> 00:10:29,712 ‎เปิดตัวไดเอตโค้กครั้งแรกในโลก 195 00:10:30,463 --> 00:10:34,008 ‎คุณจะดื่ม เพื่อดื่มด่ำรสชาติ 196 00:10:35,259 --> 00:10:39,764 ‎ภายในหนึ่งทศวรรษ แอสปาร์แตม ‎ได้แทนที่น้ำตาลไปกว่า 450 ล้านกิโลกรัม 197 00:10:39,847 --> 00:10:42,016 ‎ทั้งในอาหารและเครื่องดื่มในอเมริกา 198 00:10:42,099 --> 00:10:46,062 ‎แต่สารให้ความหวานเทียม ‎ไม่ได้แทนที่น้ำตาลในอาหารที่เรากิน 199 00:10:46,145 --> 00:10:49,273 ‎แต่ยิ่งเป็นข้ออ้างให้บริโภคน้ำตาลมากขึ้นไปอีก 200 00:10:49,357 --> 00:10:52,276 ‎และเราก็ยังค้นพบวิธีทำให้น้ำตาลถูกลง 201 00:10:52,360 --> 00:10:53,861 ‎เช่นการสกัดจากข้าวโพด 202 00:10:53,944 --> 00:10:59,033 ‎ตอนนี้อาหารสำเร็จรูปในอเมริกา ‎สามในสี่ส่วนมีน้ำตาลผสม 203 00:10:59,116 --> 00:11:01,911 ‎โดยใช้ชื่อต่างกันมากกว่า 60 ชื่อ 204 00:11:01,994 --> 00:11:04,038 ‎เดกซ์โทรส ฟรุกโตส ซูโครส 205 00:11:04,121 --> 00:11:07,750 ‎น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง ‎อะไรที่ลงท้ายด้วย "โอส" คือน้ำตาลรูปแบบหนึ่ง 206 00:11:07,833 --> 00:11:11,420 ‎หรือหนึ่งในคำแทนน้ำตาลที่ฉันชอบที่สุดคือ 207 00:11:11,504 --> 00:11:13,756 ‎น้ำอ้อยระเหย 208 00:11:13,839 --> 00:11:16,133 ‎ไม่มีทางที่สารให้ความหวานเทียม 209 00:11:16,217 --> 00:11:18,803 ‎จะมาแทนที่น้ำตาลในอาหารพวกนี้ได้ 210 00:11:18,886 --> 00:11:21,055 ‎ใครก็ตามที่เคยลองกินสารให้ความหวานเทียม 211 00:11:21,138 --> 00:11:23,724 ‎จะรู้ว่ามันหลอกเราไม่ได้ซะทีเดียว 212 00:11:23,808 --> 00:11:26,185 ‎มันไม่ได้มีรสเหมือนน้ำตาลเป๊ะๆ 213 00:11:26,268 --> 00:11:28,979 ‎ไม่ค่ะ ฉันไม่ชอบที่น้ำตาลปลอมนั่น… 214 00:11:29,063 --> 00:11:31,857 ‎คือแบบ… รสชาติที่ค้างอยู่ในปากน่ะค่ะ 215 00:11:31,941 --> 00:11:34,193 ‎- มันแย่แค่ไหน ‎- หวานแบบเคมีน่ะ 216 00:11:34,276 --> 00:11:36,737 ‎หวานมากจนปากคุณรับไม่ไหว 217 00:11:38,322 --> 00:11:41,158 ‎ผมไม่ชอบสารให้ความหวานเทียมครับ 218 00:11:41,242 --> 00:11:43,536 ‎ผมเคยกินขัณฑสกรในน้ำอัดลมและหมากฝรั่ง 219 00:11:43,619 --> 00:11:47,373 ‎มันทำให้ปากผมแห้งผากและอยากดื่มน้ำมากขึ้น 220 00:11:48,040 --> 00:11:52,169 ‎พิเชษฐ์ อ่องเป็นเชฟที่พยายาม ‎ทำขนมโดยใช้น้ำตาลน้อยลง 221 00:11:52,253 --> 00:11:54,463 ‎โดยที่ไม่กระทบต่อรสชาติ 222 00:11:54,547 --> 00:11:57,049 ‎ตอนผมกินขนมที่ใส่แอสปาร์แตม 223 00:11:57,133 --> 00:11:59,218 ‎ผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน 224 00:11:59,301 --> 00:12:02,388 ‎มันไม่ใช่รสชาติที่เป็นธรรมชาติน่ะครับ 225 00:12:03,347 --> 00:12:06,392 ‎ส่วนสำคัญในรสชาติของน้ำตาลคือเวลา 226 00:12:06,475 --> 00:12:10,646 ‎ระยะเวลาที่ความหวานจะพุ่งถึงจุดสูงสุด ‎หลังจากที่คุณกินเข้าไป 227 00:12:10,730 --> 00:12:13,983 ‎มันจะคงอยู่นานแค่ไหน ‎และมันจะหายไปเร็วแค่ไหน 228 00:12:14,608 --> 00:12:17,903 ‎มันเรียกว่า ‎รูปแบบการรับความรู้สึกหวานตามเวลา 229 00:12:17,987 --> 00:12:19,947 ‎นี่คือกราฟของน้ำตาล 230 00:12:20,030 --> 00:12:24,285 ‎มันขึ้นสู่จุดสูงสุดเร็วมากและหายไปเร็วมาก 231 00:12:24,368 --> 00:12:27,204 ‎และนี่คือกราฟของซูคราโลส 232 00:12:27,288 --> 00:12:29,623 ‎เรารับรสหวานได้ช้ากว่า 233 00:12:29,707 --> 00:12:32,001 ‎และใช้เวลานานกว่าจะจางไป 234 00:12:32,710 --> 00:12:36,630 ‎แอสปาร์แตมยิ่งหวานช้ากว่า ‎และหลงเหลือรสนานยิ่งกว่า 235 00:12:37,381 --> 00:12:39,759 ‎ความแตกต่างนี้กินเวลาแค่เสี้ยววินาที 236 00:12:39,842 --> 00:12:42,845 ‎แต่สำหรับปุ่มรับรสของเราแล้ว ‎มันนานเหมือนชั่วนิรันดร์ 237 00:12:43,637 --> 00:12:46,223 ‎และน้ำตาลเป็นมากกว่าแค่ความหวาน 238 00:12:46,307 --> 00:12:48,100 ‎มันทำให้ครีมแต่งหน้าเค้กแวววาว 239 00:12:48,184 --> 00:12:50,853 ‎ทำให้เค้กชุ่มฉ่ำและนุ่มฟู 240 00:12:50,936 --> 00:12:54,231 ‎ถ้าคุณเอาน้ำตาลทั้งหมดออกจากเค้ก 241 00:12:54,315 --> 00:12:57,318 ‎เค้กจะออกมาหน้าตาเหมือนขนมปังพิตา 242 00:12:57,401 --> 00:13:00,780 ‎ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายมากๆ 243 00:13:00,863 --> 00:13:04,617 ‎สารให้ความหวานที่ใช้ได้ผลสำหรับผม ‎ในหลายๆ สูตรคือหญ้าหวาน 244 00:13:04,700 --> 00:13:07,745 ‎หญ้าหวานเป็นสารให้ความหวานธรรมชาติ ‎ที่ไม่มีแคลอรี 245 00:13:07,828 --> 00:13:11,582 ‎ทำมาจากพืชในอเมริกาใต้และทำพุดดิ้งได้อร่อย 246 00:13:12,166 --> 00:13:15,628 ‎แต่ความหวานของมัน ‎ยิ่งออกมาช้ากว่าสารให้ความหวานเทียม 247 00:13:15,711 --> 00:13:19,507 ‎และมีรสค้างอยู่นานจนเรารู้ว่าปลอม 248 00:13:20,549 --> 00:13:24,678 ‎มีสารให้ความหวานชนิดหนึ่ง ‎ที่รสชาติไม่ต่างจากน้ำตาล 249 00:13:24,762 --> 00:13:26,889 ‎เพียงแต่หวานน้อยกว่านิดหน่อย 250 00:13:26,972 --> 00:13:28,224 ‎อัลลูโลส 251 00:13:28,307 --> 00:13:31,310 ‎ดาวเด่นในบรรดาสารทดแทนน้ำตาล 252 00:13:32,228 --> 00:13:34,104 ‎ในทางเทคนิคแล้ว มันก็คือน้ำตาล 253 00:13:34,188 --> 00:13:38,192 ‎ชนิดหายากที่พบได้ในปริมาณน้อยมาก ‎ในอาหารอย่างมะเดื่อและลูกเกด 254 00:13:39,109 --> 00:13:41,737 ‎แต่มันไม่ได้ทำปฏิกิริยา ‎แบบเดียวกับน้ำตาลในร่างกายเรา 255 00:13:41,821 --> 00:13:45,825 ‎เราไม่สามารถย่อยมันได้เต็มที่ ‎ซึ่งทำให้มันแทบจะไม่มีแคลอรี 256 00:13:46,408 --> 00:13:48,327 ‎มันนำมาใช้ในครัวได้ดี 257 00:13:48,410 --> 00:13:50,663 ‎และงานวิจัยเบื้องต้นก็บอกว่าปลอดภัย 258 00:13:51,288 --> 00:13:55,084 ‎แต่มีเพียงไม่กี่รายที่ผลิตมันได้ ‎ประเทศส่วนใหญ่ยังไม่อนุมัติ 259 00:13:56,293 --> 00:13:59,088 ‎และราคาสูงเหมือนอาหารเพื่อสุขภาพ 260 00:14:00,172 --> 00:14:02,842 ‎และไม่มีสารให้ความหวานไหนเลย ‎แม้กระทั่งอัลลูโลส 261 00:14:02,925 --> 00:14:05,678 ‎สามารถแทนที่สิ่งที่วิเศษที่สุดของน้ำตาลได้ 262 00:14:05,761 --> 00:14:06,595 ‎(ความพึงพอใจ) 263 00:14:07,513 --> 00:14:12,184 ‎น้ำตาลจะออกฤทธิ์ในสมอง ‎แบบเดียวกับเซ็กซ์และยาเสพติด 264 00:14:12,268 --> 00:14:14,103 ‎ในสมองส่วนที่ให้รางวัล 265 00:14:14,186 --> 00:14:17,815 ‎เมื่อคุณกินน้ำตาล ‎คุณจะปล่อยโดปามีนออกมาและรู้สึกมีความสุขขึ้น 266 00:14:17,898 --> 00:14:20,734 ‎มันไม่ใช่แค่ความหิวเท่านั้น ‎ที่ทำให้เราอยากกินน้ำตาล 267 00:14:21,443 --> 00:14:22,778 ‎มันคือความปรารถนา 268 00:14:23,320 --> 00:14:25,489 ‎นั่นคือเหตุผลที่แม้เราจะอิ่มแล้ว 269 00:14:25,573 --> 00:14:28,701 ‎เราก็ยังดีใจเมื่อมีคนเสนอของหวานให้เรา 270 00:14:28,784 --> 00:14:29,952 ‎ตลกดีนะครับ 271 00:14:30,035 --> 00:14:32,746 ‎เรามีพื้นที่พิเศษในกระเพาะ 272 00:14:32,830 --> 00:14:35,791 ‎สำหรับรสชาติอันน่าลุ่มหลง 273 00:14:35,875 --> 00:14:37,668 ‎ในตอนท้ายของมื้ออาหารเสมอ 274 00:14:38,502 --> 00:14:41,922 ‎งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าสมองส่วนให้รางวัลของเรา 275 00:14:42,006 --> 00:14:45,926 ‎จะทำงานก็ต่อเมื่อความหวานมาพร้อมกับแคลอรี 276 00:14:46,969 --> 00:14:50,014 ‎ถ้าคุณต้องการความสุข คุณก็ต้องรับผลที่ตามมา 277 00:14:51,307 --> 00:14:54,268 ‎ความจริงอันขมขื่นคือ ‎เราไม่สามารถเลียนแบบน้ำตาล 278 00:14:54,351 --> 00:14:56,854 ‎โดยตัดแต่ส่วนที่เราไม่ชอบออกไปได้ 279 00:14:56,937 --> 00:14:59,565 ‎ดังนั้น บางคนเลยลองใช้แนวทางอื่น 280 00:14:59,648 --> 00:15:02,818 ‎นั่นคือการประดิษฐ์ผลึกน้ำตาลขึ้นใหม่ 281 00:15:06,155 --> 00:15:08,824 ‎ในปี 2013 ตอนอายุ 95 ปี 282 00:15:08,908 --> 00:15:12,494 ‎ศาสตราจารย์อัฟราฮัม เบเนียล ‎กลับมาทบทวนชีวิตของเขา 283 00:15:13,370 --> 00:15:17,791 ‎เขาเป็นนักเคมีอุตสาหกรรม ‎และมีผลงานมากมายตลอดอาชีพที่ยาวนาน 284 00:15:17,875 --> 00:15:20,336 ‎สกัดทองแดงจากทรายในทะเลทราย 285 00:15:20,419 --> 00:15:22,046 ‎สกัดแร่ธาตุจากทะเลเดดซี 286 00:15:22,129 --> 00:15:24,465 ‎สร้างปุ๋ย‎ ‎เชื้อเพลิงชีวภาพ 287 00:15:24,548 --> 00:15:26,300 ‎พรมไฟเบอร์ กรดซิตริก 288 00:15:26,383 --> 00:15:28,761 ‎และเป็นศาสตราจารย์มายาวนาน 289 00:15:29,428 --> 00:15:32,681 ‎และเขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วได้ 290 00:15:32,765 --> 00:15:34,850 ‎ในตอนที่เขายังหนุ่มและเพิ่งเริ่มทำงาน 291 00:15:36,018 --> 00:15:37,853 ‎ตอนนั้นโลกกำลังอยู่ในภาวะสงคราม 292 00:15:37,937 --> 00:15:40,397 ‎และขาดแคลนน้ำตาลอย่างหนัก 293 00:15:40,481 --> 00:15:44,360 ‎ไม่มีน้ำตาลหรือแทบจะไม่มีน้ำตาลเลย 294 00:15:44,443 --> 00:15:46,904 ‎ศาสตราจารย์เบเนียลเป็นพ่อของเอราน 295 00:15:47,571 --> 00:15:52,201 ‎ตอนนั้น เขาทำงานใกล้ๆ ไฮฟา ‎ช่วยกิจการสงครามด้วยการทำระเบิด 296 00:15:52,868 --> 00:15:55,621 ‎วันหนึ่งภรรยาของเพื่อนเขาแวะมาหา ‎พร้อมคำขอแปลกๆ 297 00:15:55,704 --> 00:15:57,873 ‎เธอขอให้เขาหาแป้งให้เธอหน่อย 298 00:15:57,957 --> 00:16:00,834 ‎พ่อผมถามว่า "คุณจะเอาแป้งไปทำไม" 299 00:16:00,918 --> 00:16:02,628 ‎มันเป็นเคล็ดลับหนึ่งของเธอ 300 00:16:02,711 --> 00:16:05,130 ‎ถ้าคุณทำพุดดิ้งเหนียวๆ จากแป้ง 301 00:16:05,214 --> 00:16:07,758 ‎แล้วก็เติมน้ำตาลแค่น้อยนิดที่สุดลงไป 302 00:16:07,841 --> 00:16:09,927 ‎มันจะหวานขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ 303 00:16:10,010 --> 00:16:12,179 ‎เหมือนกับใส่น้ำตาลลงไปเยอะกว่าความจริง 304 00:16:12,262 --> 00:16:13,973 ‎พ่อผมก็เลยคิดว่า 305 00:16:14,056 --> 00:16:16,558 ‎"ตลกดีแฮะ ต้องจำไว้บ้างแล้ว" 306 00:16:16,642 --> 00:16:18,936 ‎และแน่นอนว่าเขาลืมทุกอย่างไปหมด 307 00:16:19,019 --> 00:16:22,189 ‎จนกระทั่งถึงวันแห่งโชคชะตาในปี 2013 308 00:16:22,272 --> 00:16:24,566 ‎ที่เขานึกถึงมันขึ้นมาเหมือนการรู้แจ้ง 309 00:16:24,650 --> 00:16:28,445 ‎พ่อผมบอกว่า "วิธีเดียวที่จะลดปริมาณน้ำตาลได้ 310 00:16:29,405 --> 00:16:32,241 ‎คือเปลี่ยนวิธีการใช้น้ำตาลเสียใหม่" 311 00:16:34,243 --> 00:16:36,954 ‎คือว่า น้ำตาลมันมีความลับดำมืดอยู่ 312 00:16:37,037 --> 00:16:39,498 ‎คุณไม่ได้ลิ้มรสมันทั้งหมด 313 00:16:40,082 --> 00:16:41,875 ‎เมื่อคุณกัดเค้กเข้าไปหนึ่งคำ 314 00:16:41,959 --> 00:16:44,461 ‎ผลึกน้ำตาลจะละลายในปากคุณ 315 00:16:44,545 --> 00:16:47,464 ‎และโมเลกุลของน้ำตาลจะกระจายไปทั่ว 316 00:16:47,548 --> 00:16:51,135 ‎มีแค่เศษเสี้ยวของมันเท่านั้น ‎ที่สัมผัสปุ่มรับรสของคุณ 317 00:16:51,218 --> 00:16:53,679 ‎ที่เหลือเหรอ คุณแค่กลืนมันลงไป 318 00:16:53,762 --> 00:16:56,557 ‎มันไปในที่ที่คุณไม่ต้องการให้ไป 319 00:16:57,182 --> 00:17:00,060 ‎เหตุผลที่แป้งทำให้พุดดิ้งมีรสหวานขึ้น 320 00:17:00,144 --> 00:17:03,063 ‎ก็เพราะแป้งจะไปเคลือบลิ้นคุณ ‎และทำให้มันเหนียวขึ้น 321 00:17:03,147 --> 00:17:05,607 ‎ซึ่งทำให้น้ำตาลไปโดนปุ่มรับรสมากขึ้น 322 00:17:06,275 --> 00:17:09,611 ‎พ่อของเอรานคิดว่า ‎เขามีวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพกว่านั้น 323 00:17:09,694 --> 00:17:12,990 ‎ด้วยการฝังบางอย่างเข้าไปในตัวผลึกน้ำตาล 324 00:17:13,073 --> 00:17:14,407 ‎ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือน… 325 00:17:14,491 --> 00:17:17,911 ‎เป็นฟองน้ำสำหรับโมเลกุลน้ำตาล 326 00:17:17,994 --> 00:17:21,623 ‎ซึมซับโมเลกุลน้ำตาลไว้และสร้างผลึกชนิดใหม่ 327 00:17:21,707 --> 00:17:24,542 ‎ที่มีโมเลกุลน้ำตาลขนาดยักษ์ 328 00:17:25,752 --> 00:17:29,048 ‎ดังนั้นเมื่อคุณกัดเข้าปากและผลึกเริ่มละลาย 329 00:17:29,131 --> 00:17:33,052 ‎โมเลกุลพวกนั้นจะมีโอกาส ‎ไปโดนปุ่มรับรสหวานมากขึ้น 330 00:17:34,219 --> 00:17:36,764 ‎เอรานเชื่อในความคิดของพ่อเขามาก 331 00:17:36,847 --> 00:17:38,557 ‎จึงเริ่มก่อตั้งบริษัทขึ้นมา 332 00:17:38,640 --> 00:17:40,267 ‎ดูซ์มาท็อก 333 00:17:40,350 --> 00:17:42,227 ‎"ดูซ์" ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า "หวาน" 334 00:17:42,311 --> 00:17:44,813 ‎และ "มาท็อก" ในภาษาฮิบรูก็แปลว่า "หวาน" 335 00:17:44,897 --> 00:17:47,399 ‎และ "ดู" ยังแปลว่า "สอง" ในภาษาฮิบรู ด้วย 336 00:17:47,483 --> 00:17:49,401 ‎เท่ากับเป็น "หวานหวาน" 337 00:17:49,485 --> 00:17:51,445 ‎หรือ "หวานสองเท่า" 338 00:17:51,528 --> 00:17:53,363 ‎พวกเขาค้นพบว่าซิลิก้า 339 00:17:53,447 --> 00:17:56,283 ‎ซึ่งเป็นสารเติมแต่งอาหารทั่วไป ‎เป็นฟองน้ำที่ยอดเยี่ยม 340 00:17:56,867 --> 00:17:58,827 ‎และได้ออกมาเป็นอินเครโด้ 341 00:17:58,911 --> 00:18:01,080 ‎น้ำตาลเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ 342 00:18:01,163 --> 00:18:04,708 ‎แต่เพราะเรารับรสมันได้มากขึ้น ‎เราจึงไม่ต้องใช้มันมากเท่าเดิม 343 00:18:05,417 --> 00:18:07,419 ‎หลายคนพากันตื่นเต้นกับเรื่องนี้ 344 00:18:07,503 --> 00:18:10,839 ‎ไทม์ระบุให้มันเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ ‎ที่ดีที่สุดของปี 2020 345 00:18:11,423 --> 00:18:13,425 ‎แต่มันมีข้อจำกัดอยู่ 346 00:18:13,509 --> 00:18:15,302 ‎ซึ่งคือน้ำ 347 00:18:16,011 --> 00:18:20,516 ‎เมื่อใช้อินเครโด้ น้ำตาลกับซิลิก‎้‎า ‎จะแตกตัวทันทีที่มันเปียก 348 00:18:20,599 --> 00:18:22,726 ‎ตูม! คู่รักเลิกกันแล้ว 349 00:18:22,810 --> 00:18:25,562 ‎น้ำตาลไปอยู่ฝั่งหนึ่ง สารนำส่งไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง 350 00:18:25,646 --> 00:18:27,106 ‎ปาฏิหาริย์หายไปแล้ว 351 00:18:28,190 --> 00:18:30,818 ‎ร่างกายของเราวิวัฒนาการมา ‎รับมือสารประกอบนี้ 352 00:18:30,901 --> 00:18:33,362 ‎จนยากที่จะโดนหลอกหรือโกงได้ 353 00:18:34,196 --> 00:18:36,073 ‎ซึ่งเรายังไม่เข้าใจมันครบถ้วน 354 00:18:37,699 --> 00:18:39,868 ‎แต่เราก็ยังพยายามเรียนรู้เกี่ยวกับน้ำตาลต่อไป 355 00:18:39,952 --> 00:18:43,330 ‎และสมมติฐานบางเรื่อง ‎ก็จำเป็นต้องได้รับการปรับให้ทันสมัย 356 00:18:44,164 --> 00:18:45,457 ‎ในยุค 2000 357 00:18:45,541 --> 00:18:49,336 ‎เรามองว่าน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง ‎ถือเป็นน้ำตาลที่ชั่วร้ายที่สุด 358 00:18:50,003 --> 00:18:52,131 ‎มันได้ชื่อว่า "ขนมของปีศาจ" 359 00:18:52,214 --> 00:18:55,509 ‎"สิ่งประดิษฐ์อันชั่วร้าย" ‎และ "ยาเสพติดรสหวาน" 360 00:18:56,093 --> 00:18:58,137 ‎แต่น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง 361 00:18:58,220 --> 00:19:01,181 ‎มีโครงสร้างโมเลกุลเดียวกับน้ำตาล 362 00:19:01,265 --> 00:19:02,766 ‎ไม่ดีไม่แย่ไปกว่ากัน 363 00:19:03,475 --> 00:19:05,394 ‎ของอย่างน้ำเชื่อมอากาเว่กับน้ำผึ้ง 364 00:19:05,477 --> 00:19:08,730 ‎หลายคนมองว่าเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ‎มากกว่าน้ำตาล แต่ว่า… 365 00:19:08,814 --> 00:19:13,152 ‎ความจริงก็คือไม่ว่าจะเป็นฟรุกโตส ‎ซูโครส กลูโคส หรือรูปแบบอื่นๆ 366 00:19:13,235 --> 00:19:14,820 ‎ร่างกายคุณจะมองว่ามันเป็นน้ำตาล 367 00:19:15,404 --> 00:19:18,448 ‎น้ำตาลทรายแดงมีสารอาหาร ‎มากกว่าน้ำตาลทรายขาวนิดหน่อย 368 00:19:19,158 --> 00:19:21,201 ‎แต่มันนิดหน่อยมากจริงๆ 369 00:19:22,161 --> 00:19:24,246 ‎น้ำตาลไม่ขัดสีก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน 370 00:19:24,329 --> 00:19:26,540 ‎มันไม่ได้ไม่ขัดสีจริงๆ ด้วยซ้ำ 371 00:19:26,623 --> 00:19:28,792 ‎แค่ขัดสีน้อยหน่อย 372 00:19:29,501 --> 00:19:31,003 ‎และพูดให้ชัดก็คือ 373 00:19:31,086 --> 00:19:34,298 ‎สารให้ความหวานเทียมจะไม่ทำให้คุณเป็นมะเร็ง 374 00:19:34,882 --> 00:19:36,592 ‎ตั้งแต่ช่วงต้นยุค 2000 375 00:19:36,675 --> 00:19:40,846 ‎ไม่กำหนดอีกแล้วว่า ‎ผลิตภัณฑ์ขัณฑสกรต้องมีป้ายเตือน 376 00:19:40,929 --> 00:19:43,390 ‎เทียบกับเครื่องดื่มที่มีรสหวานจากน้ำตาลแล้ว 377 00:19:43,473 --> 00:19:45,851 ‎เครื่องดื่มที่มีรสหวานจากแอสปาร์แตม 378 00:19:45,934 --> 00:19:48,812 ‎เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า 379 00:19:48,896 --> 00:19:50,439 ‎และดีต่อสุขภาพกว่าเยอะค่ะ 380 00:19:50,522 --> 00:19:51,565 ‎และฉันเอง 381 00:19:52,649 --> 00:19:55,235 ‎ก็จะยืนยันเช่นนั้นไปจนวันตายค่ะ 382 00:19:55,819 --> 00:19:57,571 ‎แต่การศึกษาล่าสุดยังชี้ว่า 383 00:19:57,654 --> 00:20:01,241 ‎สารให้ความหวานเทียมไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักที่ดีนัก 384 00:20:01,325 --> 00:20:05,495 ‎อาจเป็นเพราะมันเปลี่ยน ‎องค์ประกอบของแบคทีเรียในลำไส้เรา 385 00:20:08,123 --> 00:20:10,834 ‎รสหวานไม่เคยได้มาฟรีๆ 386 00:20:10,918 --> 00:20:12,753 ‎แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่ 387 00:20:13,420 --> 00:20:15,756 ‎จริงๆ แล้วน้ำตาลก็ไม่ได้เลวร้าย 388 00:20:15,839 --> 00:20:18,008 ‎อย่างที่หลายคนถูกโน้มน้าวให้เชื่อ 389 00:20:18,842 --> 00:20:21,678 ‎คุณอาจเคยได้ยินว่าน้ำตาลทำให้เด็กอยู่ไม่สุข 390 00:20:21,762 --> 00:20:24,514 ‎แต่ความคิดนั้นมาจากข้อมูลที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ 391 00:20:25,641 --> 00:20:27,809 ‎การศึกษาหลังจากนั้นไม่พบหลักฐานใดๆ 392 00:20:27,893 --> 00:20:31,271 ‎ว่าน้ำตาลมีผลต่อพฤติกรรมหรือการรับรู้ของเด็ก 393 00:20:31,980 --> 00:20:34,858 ‎ในช่วงนี้ มีบ่อยครั้งมากที่… 394 00:20:34,942 --> 00:20:36,818 ‎จะมีคนบอกว่า 395 00:20:36,902 --> 00:20:39,696 ‎"น้ำตาลคือยาสูบแบบใหม่ 396 00:20:40,280 --> 00:20:42,115 ‎และเราควรกำจัดมันออกไป" 397 00:20:42,199 --> 00:20:45,244 ‎คุณอาจเคยได้ยินว่า ‎น้ำตาลเป็นสารเสพติดรุนแรง 398 00:20:45,327 --> 00:20:47,829 ‎วิทยาศาสตร์กำลังพิสูจน์ให้เรารู้ว่า 399 00:20:47,913 --> 00:20:51,083 ‎น้ำตาลนั่นมีฤทธิ์เสพติดรุนแรงกว่าโคเคน 400 00:20:51,166 --> 00:20:52,751 ‎มีฤทธิ์เสพติดรุนแรงกว่าถึงแปดเท่า 401 00:20:52,834 --> 00:20:54,753 ‎มีฤทธิ์เสพติดเหมือนเฮโรอีน ร็อกโคเคน 402 00:20:54,836 --> 00:20:58,674 ‎แต่หลักฐานนั้นมาจากงานวิจัยกับหนูอีกแล้ว 403 00:20:59,508 --> 00:21:02,052 ‎ถ้าคุณต้องเลือกระหว่างลงแดงอยากน้ำตาล 404 00:21:02,135 --> 00:21:03,929 ‎กับการลงแดงอยากโคเคน 405 00:21:04,012 --> 00:21:05,806 ‎ลงแดงอยากน้ำตาลทรมานน้อยกว่าแน่ๆ 406 00:21:05,889 --> 00:21:08,850 ‎แน่นอนว่า ระดับการเสพติด 407 00:21:08,934 --> 00:21:11,520 ‎และผลกระทบทางจิตจากโคเคน 408 00:21:11,603 --> 00:21:16,316 ‎รุนแรงกว่ามากเมื่อเทียบกับน้ำตาล 409 00:21:20,862 --> 00:21:24,533 ‎อย่างที่ฉันพูดเสมอว่า "น้ำตาลไม่ใช่ยาพิษ ‎ปริมาณต่างหากที่ทำให้เป็นพิษ " 410 00:21:24,616 --> 00:21:26,618 ‎น้ำตาลนิดหน่อยไม่ใช่ปัญหา 411 00:21:26,702 --> 00:21:30,122 ‎การบริโภคปริมาณมาก อย่างสม่ำเสมอ ‎และยาวนานต่างหากที่ทำให้มีปัญหา 412 00:21:30,205 --> 00:21:31,290 ‎ในอเมริกา 413 00:21:31,373 --> 00:21:35,627 ‎การบริโภคน้ำตาลลดลงมาก ‎ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา 414 00:21:35,711 --> 00:21:39,214 ‎แต่การบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดและอาหารขยะ 415 00:21:39,298 --> 00:21:40,841 ‎ไม่ได้ลดลงเลย 416 00:21:40,924 --> 00:21:44,052 ‎อัตราโรคอ้วนจึงยังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ 417 00:21:44,136 --> 00:21:46,888 ‎ผู้คนยังกิน 418 00:21:46,972 --> 00:21:49,683 ‎อาหารดีมีประโยชน์น้อยมากจนน่ากลัว 419 00:21:49,766 --> 00:21:51,768 ‎เช่น ผักสดและผลไม้ 420 00:21:52,519 --> 00:21:54,896 ‎ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่ว 421 00:21:54,980 --> 00:21:56,690 ‎ไม่มีใครกินถั่ว 422 00:21:57,983 --> 00:22:00,819 ‎เราอาจไม่มีวันได้กินเค้กโดยที่ไม่มีอันตราย 423 00:22:01,528 --> 00:22:03,697 ‎เค้กมันไม่ได้เกิดมาเพื่อการนั้น 424 00:22:04,239 --> 00:22:07,492 ‎แต่เรากำลังจะทำเค้กที่ดีต่อสุขภาพได้ในไม่ช้า 425 00:22:08,160 --> 00:22:10,954 ‎เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ปี 2020 426 00:22:11,038 --> 00:22:15,042 ‎พ่อของเอรานฉลองวันเกิดปีที่ 102 427 00:22:15,125 --> 00:22:17,794 ‎เขากินบราวนี่ 428 00:22:17,878 --> 00:22:20,922 ‎ลดน้ำตาลลง 35 เปอร์เซ็นต์ 429 00:22:21,006 --> 00:22:22,591 ‎คือแบบ เขาชอบมันมาก 430 00:22:22,674 --> 00:22:26,303 ‎คือเขามีความสุขมากครับ 431 00:22:26,803 --> 00:22:29,181 ‎สุขสันต์วันเกิด! 432 00:22:29,264 --> 00:22:32,684 ‎เราทุกคนควรเน้นไปที่ ‎การกินอาหารที่สมดุลมากขึ้น 433 00:22:32,768 --> 00:22:34,936 ‎โดยที่ไม่ใส่น้ำตาลมากเกินไป 434 00:22:35,020 --> 00:22:37,481 ‎แต่การประกาศสงครามกับ ‎วัตถุดิบเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง 435 00:22:37,564 --> 00:22:39,733 ‎คือสูตรสำเร็จของความพ่ายแพ้ 436 00:22:39,816 --> 00:22:43,528 ‎เราจะทนกินอาหารใดๆ ที่ไม่ถูกปากอยู่ได้ไม่นาน 437 00:22:44,279 --> 00:22:48,283 ‎ดาร์กช็อกโกแลต ‎โดยเฉพาะดาร์กช็อกโกแลตแท่งที่ใส่ถั่ว 438 00:22:48,367 --> 00:22:50,118 ‎นั่นแหละ แน่นอนเลย 439 00:22:50,202 --> 00:22:51,787 ‎ว่าเป็นขนมที่ฉันชอบที่สุด 440 00:22:52,621 --> 00:22:55,749 ‎มันทำให้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีความสุข 441 00:22:55,832 --> 00:22:59,795 ‎เวลาเข้านอน ผมก็จะคิดว่า ‎ผมอยากตื่นมากินของหวานเร็วๆ 442 00:23:00,754 --> 00:23:04,424 ‎เราต้องลดการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป 443 00:23:04,508 --> 00:23:06,009 ‎แน่นอนครับ 444 00:23:06,093 --> 00:23:07,928 ‎แค่เลิกบริโภคมากเกินไปเท่านั้น 445 00:23:08,512 --> 00:23:12,099 ‎ไม่ใช่เลิกบริโภคน้ำตาล 446 00:23:40,335 --> 00:23:45,340 ‎คำบรรยายโดย นันทพร อนุชิตดัสกร